“มด-ณปภัช วัฒนากมลวุฒิ” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “มด” แห่งวง “โฟร์-มด” นักร้องสาวขวัญใจวัยรุ่นที่ก้าวสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ยังเด็ก จากเด็กดื้อ หัวรั้น ใจร้อน วันนี้เธอควงคุณแม่ “ภารดี วัฒนากมลวุฒิ” ออกไปปฏิบัติธรรมเพื่อพัฒนาตนเอง วันนั้นถึงวันนี้เธอเปลี่ยนตัวเองได้อย่างไรบ้าง จากบทสัมภาษณ์ของเธอต่อไปนี้
Q : เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก ได้อะไรจากวงการบันเทิง ?
มด : อยู่ในวงการมาตั้งแต่อายุ 13 ค่ะ ในวงการสอนเราเยอะค่ะ อย่างเรื่องที่เราให้เลือกที่จะคิด จะพูด อะไรที่เราควรคิด ควรทำ อันไหนที่เราไม่ทำ ควรไม่ควร สอนให้เราโตขึ้น
แม่ : ตอนเด็กๆ เขาซน ไม่เรียบร้อย เป็นเด็กแก่น เล่นผาดโผนมาตั้งแต่เด็ก เค้าเป็นคนใจร้อน วู่วาม คุณแม่ก็จะบอกเค้าว่า อย่าทิ้งการเรียนนะ ในวงการก็มีทั้งด้านขาวกับดำ ที่ต้องระวัง ต้องดูแลเค้าตลอด คอยเตือน คอยแนะนำ
Q: ส่วนใหญ่แม่กับมดสนิทกันมากแค่ไหน ?
แม่ : ก็สนิทกันมากค่ะ แม่จะรู้ทุกอย่างว่าเราชอบอะไร ไปไหนมาไหนก็สนิทกันมาก บางทีลูกทำงานก็มีเวลาอยู่กับแม่ ไปซื้อเสื้อผ้า ชอปปิ้ง เค้าติดงานไม่มีเวลาไป แม่ก็จะไปหาให้ เสื้อผ้า รองเท้าก็ซื้อมาก็ใส่เปลี่ยนสไตล์ไปเรื่อยๆ
มด : มดเป็นคนที่มีหลายอารมณ์ บางทีก็อยากแต่งสดใส บางวันก็อยากเท่ ซึ่งก็แล้วแต่ความรู้สึก แล้วเราต้องออกงานหลายแบบก็ต้องดูให้เหมาะกับงานค่ะ ซึ่งแต่ละงานคอนเซ็ปต์ไม่เหมือนกัน
Q: แบ่งเวลาเรียนกับทำงานยังไง ?
มด : ทางที่ดีที่สุดก็จะแจ้งเวลาเรียนให้พี่ๆ ที่เค้าดูแล แล้วเค้าก็จะให้งานโดยไม่ตรงกับวันเรียน แต่ถ้าเกิดเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ทำจดหมายลาอาจารย์
แม่ : น้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เขาเป็นคนทำงานเร็ว แล้วประสบการณ์เหล่านี้ก็สอนให้เค้าดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเดิม ทำอย่างไร วางแผนตัวเอง กับการดำเนินชีวิตยังไง แต่ก็เป็นตามระดับอายุ วัยเค้า ซึ่งบางวันมีงานก็จะจัดเวลาเรียนยังไง แล้วก็มีวันเรียน วันพักผ่อนบ้าง
Q : ตอนเด็กๆ เราทำตามที่คุณแม่แนะนำบ้างหรือเปล่า ?
มด : เราทำ แต่ก่อนที่เราจะทำจริงๆ เราก็ไม่ฟัง ก็เราเด็กอยู่ ก็คิดว่าทำไมต้องห้ามเราด้วยล่ะ ห้ามนู้น ห้ามนี่ ทำไมกัน รู้สึกรำคาญมากกว่านะ ก็ฟังนะ แต่ก็ไม่ได้ทำ ถึงแม่จะห้ามก็ไม่ทำ แต่ก็มาคิดได้ทีหลังว่าอันนี้ไม่ควรทำนะ แบบไหนควรไม่ควร คือหนูเป็นคนรั้นด้วยล่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเรามาคิดได้ตอนไหน แต่เราจะรู้ตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบอกนะ ด้วยประสบการณ์ก็จะสอนเราไปด้วย
Q : คุณแม่เป็นห่วงมดเรื่องอะไรมากที่สุด ?
แม่ : แม่ก็จะไปด้วยตลอดค่ะ สิ่งที่แม่สอนก็จะเป็นเรื่องทั่วไปที่แม่จะต้องทำ เป็นห่วงที่สุด เรื่องเรียน กับอนาคตของเขา
มด : ก็มีอยู่แล้วที่ทำตามแม่บอก เพราะเรารู้ว่าแม่หวังดีกับเรา
Q: บุคลิกมดเป็นคนแบบไหน ?
มด : มดเป็นคนใจร้อน แล้วคนที่อารมณ์ร้อนมันไม่รู้หรอกว่าก่อนทำแล้วต้องคิดก่อน คนใจร้อน ทำอะไรไม่คิดหรอก ซึ่งทำไปปุ๊บแล้วมันค่อยมาคิด ไม่ใช่ว่าใจร้อนแล้วมาคิดก่อนว่าจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งมดเองก็อารมณ์ร้อนมากแค่ไหน ก็ต้องทำให้ตัวเองใจเย็นมากขึ้น ค่อยคิด ค่อยๆ ทำ มากขึ้น คนเราไม่สามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ และไม่มีใครเปลี่ยนตัวเองได้ภายในวินาทีเดียวหรอก เพราะว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ เพียงแค่เราทำให้มันดีขึ้นกว่าเดิมก็พอ
Q: โตขึ้นรู้สึกว่าตัวเอง เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า ?
มด :เดี๋ยวนี้มดว่าเราเองก็ใจเย็นขึ้นมานะ เพราะว่าเราได้มีโอกาสไปเข้าวัด ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ อย่างตัวเราเอง ไม่เคยคิดจะมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ ซึ่งตัวมดเองไม่ใช่คนแบบนั้นเลย แต่พอได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม ได้เจอแม่ชี เจอหลวงพี่ ท่านก็สอน หลายเรื่อง เรื่องการทำงาน การวางตัว เราก็เลย ได้นำคำสอนที่ท่านสอนเราไว้ มาปฏิบัติธรรมตาม มาคิด มาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมันก็ทำให้กลับมาคิดว่า เออ ทำไมเราไม่รู้สึกมาก่อนว่าเมื่อก่อนเราเป็นคนแบบนี้นะ แต่พอมีคนอื่นมาพูด มาบอกเราว่าเราเป็นคนแบบไหน เราก็เริ่มรู้ตัวว่า เออ จริงๆ แล้วคนอื่นมองว่าเราเป็นแบบนี้นะ เราก็เอากลับมาคิด
Q: เข้าปฏิบัติธรรมครั้งแรกรู้สึกอย่างไร ?
มด : ไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก บอกได้เลยว่าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ ครั้งแรกก็คิดว่าเราจะอยู่ได้เหรอ ห้ามติดต่อใคร ห้ามใช้โทรศัพท์ แล้วเราจะอาบน้ำยังไง ตัดกิเลสของเราออกไปทุกอย่าง ในสิ่งที่เราไม่จำเป็น อย่างวันที่เราไปบวช เราไปนอนใช่ว่าจะได้นอนฟูกนุ่มๆ นะ ซึ่งเราไปก็ต้องกางมุ้ง ไม่มีอะไรเลย เราก็คิดว่า มาลองใช้ชีวิตในแบบที่เราไม่ต้องมีเทคโนโลยีอะไรเลย ก็อยู่ไม่ได้ ยกตัวอย่างน้ำท่วมที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยสมัยก่อนอยู่กับน้ำมาตลอด แต่พอมีเทคโนโลยีเข้ามา ชีวิตคนเราก็เปลี่ยนไป พอน้ำท่วมที คนใช้เรือกันเป็นมั้ย ก็ไม่ เพราะคนเราไม่รู้จักที่จะยึดติด อะไรที่มันเดิมๆ ถามว่าเราจะใช้เทคโนโลยีได้มั้ย ใช้ได้ แต่เอาแค่ให้มันพอเหมาะก็พอนะ การไปอยู่วัด เราได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับสมาธิ เราต้องฝึกตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพากิเลสในใจ ที่ใจเราต้องการอยากได้แบบนั้น แบบนี้ ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่ดี เราก็ต้องใช้ในสิ่งที่เรามีเท่านั้น
Q: มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง ?
มด: ก็เรื่องความคิดค่ะ สมาธิอะไรหลายกย่าง ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นได้ขนาดนี้ เข้าไปวันแรกก็ไม่ได้ถึงกับว่าเราจะรู้สึกร้อนรุ่มหรอกนะ แค่แบบก็มาถามตัวเองว่าตัวเองจะทำได้มั้ย เพราะเราอยู่แต่กับความสบาย เราไม่ได้เคยลำบากมาก่อน เราเป็นคนสมาธิสั้น คิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก แต่พอไปทำ ก็ได้อยู่กับตัวเอง รู้จักคิด รู้จักปล่อยวางนะ มันนิ่งขึ้นค่ะ
Q : ธรรมะอะไรที่เอามาใช้กับตัวเอง ?
