หนุ่มปักษ์ใต้ผู้ซึ่งใช้ชีวิตสองด้าน “บ่าววี” หรือ “พันจ่าอากาศเอก วีรยุทธิ์ นานช้า" กับบทบาททหารอากาศทำงานรับใช้ประเทศ และศิลปินนักร้องลูกทุ่งเพื่อชีวิตเจ้าของเพลงดัง “ขอนไม้กับเรือ” ชีวิตหนุ่มใต้คนนี้มีความฝันและเป้าหมายในชีวิตหลายอย่าง ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ก็ต้องฝ่าฝันอุปสรรคทั้งจากภายนอกและการชนะใจตัวเอง จนกระทั่งล่าสุดหลังจากรอคอยมานานถึง 19 ปี เขาได้รับพระราชทานปริญญารัฐศาสตรฯ ม.รามคำแหง เป็นบัณฑิตสมใจ ด้วยความเชื่อที่ว่าไม่มีคำว่าสายเกินไป
สานฝันบัณฑิต19 ปี
ความฝันแรกของหนุ่มใต้คนนี้คือการเรียนจบมหาวิทยาลัยรามคำแหง และเขาก็วางเป้าหมายเอาไว้ และมีความตั้งใจที่จะทำความฝันให้สำเร็จมาโดยตลอด และด้วยจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไป เขาต้องเข้ารับราชการทหาร ทำงานร้องเพลงในผับ จนกระทั่งได้เป็นศิลปินในสังกัดอาร์สยาม แต่ถึงอย่างนั้น ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยลืมที่จะสานต่อความฝันวัยเด็กจนสำเร็จในที่สุด
"ผมลงเรียน ม.รามฯ ตั้งแต่ปี 2535 ตอนนั้นลงเรียนคณะนิติศาสตร์ ความตั้งใจอยากเป็นนักกฏหมาย เรียนได้ประมาณเทอมหนึ่ง สอบผ่านเล่มเดียว หลังจากนั้นก็บังเอิญสอบทหารได้ เป็นนักเรียนจ่าอากาศ ก็เลยหยุดเรียนรามฯ ไป 2 ปี แต่สภาพนักศึกษายังอยู่ พอเรียนจบจากโรงเรียนจ่าอากาศ ก็มาลงใหม่ รหัส 39 คราวนี้ไม่ลงคณะเดิมแล้ว เปลี่ยนเป็นรัฐศาสตรบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง เพราะว่าเราไปเรียนทหารมา ด้วยความที่เราไม่ค่อยมีเวลาประกอบกับเพื่อนบอกว่าเรียนรัฐศาสตร์น่าจะง่ายกว่านิติศาสตร์ ก็เลยลงคณะนี้
ช่วงที่ทำงานก็เข้ากรุงเทพฯ มาสอบด้วย ตอนนั้นเป็นทหารอากาศที่กองร้อยทหารสารวัตรอยู่ จ. ลพบุรีก็ต้องนั่งรถมาสอบที่รามฯ เราลาเวรมาก็มานอนกับเพื่อนเป็นอาทิตย์ เพื่อเตรียมสอบ เรียนได้ 3 ปี เหลือ 6 เล่ม พอใกล้จะจบมันเหมือนจังหวะชีวิต เราดันไปเป็นนักร้องในผับที่ลพบุรี ก็เลยไม่มีเวลามาสอบอีก เข้าเวรบ้าง เป็นนักร้องบ้าง ก็เลยทิ้งไปเลยเกือบ 10 ปี แต่ความคิดก็มีตลอดว่าจะทำยังไงให้จบ"
บ่าววีเล่าย้อนถึงความฝันว่า “ตั้งแต่เกิดมามีความคิดว่าต้องเรียนจบ ม.รามฯ ให้ได้ คือจบ ม. 6 มาเนี่ยไม่ไปที่ไหนเลย เอนทรานซ์ก็ไม่ไปสอบทั้งๆ ที่ซื้อหนังสือเตรียมสอบมาแล้ว มุ่งไปม.รามฯ เลย ด้วยนิสัยคนใต้ รักอิสระ อาจจะไม่ใช่นิสัยคนใต้ นิสัยเราเองนี่แหละ คิดว่าเรียนรามฯ แล้วอิสระ ตื่นกี่โมงก็ได้ สบายๆ (หัวเราะ) คิดอย่างนั้น”
แม้ว่าจะทิ้งห่างการเรียนไปนานเป็น 10 ปี แต่ความตั้งใจ ไม่ท้อถอยต่อความฝัน ก็เป็นแรงผลักดันให้เขาสู้เรียนต่อจนจบ "พอมาเป็นนักร้องที่อาร์สยาม เราก็มีความคิดว่า เราอยู่จุดนี้แล้ว เหลืออีกไม่กี่ตัวก็จะเรียนจบ เราไม่อยากทิ้ง ก็เลยเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัย เขาบอกสภาพนักศึกษายังอยู่ เราสามารถลงใหม่ได้ ก็เลยลงรหัสใหม่ ปี 50 ครับ คราวนี้ก็เข้าไปปรึกษาอาจารย์ว่าเรามีเวลาน้อยจะทำอย่างไรดี ท่านก็แนะนำให้ลงภาคพิเศษ เทียบโอน ปี 53 ก็ลงใหม่ จากที่เหลือ 6 เล่ม ผมต้องสอบอีก 18 เล่ม เยอะขึ้นแต่มันดีกว่าตรงที่มีคะแนนเก็บ ข้อสอบก็มีอาจารย์ช่วยแนะนำให้ได้บ้าง ก็สอบอยู่ปีกว่าๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือการจัดสรรเวลา ด้วยความที่เราเป็นทหาร เป็นนักร้อง ทำอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่าง บางวันผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย
ความฝันที่ผมฝันไว้ คือการเรียนม.รามฯ เนี่ย จะเอาให้ได้ พอรู้ว่าจะสอบวันนี้ สมมติสอบ 7 เล่ม เรามีเป้าหมายเอาไว้แล้วว่าต้องผ่าน 5 เล่ม อีก 2 เล่มเรายอมไม่ไปสอบเพื่อเก็บซ่อม มันต้องมีเป้าหมายวางไว้ในหัวตลอด วิชาที่ยากที่สุดสำหรับผมคืออังกฤษ ผมติด 6 เล่ม ภาษาอังกฤษไปแล้ว 4 เล่ม ไม่ยอมลงเลย หลบไปก่อน ที่เหลือเป็นวิชาเลือก”
ไม่มีคำว่าสายกับการเรียน
ช่วงระยะเวลาที่เขาได้เรียนในมหาวิทยาลัยในฝัน ก็มีทั้งความอิสระ และความสนุกอย่างที่เขาต้องการ ซึ่งช่วงแรกเขายอมรับว่ามีเกเร ติดทำกิจกรรมจนไม่ได้ไปสอบบ้าง แต่ทุกประสบการณ์ที่เขาได้รับระหว่างที่เรียนนั้น ก็เป็นสิ่งล้ำค่าที่ทำให้เขาผูกพันและเป็นภาพความทรงจำที่ดี
"น้ำตาจะไหลครับพูดง่ายๆ ผมภูมิใจที่จบ ม.รามฯ เพราะเป้าหมายของผมคือรามคำแหง และมันได้อะไรจาก 19 ปี ตรงนี้เยอะมาก ขึ้นมากรุงเทพฯ ปีแรก ผมไม่รู้จักใครเลย ยุคนั้นช่วงรับน้องกำลังสนุก ก็เดินไปที่ไหนก็มีแต่รุ่นพี่มารอ ชวนให้ไปอยู่ซุ้มนั้นซุ้มนี้ ซุ้มแรกที่ผมอยู่คือซุ้มเขาวง เป็นชื่ออำเภอของจ. กาฬสินธุ์ ก็เลยมีพี่ มีเพื่อน ที่อยู่กาฬสินธุ์เยอะมาก หลังจากนั้นผมก็อยู่ชมรมกีฬาอีก เป็นนักกีฬาฮอกกี้ของรามคำแหง และได้เป็นนักกีฬาฮอกกี้ของกองทัพอากาศด้วย ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อน เล่นที่รามฯ ที่แรก แล้วก็อยู่ชมรมแก้ปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม เราก็ได้เข้าไปในพื้นที่สลัม ชมรมลูกทุ่งสุโขทัย คือผมชอบทำกิจกรรม บางครั้งยอมไม่ไปสอบ เราคิดว่าเราอยากสนุกไปกับกิจกรรมด้วย ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย มันมีความสุขครับ" บ่าววีเล่าถึงกิจกรรมระหว่างเรียนด้วยแววตาสนุกสนาน
พอช่วงที่ผมจบทหาร ก็ก่อตั้งซุ้มของตัวเองร่วมกับเพื่อน ตั้งแต่ปี 36 ชื่อซุ้มย่านตาขาว เป็นชื่ออำเภอ ชื่อโรงเรียนของ จ. ตรัง บ้านผมครับ วันที่ผมรับปริญญา น้องๆ น่ารักมาก เอารูปผมติดอยู่ที่ซุ้ม น้องทำป้ายไว้ให้ใหญ่โตเลย พอวันที่รับปริญญาเห็นรูปเราอยู่ตรงนั้นก็ดีใจ ถึงชีวิตเราจะไปอยู่ทหารแล้ว แต่ความผูกพันในรามฯ เราก็ไม่ทิ้ง
เรียนรามฯ หลายคนถอดใจเยอะนะครับ ท้อเยอะ เพราะว่ารามคำแหงเรียนยากจริงๆ ผมเป็นคนเรียนมาตลอด แต่ผมอยากบอกว่าเรื่องการศึกษาอย่าไปท้อมันเลยครับ ถ้ามีโอกาส อย่างผมเรียน 19 ปี มันก็ไม่แก่เกินเรียน ทุกๆ คนแหละครับ โดยเฉพาะเพื่อนฝูงที่ทิ้งไปแล้ว ถ้ากลับมาได้อยากให้กลับมา หรือว่าคนที่กำลังจะเข้าสมัคร คุณจะได้อะไรอีกเยอะมากมาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องแบ่งเวลาให้ชัดเจน ต้องรู้ว่าสอบวันนี้ เรียนวันนี้ อย่างน้อยต้องมีคนเป็นที่ปรึกษาให้คุณ คนที่เขาเรียนจริงๆ บางครั้งเขาสอบผ่านไปแล้ว เราลงเทอมหลัง เราก็ถามเขาได้ว่าอ่านเล่มไหนมันถึงจะตรง" บ่าววีแนะนำ
สุภาพบุรุษลูกทัพฟ้า
อีกหนึ่งความภูมิใจของบ่าววีคือการได้รับใช้ชาติสังกัดหน่วยทหารอากาศ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ทั้ง 2 อย่าง ทั้งการเป็นทหารและการเป็นศิลปินควบคู่กันได้อย่างดี
"ตอนนี้ผมเป็นพันจ่าอากาศเอก สังกัดกรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ตำแหน่งหลักจริงๆ เป็นหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา เป็นตำแหน่งที่ไปตรงไหนก็ได้ ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องการประชาสัมพันธ์ ส่วนมากก็ไปงานที่กองทัพอากาศออกไปพบกับประชาชน งานสังคมต่างๆ ของกองทัพ"
ด้วยความที่มีผู้ใหญ่เห็นความสามารถอีกด้านคือด้านความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ ก็ทำให้เขาได้ย้ายตำแหน่งเพื่อตรงกับความสามารถและการทำงานขึ้น "จบยศแรกคือจ่าอากาศตรีครับ สังกัดกองร้อยทหารสารวัตรกองบิน ของจ. ลพบุรี กลางคืนก็ทำงานร้องเพลงในผับ กลางวันเข้าเวร ด้วยความบังเอิญตอนนั้นผมไปร้องเพลงที่ระนอง ไปกับกองทัพอากาศ แล้วไปเจอท่านอดีต ผบ.ทอ. ชลิต พุกผาสุข เห็นผม ท่านก็ถามว่ายังรับราชการอยู่หรือเปล่า ผมก็บอกว่ายังรับราชการอยู่ครับ ตอนแรกก็ไม่ค่อยกล้าตอบ กลัวๆ อายๆ เพราะว่ายศท่านใหญ่ ท่านก็มีคำสั่งย้ายผมมาอยู่หน่วยปฏิบัติการจิตวิทยา ประชาสัมพันธ์ให้กองทัพอาอากาศ เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเลย
ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้เรียนในเหล่าสารวัตรทหาร เพราะว่าตอนเข้ามาตอนแรกก็เป็นนักเรียนจ่า ก็โดนกาหัวแดงว่าต้องเป็นสห. นะ ด้วยรูปร่าง ลักษณะท่าทาง แต่พอโดนเปลี่ยนเหล่าก็ดีใจครับ เพราะว่าก็ตรงกับเรามาก อีกอย่างหนึ่งได้ใช้ประโยชน์ถูกต้องในเรื่องของกองทัพ เพราะถ้าเราแต่งชุดสห.อยู่แล้วไปร้องเพลงมันก็ยังไงอยู่ แต่พอย้ายไปอยู่เหล่านี้มันก็ถูกต้อง ตามที่นายเขาต้องการ พอจบ ป.ตรี อย่างแรกเลยเราต้องไปสอบเพื่อปรับยศตัวเอง ให้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร คนที่มาจากจ่า บอกตรงๆ ว่าอยากเลื่อนยศเป็นผู้หมวด”
ซื่อตรง จริงใจ แฟนเพลงรัก
สิ่งสำคัญที่ทำให้อยู่ในวงการฯ ได้นาน นอกจากบุคลิกภายนอกที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง บวกกับเสียงร้องสำเนียงปักษ์ใต้อันเป็นเอกลักษณ์ของบ่าววีแล้ว การวางตัว ตลอดจนยึดความซื่อสัตย์และการตรงต่อเวลาก็ทำให้เขายืนหยัดจนได้มาถึงจุดนี้
"หลักในการทำงานที่ดีที่สุดคือเราต้องตรงต่อเวลา และก็ซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราทำ สำคัญที่สุดคือผู้มีพระคุณ เราเป็นทั้งทหาร เป็นนักร้อง และมาอยู่จุดนี้ มันมีพี่มีน้องเยอะ มีเพื่อนฝูงเยอะ ฉะนั้นแล้วเราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แต่ก่อนตอนเรียนรามฯ ผมเกเรมาก ไม่ค่อยสนใจอะไร คืออยู่ไปวันๆ เรียนสอบผ่านก็ผ่าน ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร อยู่ไปแบบไม่ได้คิดอะไร แต่ว่าก็มีความตั้งใจนะแหละว่าอยากเรียนจบรามฯ แต่พอชีวิตเราไปเป็นทหาร มันเลยขัดเกลาชีวิตเราได้หมด เรื่องความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา ความที่มีภาวะเป็นผู้นำ ได้มาจากตรงนั้นหมดเลย แต่ก่อนเราไม่มีเลย
พอมาเป็นศิลปิน มันเป็นประสบการณ์อีกอย่าง เป็นคนละมุมเลย เราได้รับทุกอย่างในเวลาเดียวกันที่ได้มาอยู่จุดนี้ ชีวิตผมหนึ่งชีวิตเนี่ยได้เจออะไรเยอะมาก จริงๆ แล้วมุมทหารเนี่ยมันเป็นมุมเข้มแข็ง แต่ความเข้มแข็งของทหารมันก็มีความอ่อนแออยู่ในตัว มันก็เลยนำมาปรับใช้กับการเป็นศิลปิน ทหารก็ทำหน้าที่เพื่อนประชาชน การเป็นศิลปินก็เหมือนกัน ถ้าแฟนเพลงไม่ฟังก็ไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้
สิ่งที่ทำให้แฟนเพลงชื่นชอบ ผมว่าอยู่ที่ความเป็นกันเองครับ ด้วยความที่เราเป็นทหาร เราเคยดูแลอารักขาระดับนายทหาร เราเลยเอาจุดนั้นมาปรับใช้กับการเป็นศิลปิน คือเราไม่ต้องมีบอดี้การ์ด เราเคยเป็นบอดี้การ์ดให้คนอื่น บางทีเราลงจากเวทีแฟนเพลงก็ดีใจ จับมือก็ได้ ถ่ายรูปก็ได้ กันเองมาก ถ้าผมไม่มีไปไหนต่อ ผมเต็มที่กับแฟนเพลง บางครั้งไปพื้นที่ไกลมาก แฟนเพลงรอเป็นเดือน เป็นปี ทำไมเราเจอเขาแป๊บเดียวเราจะหนีเขาแล้วเหรอ เราให้เขาถ่ายรูปไปเลย ผมคิดว่ายิ่งใกล้ชิดแฟนเพลง ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน เราได้เดินใกล้เคียงกันมันมีความสุข พูดตรงๆ มันเหมือนส.ส.ไปหาเสียง เขาเข้าใจเรา เราเข้าใจเขา"
พอถามถึงเรื่องความเปลี่ยนแปลงของวงการเพลงลูกทุ่ง บ่าววีก็ยอมรับว่าแรกๆ ก็มีตกใจบ้าง แต่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และพัฒนาตัวเองให้ทันยุคทันสมัย
"ตอนเข้ามาปีแรกยังมีเทปคาสเสตอยู่ อัลบั้มชุดแรกฝากฟ้า ชุด 2 ขอนไม้กับเรือเป็นซีดีขายดีมาก ชุดที่ 3 เริ่มเป็นดิจิตอล 3 ชุดเจอ 3 รูปแบบเลย จริงๆ ก็ตกใจนะ ทำไมเขาไม่ผลิตซีดีเยอะๆ เหมือนเก่า แต่เราก็ต้องเข้าใจ เดี๋ยวนี้มันเติบโตไปแล้วเพลงเข้าไปในอินเทอร์เน็ตได้หมด มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับวันที่มีขอนไม้กับเรือ มันคนละอย่างเลย
วงการเพลงวันนี้มันเปลี่ยนทุกวัน ตัวศิลปินก็ต้องปรับให้ทัน แต่เราก็ไม่ทิ้งของเก่า คือเราต้องเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมที่ผ่านมาให้หมด และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามา แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกทุ่ง เป็นเพื่อชีวิตตรงนี้ ความเป็นเก่าๆ ของเรา อะไรที่ดีก็เก็บไว้ อะไรที่ไปข้างหน้าเราก็เอามาพัฒนา อย่างการแต่งเพลงหรือการร้องเพลง เนื้อหาเพลงต่างๆ มันเปลี่ยนไปตลอด
ยกตัวอย่างทุกบ้านมีโทรศัพท์มือถือ เด็กนักเรียนมีโทรศัพท์พกคนละเครื่อง ทีนี้การแต่งเพลงก็ต้องทันยุคทันสมัย จะให้เขียนเหมือนเก่า เลี้ยงควาย เลี้ยงวัว มันก็ไม่ได้ ฉะนั้น เราต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไง คนฟังเพลงก็เปลี่ยนไป ตัวผมก็ต้องพัฒนาตัวเอง การเล่นคอนเสิร์ตก็ไม่เหมือนเก่า สมัยนี้ข้าวของแพง คนเครียด ไหนจะเครียดเรื่องธรรมชาติ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง จังหวะชีวิตฉาบฉวยหมด คนฟังเพลงเราจริง แต่ถามว่าเขาฟังหมดทุกเพลงหรือเปล่า เราก็ต้องหาเพลงที่มันดัง ที่มันโดนใจไปเสริม มันเปลี่ยนไปตามยุค คนหนักไปทางสนุก เราก็ทำให้คนสนุก มีความสุข ผสมผสานทุกอย่างให้มันทันยุคทันสมัย และลงตัว”
คลั่งกีฬา
ชุดบอล เสื้อวอร์ม รองเท้าผ้าใบ คือสไตล์การแต่งตัวของบ่าววี เพราะเขาเป็นคนที่รักการเล่นกีฬามาก โดยเฉพาะฟุตบอล และมวยถึงขนาดมีค่ายมวยเป็นของตัวเอง แต่หลายคนอาจจะติดภาพศิลปินหนุ่มใต้สวมเสื้อยืดคอวีสกรีนคำว่าบ่าววี สวมแจ็กเกตยีนส์ซะมากกว่า
“ผมเป็นนักกีฬาตั้งแต่เป็นนักเรียน โดยเฉพาะฟุตบอลชอบมาก ขนาดแต่งตัวทุกวัน ถ้าไม่ได้ร้องเพลงก็จะแต่งตัวสปอร์ตแบบนี้ ใส่ชุดบอล ลงจากรถตู้แฟนเพลงเห็นกางเกงกีฬาขาสั้น เหมือนอยู่บ้านสไตล์นั้น
มวยไทยก็ชอบมาก มีค่ายมวยด้วย ชื่อค่ายขอนไม้บ่าววี อยู่ที่เดียวกับโรงเรียนสอนมวยไทยของ “ครูเป็ด-เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง” เปิดมา 3 ปีแล้วครับ มีนักมวยหลายคนเหมือนกัน มวยนี่พูดตรงๆ ว่าเราส่งเสริม ไม่มีได้ตังค์ มีแต่เสียตังค์ แต่เราทำในสิ่งที่เรารัก เราอยากทำอะไรที่เราอยากทำ
จริงๆ ตอนแรกจะทำฟุตบอล แต่การบริหารมันยาก ตอนนี้เราเริ่มจากจุดเล็กๆ ก่อน ค่ายมวย ผมไม่เคยหักค่าตัว ได้ค่าตัวมา 2-3 หมื่น ก็ให้นักมวยหมดเลย ไม่เคยหัก แล้วมีโบนัสให้อีก อย่างบางค่ายต้องมี 50/50 แต่ผมต้องการสนับสนุน ต้องการให้น้องคนหนึ่งที่มาจากบ้านนอก แล้วอยากมีอาชีพนักมวย และได้เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ผมก็จะดูคนที่มีความตั้งใจจริงๆ
เวลาว่างผมก็ไปนั่งเล่นอยู่ค่ายพี่เป็ด ไปออกกำลังกาย แต่ส่วนมากจะหนักไปทางเล่นฟุตบอลมากกว่า ยังเตะบอลอยู่ อยู่ทีมฟุตบอลเกือบทุกทีม มีทีมชมรมคนขอนไม้ของผมเอง มีเพื่อนๆ ศิลปิน และทีมรวมศิลปินใต้ ผมเคยเล่นฟุตบอลอยู่กับสมุทรปราการมา 3 ปี แล้ว แต่ปีนี้เวลารัดตัวมากขึ้น ก็ไม่ค่อยมีเวลาเตะเหมือนเก่า”
พอถามว่าเป็นแฟนทีมไหนบ่าววีตอบได้ทันที “ชอบลิเวอร์พูลครับ ปึ้กเลย ดีนะวันนี้ไม่ได้เอากระเป๋ามา มีทั้งกระเป๋า มีเสื้อ หมวก ผ้าพันคอ ถ้าได้ของขวัญวันเกิด เพื่อนๆ จะรู้ ของขวัญเป็นลิเวอร์พูลหมดเลย เราก็เก็บไว้หมด ที่มีเยอะที่สุดก็เสื้อ กางเกง บางทีก็มีแฟนเพลงซื้อมาให้จากต่างประเทศ ของไทยก็มี ของก๊อบฯ ก็มี (หัวเราะ)
ความตั้งใจของผมคือต้องไปดูที่สนามแอนด์ฟิล เป็นความฝันสูงสุดของแฟนลิเวอร์พูล ส่วนวันที่สำคัญที่สุดคือวันที่เขาเตะกับแมนฯ ยู กีฬามันสนุกนะครับ ทีมนี้เล่นแล้วเร้าใจ ผมติดใจตั้งแต่จอห์น บาร์นส์ จนมายุคกองกลาง มีศักยภาพหมด จนมาถึงยุคแม็ค ปานามา หัวเรี่ยวหัวแรงเลย สตีเวน เจอร์ราร์ด รักมากที่สุด ถ้าใครมาขอซื้ออยากบอกเลยว่าอย่าหายไปไหนนะ ถ้าได้เข้าใกล้นะ ขนลุกเลย ชอบมาก ไอดอลเลย
แต่ก่อนผมออกกำลังกายวันละ 2-3 ชั่วโมงทุกวัน วิ่งรอบสนามกีฬา เตะฟุตบอล เล่นเวท พอมาเป็นนักร้องปีแรกๆ ปรับตัวไม่ถูก ผมไม่ได้ออกกำลังกายเลยครับ พอหลังจากชุดขอนไม้ ผมเริ่มเรียนรู้ เพราะผมไปเกือบทั่วประเทศ เริ่มรู้แล้วว่าต้องใช้จังหวะชีวิตอย่างไร เดินทางไปจังหวัดนี้ใช้ชีวิตอย่างไร ผมก็เริ่มกลับมาออกกำลังกาย แต่ถามว่าสายไหม ผมว่าการออกกำลังกายมันไม่สาย ออกกำลังกายให้ได้วันละ 2-3 ชั่วโมง เล่นเวท แต่ก็ดีใจที่กลับมาอยู่กับมัน ผมพกรองเท้า 2 คู่ รองเท้าสตั๊ตคู่หนึ่ง รองเท้าวิ่งคู่หนึ่ง วันไหนที่ผมได้ออกกำลังกายและร้องเพลง นั่นคือความสุขในชีวิต”
เปรียบตัวเองเป็นขอนไม้
สุดท้ายนี้เขาเปรียบตัวเองเป็นดั่งขอนไม้ เหมือนเนื้อหาเพลง คือเป็นทั้งผู้ที่เข้มแข็งและเสียสละ คำว่าขอนไม้ก็เป็นใบเบิกทางให้เขาได้มีชื่อเสียงและโด่งดังแบบทุกวันนี้ได้ “ใบเบิกทางของผมก็คงจะเป็นเพลงฝากฟ้า เป็นชุดแรกที่ผมแต่งเพลงเอง เขียนเอง ส่งเพลงมาเองให้อาร์สยาม โดยที่ยังไม่รู้จักใคร แต่ตัวที่ตีสัญลักษณ์เลยว่าผมคือบ่าววี คือขอนไม้กับเรือ มันทำให้ได้รู้จักทุกมุมของประเทศไทย ได้ทัวร์คอนเสิร์ต
ผมมีความรู้สึกว่าประเทศไทยคือบ้านผม คำว่าขอนไม้ คือมันสามารถล่องไปได้ทุกที่ มันเหมือนตัวตนของเรา ไปที่ไหน ใครๆ ก็เรียกผมขอนไม้ทั้งนั้น ขอนไม้มาแล้วๆ ขอนไม้ก็คือสัญลักษณ์ความเป็นบ่าววีที่ได้มา มันคู่มากับความเสียสละเหมือนเนื้อหาเพลง อย่างตัวผมเป็นทหารเป็นนักร้อง ก็มีความเสียสละเพื่อประชาชน ขอนไม้ในบทเพลงของผมคือการเสียสละเพื่อคนที่รัก”
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี