การเข้าประกวดและได้เป็นนางงามระดับชาติ อาจจะเป็นความฝันของเด็กสาวในประเทศไทยหลายคน แต่กับ ฟ้า - ชัญษร สาครจันทร์ มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2554 เด็กสาวตัวสูงจากจังหวัดชลบุรี ที่เพิ่งจะเข้ากรุงเทพฯ เอาเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย การเป็นนางงามจึงไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยนึกฝันไว้ก่อนเลยว่า มันจะแวะเวียนเข้ามาในชีวิต
แต่สุดท้ายผู้หญิงหน้าสวยคมผิวแทน และมีรูปร่างสูงระหงคนนี้ ก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์สอยู่อย่างแข็งขัน และก็ทำมันได้ดีเสียด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำได้
ผ่านพ้นไปเกือบขวบปี การเป็นนางงามมันยากเย็นแค่ไหน ลองไปคุยกับเธอกัน
ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไร เคยคิดไหมว่าจะมาเป็นนางงาม
ไม่เลยค่ะ ตอนเด็กๆ เป็นคนที่ชอบร้องเพลง ชอบวาดรูป ชอบทำงานประดิษฐ์ ชอบการอ่านหนังสือ ไม่ค่อยไปวิ่งเล่นที่ไหน ชอบอยู่คนเดียวมากกว่า แล้วก็ไม่ได้เกเรเลย เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด เพิ่งจะเข้ากรุงเทพฯ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยนี่เอง
ไม่เคยคิดแล้วมาประกวดได้อย่างไร
เป็นเพราะคุณแม่ค่ะ เมื่อก่อนเราก็เป็นคนที่ประกวดอย่างอื่นมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประกวดร้องเพลง ประกวดเอ็มซี แต่ก็ไม่ได้เสียที อาจเพราะการประกวดเขาไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่สูงขนาดนี้ อย่างมากก็เกือบๆ แม่ก็สงสารลูก ท่านก็มองว่าน่าจะพาไปประกวดนางงามนะ น่าจะไปได้กับความสูงของเรา
และอีกอย่างเราก่อนหน้านี้เป็นคนที่เซอร์มาก ก็อยากจะพัฒนาตัวเอง เอาตัวเองไปทำในสิ่งที่ไม่ถนัด คือที่ผ่านมาเราก็ไม่ค่อยเป็นผู้หญิงสักเท่าไร
แล้วต้องปรับตัวมากไหม
ในช่วงประกวด เขามีพี่เลี้ยงมาช่วยแนะเรานะ เขาจับเราแต่งตัวเต็มทุกวันเลย คือปกติเราใส่เชิ้ร์ตกับลากแตะ หน้าก็ไม่ค่อยแต่ง ผมก็ไม่เซ็ท แต่พอมาประกวดหน้าต้องเต็ม ใส่เดรสสั้นรองเท้าส้นสูง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ไปเซเว่นฯ ซื้อขงซื้อของก็จัดเต็มตลอด ให้เรารู้สึกชินกับความเป็นคนสวย
ได้ข่าวว่าเพิ่งใส่ส้นสูงครั้งแรกในชีวิตด้วย ทั้งๆ ที่ตัวสูงอยู่แล้ว
คนมาเจอกันครั้งแรกเขาไม่ได้มองว่าเราสวยหรอกนะ แต่มองว่าเราสูงมากกว่า มันเดินยากวิ่งยากมากๆ ก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าส้นสูงทำให้ผู้หญิงสวยขึ้นจริงๆ เพราะมันจะเข้าไปปรับท่ายืนเราโดยธรรมชาติ
ในช่วงที่ประกวดนั้นได้ประสบการณ์เยอะ
เรียกได้ว่าประสบการณ์ 19 ปีที่ผ่านมาในชีวิต อาจจะไม่เท่าประสบการณ์ที่ได้ในกองประกวดด้วยซ้ำ เพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า ที่เมื่อก่อนไม่เป็นเลย แต่เดี๋ยวนี้มั่นใจแล้วว่าแต่งได้ และก่อนนี้การแต่งตัวเพื่อโชว์ความเป็นผู้หญิงเป็นสิ่งที่เราอาย เมื่อก่อนใส่แต่เสื้อตัวใหญ่ๆ แต่เดี๋ยวนี้ก็กล้าแต่งแล้ว และที่สำคัญคือกองประกวดนั้นทำให้เราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น เพราะการเป็นนางงามนั้นจะทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แต่ต้องทำตามสิ่งที่ถูกที่ควร ต้องเฟรนด์ลี่มากขึ้น แรกๆ มันก็เหนื่อยนะ แต่พอผ่านไปมันก็ทำให้เราเรียนรู้การมองโลกแง่ดีไปโดยธรรมชาติ
แล้วคิดไหมว่าจะได้ตำแหน่ง
ไม่หรอกค่ะ ตอนเข้ามาประกวดเราเห็นว่าคนนู้นคนนี้สวยจัง มามองดูความเป็นผู้หญิงในตัวเองก็ต่ำกว่าเขาจนติดดินเลย แต่สุดท้ายที่เราได้มันก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราได้ตำแหน่ง ถ้าให้พูดถึงสักสองสามอย่าง อย่างแรกก็คงเป็นสีผิว เพราะผิวแทนนั้นมันสามารถไปประกวดในระดับโลกได้ ต่อมาก็คงเป็นความสูงและภาษาของเราที่ค่อนข้างดี และสุดท้ายก็เป็นเรื่องของความมั่นใจ คือเราไม่ได้มั่นใจว่าเราสวยกว่าคนอื่นนะ แต่เอนจอยกับการอยู่บนเวที
พอมาเป็นนางงามแล้วชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม
ที่สุดของที่สุดเลยค่ะ แต่ก่อนเราชอบทำตัวไม่เด่นชอบอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของเรา แต่พอมาเป็นนางงาม ไปไหนก็มีแต่คนมอง เราก็จิตตกเลยนะ คือไม่รู้ว่าเขามองเราอย่างไร คิดอะไรกับเรา มองว่าเราไม่สวยหรือเปล่า แต่เวลาผ่านไปก็เรียนรู้ที่จะมั่นใจในตัวเอง ภารกิจของนางงาม คือการเป็นตัวอย่างของผู้หญิง ที่อยู่ในวัยเดียวกับเรา คือต้องสวย มีสมอง และต้องเป็นดี กิจกรรมที่ทำก็จะเป็นเรื่องของการการกุศล เป็นกิจกรรมรณรงค์ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทั้งประเทศอยากเป็นคนดีตามบทบาทของเรา
แล้วอึดอัดบ้างไหม
ก็ปรับตัวแล้วไง แรกๆ ทำอะไรก็ต้องระวังผิดไปหมด ก็ท้อนะ...แต่มาคิดดูมันคือหน้าที่ของเรา ท้อไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้ไปเลยดีกว่า มีภูมิต้านทานกับโลกและสังคมมากขึ้น
ดูเหมือนว่าคุณเพิ่งจะมาห่วงสวยในตอนที่เป็นนางงามแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่คิดจะสวยเองเลยหรือ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากนะแต่ไม่รู้วิธีมากกว่า ที่บ้านเราไม่ได้เน้นเรื่องนี้ เพื่อนรอบๆ ตัวก็ไม่ได้หมกมุ่นกับความงามมาก แต่ไปทำอย่างอื่นที่เราสนใจอยู่มากกว่า ทุกอย่างในชีวิตมันส่งเสริมวันนี้ทั้งนั้น อย่างเรื่องภาษาก็เป็นเพราะว่าเราสมัยมัธยมเราเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แล้วที่บ้านก็ทำธุรกิจกับต่างชาติทำให้เราไม่กลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ไม่กลัวฝรั่ง
การเป็นนางงามความสามารถพิเศษเป็นเรื่องที่จำเป็นนะ สวยอย่างเดียวมันไม่พอหรอก เพราะคนสวยมีเยอะแยะ
เป็นคนที่มีความสามารถหลายด้าน
ก็เป็นคนที่ร้องเพลงได้ แต่เพิ่งมาเรียนจริงจังเมื่อตอนมหาวิทยาลัยนี่เอง เมื่อก่อนก็หัดเองมาตลอด ซึ่งเราก็เก็บตังค์เรียนเองด้วย คือไปรับจ้างร้องเพลงที่ร้านอาหารแถวพัทยามาก่อน คุณแม่เขามานั่งเฝ้าด้วยนะ แต่ตอนี้ก็ไม่ได้ร้องแล้ว เพราะว่างานเราค่อนข้างจะยุ่ง
ส่วนเรื่องการขับเครื่องบินนั้น ก็เป็นเพราะว่าคุณพ่อเป็นนักบินอยู่แล้ว ท่านสอนเองเลยเพราะท่านมีไลเซนส์การเป็นครูอยู่แล้ว เป็นเครื่องบินอัลตร้าไลท์ ลักษณะการเรียนก็ไปเช่าสนามบินแล้วก็เรียนกันเองเลย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ขับแล้ว เนื่องมาจากงานของเราที่ยุ่งขึ้น
หลังจากหมดวาระแล้ว ได้วางแผนอนาคตไว้ไหม
ตอนนี้ก็กำลังพยายามฝึกเป็นนักพูดอยู่ ก็เตรียมตัวด้วยการอ่านหนังสือด้านจิตวิทยา การพัฒนาศักยภาพของคน เพื่อเอาเนื้อหามาพัฒนาการพูดของตัวเอง คือเราหลงใหลความรู้ด้านจิตวิทยาและการพัฒนาตนเองมาก ก็เลยอยากถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกไป คืออยากจะเป็นนักพูดให้แรงบันดาลใจ อยากจะเป็นคนแรกๆ ในไทยที่ทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง
เคยไปบรรยายในงานปัจฉิมนิเทศ ของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็พูดอยู่ 1 ชั่วโมงเลยนะ พอดีรองคณะบดีที่นั่นท่านเห็นความสนใจทางด้านนี้ของฟ้า พอมีวาระโอกาสเกิดขึ้นเขาก็นึกถึงฟ้าขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่เราได้รับโอกาสนี้ แต่ตอนนั้นก็ยังทำได้ไม่ดีมากนะ แต่ก็ได้พูดสิ่งที่เตรียมมาจนจบ ได้ส่งเนื้อหาหลักให้เขาไปแล้ว
การพูดของเราไม่อยากให้เป็นการให้แรงบันดาลใจอย่างเดียว แต่เราอยากให้คนที่ได้ฟังเขาเข้าใจตนเองมากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของคน ในการเดินทางไปให้ถึงจุดหมายในชีวิตเขาเอง เป็นการปลดล็อกทางความคิดเขา
แล้วการเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจนี่ จะเป็นอาชีพจริงๆ ได้หรือ
ก็ไม่ได้คิดว่าตรงนี้จะเป็นอาชีพหรอก มันคือสิ่งที่เราอยากทำมากกว่า คือการทำมาหากินนั้นเรามีหนทางอื่นๆ อีกมาก แต่การทำบางอย่างนั้น เราไม่ได้หวังผลประโยชน์หรือว่าอยากรวยจากมัน แต่เราทำเพื่อให้เกิดความเคารพในตัวเองขึ้นต่างหาก
คือเราคิดว่าความสุขนั้น มันน่าจะเกิดจากการที่มีคนรักเรา เราได้รักคนอื่น และยิ้มให้กันมากกว่า
>>>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : เอกชาติ ใจเพชร
ภาพ : พลภัทร วรรณดี