มด : ก็ได้หลายอย่าง อย่างเรื่องการงาน เราเป็นคนในวงการ เราต้องรู้จักที่จะคิด รู้จักการวางตัว รู้จักพูด เพราะเราเป็นคนของประชาชน คนอื่นเค้าก็มองเราอยู่เหมือนกันนะ เราก็เป็นตัวอย่างให้แก่วัยรุ่น ถ้าเราทำอะไรไป คนอาจจะทำตามเราได้นะ เราต้องคิดก่อนทำ แล้วการที่เรามายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ น้อยคนนักที่จะมีโอกาสเลย หลายคนต้องพยายามมากแค่ไหน แต่เรามาอยู่ได้ง่ายๆ ก็ต้องทำตัวให้ดี เราต้องทำในสิ่งที่เราได้มาให้ดีที่สุด
Q : ทำไมมดถึงยอมเข้าวัดปฏิบัติธรรม ?
มด : เป็นเด็กใจร้อน มดไม่รู้หรอก ว่าเข้าวัดไปแล้วจะได้อะไรบ้าง ต้องเจอกับตัวเอง เราไม่ต้องบอกใครหรอกว่า เราไปมาแล้ว เราจะรู้ว่ามันได้กับตัวเองจริงๆนะ พูดเลยนะ ถ้าพ่อแม่เป็นคนเดินมาบอกเราแบบนี้ ถามจริงเราฟังเราเชื่อมั้ย ก็ไม่นะ เราก็แค่ฟัง แต่ก็คิดว่า พูดทำไม รำคาญกว่าจะไปทำพ่อไปทาง แม่ไปทาง หรืออย่างเราไปบอกเพื่อนนะ ว่า เฮ้ย! แกปีชง ไปทำบุญนะ ถามว่าเพื่อนจะไปทำเลยหรือเปล่า ก็ไม่หรอก มันก็ถามว่าไปแล้วยังไง คนเราก็ต้องเจอเหตุการณ์กับตัวเองก่อนมันถึงจะสำนึกว่าเราทำอะไรลงไป
Q : เล่าความรู้สึกตอนไปอยู่วัดครั้งแรกให้ฟังหน่อย ?
แม่ : ไปครั้งแรก ก็ยังปรับไม่ได้ เพราะเค้าเป็นแบบนี้ก็ต้องใช้เวลา แต่ก็คิดว่าเค้าได้อะไรมาบ้าง ได้ฟังธรรม ได้คำสอนจากพระอาจารย์มา ตอนนั้นไปวัดท่าไม้ ตอนนั้นลูกศิษย์เค้าจะรู้ว่าน้องเป็นคนในวงการแล้วหลวงพ่อจะรู้เค้าก็จะสอนในสิ่งที่ควรสอน แล้วนี้เราก็เพิ่งจะลาบวชมา ซึ่งครั้งแรกที่ไป คุณแม่ก็คอยบอกเค้าให้ไปปฏิบัติธรรมเพราะว่าเค้าปีชงด้วย ก็อยากจะให้เค้าพ้นๆ แรกก็ไม่เชื่อ แม่ก็ตื้อ ครั้งหนึ่งแม่ไปคนเดียว แล้วพระอาจารย์บอกว่าลูกสาวกำลังมีเคราะห์นะ เคราะห์ใหญ่ ซึ่งเราก็มาบอกเค้า เค้าก็ค่อยใจอ่อนไปปฏิบัติธรรมกับเรา เราก็ไม่เชื่อหรอกอะไรคือปีชง ไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นกับเราหรอก เราก็ไม่เอาเลย แต่ก็ต้องมาทำความเข้าใจใหม่
Q: ได้อะไรบ้างหลังจากไปปฏิบัติธรรมมา ?
มด : รู้สึกว่าตัวเองมีสติ มีสมาธิ แล้วก็มีความคิดมากกว่าเดิม มันช่วยในเรื่องงาน ซึ่งต้องมีสติ เราจะมาวอกแวกไม่ได้ เวลาเอนเตอร์เทน จะต้องทำไง ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่พูดๆ แล้วไม่คิดว่าเขาจะสนุกกับเรามั้ย ก็ไม่ได้ คนจะสนุกมั้ยแล้วคนจะคิดยังไง
ก่อนหน้าที่เราจะเข้าวัด เวลาเจอนักข่าว มดจะตอบแบบไม่ตรงคำถามนะ จะเลี่ยงคำตอบตลอด เพราะเราไม่รู้ว่าประเด็นที่เขาถามคืออะไร พอเราได้เข้าวัด ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เราจะรู้ว่าเราตอบอะไร แล้วกำลังทำอะไรอยู่
ยิ่งเราทำงานมากขึ้นแล้วได้มีประสบการณ์มากขึ้นก็จะทำให้เรามีความรับผิดชอบ และทำอะไรได้เองมากขึ้น ซึ่งเราจะมีความคิดมากกว่าตอนเด็กเยอะมาก เรารู้ว่าอะไรที่เรารับผิดชอบได้ อย่างแรก ตื่นเองให้ได้ก่อน แต่ทุกวันนี้ตื่นเอง ก็มาคิดว่าแม่จะมาอยู่ปลุกเราทุกวันมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราก็เลือกทำในสิ่งที่เราทำเองได้ เราอายุ 30 แม่ 70 แล้วจะให้แม่ลุกจากรถเข็นมาเคาะประตูห้องเราเหรอก็ไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัว เมื่อเราเจอข่าวไม่ดี ก็ต้องเอามาคิด มาเป็นประสบการณ์ของเรา มันอยู่ที่เราเข้มแข็งมากแค่ไหน ถ้าไม่เข้มแข็งก็อยู่ไม่ได้หรอก ถามว่ามีข่าว ชีวิตเราต้องมาอยู่ตรงนั้นหรอ เราก็ต้องออกมาจากตรงนั้นให้ได้ แล้วคิดพิจารณาให้ได้
Q: ส่วนใหญ่ข่าวของมด จะเป็นเรื่องความรัก คิดว่าตอนนี้มุมมองความรักเปลี่ยนไปหรือเปล่า ?
มด : มุมมองความรักเรื่องความรัก เปลี่ยนมั้ย มดไม่ได้มาโฟกัสว่ามันต้องเป็นแบบที่เราคิดนะ ไม่ได้ให้มันมากำหนดชีวิตเราขนาดนั้น เราต้องให้คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เมื่อก่อนเด็กก็ปรึกษาคุณแม่นะ แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนเราโตขึ้น อะไรเรื่องที่เราเสียใจเราไม่กล้าไปพูดกับเค้า แล้วเรารู้สึกว่า ถ้าลูกเสียใจแล้วพ่อแม่ต้องมาเสียใจอีกหลายเท่า เราก็ไม่ได้อยากทำให้พ่อแม่มาเสียใจกับเราเรื่องแบบนี้ เรื่องบางเรื่องเรามองว่าต้องรู้จักแก้ไข และคิดด้วยตัวเอง แบบนี้เราคิดถูกมั้ย ต้องคิดให้ดี ค่อยๆ คิด ค่อย ๆทำ ถ้าเรามีสติก็ไม่มีอะไรหรอก แต่เมื่อไหร่ที่ขาดสติเมื่อนั้นจบ ค่ะ
เรื่องธรรมะ ไม่ใช่ว่าอกหักต้องเข้าวัด แต่มันคือชีวิตของคนเราเลยนะ มดไม่ได้โฟกัสว่าพอเข้าวัดแล้วจะมาหวังเพื่อให้ความรักเราดีขึ้นนะ มันคือชีวิตจิตใจที่เราต้องมานั่งฝึกตนเอง วัยรุ่นไม่ค่อยเข้าวัด แต่จริงๆ แล้ว วัย รุ่นเข้าวัดกันเยอะนะ มดก็เจอบางกลุ่มที่เข้าวัดแต่ชวนแล้วเขาไม่ไป ก็บังคับเขาไม่ได้ แค่เราบอกไปก็พอ แต่จะทำไม่ทำก็เรื่องของเขา การเข้าวัดมันดี เราได้นั่งสมาธิ จิตใจก็ดีขึ้นกว่าเดิม
******************************
เลี้ยงดูวัยรุ่นใจร้อนอย่างไร
“ก็อยู่ที่ครอบครัว ถ้าพ่อแม่มีลูกดื้อ ก็ยากที่จะพาเขาไปรู้จักการปฏิบัติธรรม น้อยมากที่เด็กจะมีสมาธิซึ่งก็ต้องให้เขาไปเจอกับเรื่องไม่ดีก่อนหรือ เพราะเด็กเจอสิ่งไม่ดีก็เครียด ถ้าคนคิดได้ก็เข้าวัด แต่ว่าใครที่ทำไม่ได้ก็เตลิดออกไป ซึ่งก็อยู่ที่กรรมของใครของมัน อยากฝากให้รู้จักเข้าวัด แค่คุณเข้าไปนั่งในวัด ได้สวดมนต์ ไม่ต้องถึงกับไปนอนวัด เคร่งครัดอะไรมากมาย ค่อยๆ ไปฟังธรรมบ้าง ไม่ต้องไปทุกวัน แค่วันสำคัญทางศาสนาแล้วไปเวียนเทียน ก็จะซึมซับไปเอง ถ้าคุณรู้จักหันหน้าเข้าวัด เห็นธรรม ปฏิบัติบ้างก็จะช่วยขัดเกลาจิตใจของคุณได้” คุณแม่ ฝากทิ้งท้าย
ข่าวโดย M-Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน