xs
xsm
sm
md
lg

ทิ้ง “ความเสื่อม” มาหา “ความสุข”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“รังเกียจตัวเอง” เคยรู้สึกแบบนี้บ้างไหม ถ้าเคยหรือยังเป็นอยู่ ขอให้มองอดีตของผู้หญิงคนนี้เป็นกระจกสะท้อนส่วนที่น่ารังเกียจในตัวคุณ จากนั้นลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกล้าหาญ แล้วคุณจะได้ของขวัญปีใหม่ที่ทรงคุณค่าที่สุดในชีวิต อย่างที่ “ท็อป-ดารณีนุช” เคยได้รับมาแล้ว



ฉันมันน่ารังเกียจ!
มองอย่างไรก็ไม่เจอความน่ารังเกียจในตัวเธอคนนี้แม้แต่นิดเดียว เพราะใครๆ ก็รู้ว่า “ท็อป-ดารณีนุช โพธิปิติ” เป็นผู้หญิงที่รวยอารมณ์ขันขนาดไหน อยู่ด้วยเมื่อไหร่สบายใจเมื่อนั้น อย่างที่เธอทำให้ทีมงานยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ตลอดทั้งการสัมภาษณ์นี้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังยืนยันว่ามันเกิดขึ้นได้ และเพิ่งเกิดขึ้นให้เห็นชัดๆ ก็ตอนน้ำท่วมกรุงเทพฯ นี่เอง
 

“เราเคยคิดว่าตัวเรามีธรรมะพอสมควรนะ แต่พอไปบริจาคของ ไปเจอสถานการณ์แบบนั้นเข้าจริงๆ เห็นเลยว่าเรายังโกรธ ยังไม่พอใจอะไรต่ออะไรอยู่เยอะ เพียงแต่ที่ผ่านมาที่เย็นได้เพราะเราเลือกสิ่งแวดล้อมให้ตัวเองได้ เลือกคบคนที่รู้ใจ ก็เลยไม่มีอะไรเข้ามากระทบใจ แต่พอไปช่วยผู้ประสบภัยเท่านั้นแหละรู้เลยว่าตัวเองก็ไม่ได้ปลงขนาดนั้น ยังมีส่วนที่น่ารังเกียจอยู่ในตัวที่ต้องตัดทิ้งอีกตั้งเยอะ
 

ความน่ารังเกียจข้อแรกเกิดขึ้นขณะที่ท็อปและเพื่อนๆ นั่งเรือเข้าไปแจกอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยที่บางบัวทอง ตั้งใจว่าจะไปให้ครบทั้ง 5 หมู่บ้าน แต่ไปถึงแค่แห่งที่สามของก็เริ่มหมด ทั้งคนให้และคนรับจึงตกอยู่ใน “ความกลัว”... กลัวจนขาดสติ
 

“เอาซาลาเปาไปแจกประมาณพันสองพันลูก พอไปถึงหมู่บ้านที่สาม คนออกมารับเรื่อยๆ มีวี่แววว่าจะวนๆ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ออกไปหมู่บ้านที่สี่ เราก็เริ่มคิดในใจแล้วว่านี่มันเพิ่งหมู่บ้านที่สามเองนะเว้ย เหลืออีกตั้งสองหมู่บ้านแน่ะ ถ้าพวกแกยังมาหยิบแล้วหยิบอีกอยู่แบบนี้ แล้วหมู่บ้านที่เหลือเขาจะเอาอะไรกินกันวะ ก็เลยนึกโมโหขึ้นมา แต่ตอนหลังมาคิดๆ ดู จริงๆ แล้วถ้าจะบอกว่าคนที่ตุนของเห็นแก่ตัว เราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก เพราะเราก็ยังถูกความกลัวครอบงำอยู่เลย พอคิดได้แบบนี้ ทีหลังเราก็พยายามไม่ไปโกรธเขา บอกตัวเองว่าเราผิดเอง เราเอาของมาไม่พอ ถ้าเราเอามาพอ ทั้งเราและเขาก็คงจะหลุดจากความกลัว จากอกุศลในใจเหล่านี้ได้
 

พอเข้าใจคนกลุ่มหนึ่งได้ก็มาเจอคนอีกกลุ่มที่หนักกว่าเดิม “แจกเสร็จ เห็นหมาตัวหนึ่งวิ่งตามเรามาน่าสงสารมาก มายืนหอนอยู่ตามหลังคาบ้านผอมกะหร่องเชียว อาหารเม็ดที่เตรียมมาก็หมด เลยเอาซาลาเปาที่เหลือให้มัน พอคนแถวนั้นเห็นก็ตะโกนมาเลย คนก็หิวยังจะเอาไปให้หมากินอีก! อันนี้เสียความรู้สึกมาก ดูสิหวงแม้กระทั่งกับหมา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอมาเจออีกกลุ่มแต่ของเราหมดแล้ว เขาบอกเลยว่าโอ๊ย! ของหมดฉันก็ไม่ติดตามผลงานเธอ เราก็โมโหสิ อุตส่าห์เอาของไปให้นะ จริงๆ ฉันจะนอนกระดิกเท้าอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ พวกแกเป็นบ้ากันหรือเปล่าเนี่ย! แต่พออารมณ์เย็นลง กลับมาคิดอีกที ก็เริ่มรู้สึกรังเกียจตัวเองที่เราไปโมโหไปร้ายกับคนอื่นขนาดนั้น” เธอถอนหายใจเบาๆ
 
ถึงจะเคยลงพื้นที่ช่วยน้ำท่วมมาหลายแห่งแล้วตั้งแต่ภัยสึนามิ แต่มหาอุทกภัยครั้งล่าสุดกลับทำให้ได้เรียนรู้คนอีกหลากหลายประเภท บททดสอบครั้งนี้ทำให้ท็อปรู้ว่าเธอยังไม่ใช่ระดับท็อปและยังต้องเรียนรู้อีกมากทีเดียว “มันไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะวิเศษกว่าคนอื่น เพราะเราเองก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการเรียนรู้ อยู่ในขั้นพยายามที่จะหลุดพ้นออกไปจากอารมณ์ทั้งหมดนี้เหมือนกัน”



“เติม” เหล้าไม่เคย “เต็ม”
“แอลกอฮอล์” คือตัวการสำคัญข้อใหญ่ที่ช่วยเพิ่มความน่ารังเกียจในตัวเรา ท็อปเล่าว่าเธอเคยติดเหล้าขนาดหนัก ถึงแม้จะยังไม่ไต่ระดับแอลกอฮอลิก ไม่ถึงขั้นดื่มแทนอาหาร แต่ก็ดื่มมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย โด่งดังมีชื่อเสียงในวงการแล้วก็ยังไม่เลิก กลับยิ่งปาร์ตี้หนักเข้าไปอีก โดยเฉพาะ 7-8 ปีก่อนที่ดื่มยันเช้าไม่สว่างไม่กลับ ด้วยข้ออ้างที่ว่า “เสร็จงานก็ 3-4 ทุ่มแล้ว ถึงกลับไปสามีและลูกก็หลับกันหมดอยู่ดี” เป็นอย่างนี้ทุกวันทุกคืน กระทั่งถึงวันที่ความสุขแบบเดิมๆ เริ่มหมดอายุ
 

“มีอยู่วันหนึ่งเมามาก เหมือนทุกๆ วันนั่นแหละค่ะ ไปเที่ยวที่เดิม เข้าห้องน้ำที่เดิม มองออกไปข้างนอกก็วิวเดิมๆ สนุกเหมือนๆ เดิม ก็เลยมานั่งคิดกับตัวเองว่านี่น่ะเหรอคือความสุข เอ... มันไม่น่าใช่นะ เพราะมันเป็นความสุขที่ไม่เคยทำให้เราอิ่มเลย เราต้องมาคอยเติมมันอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นทุกอย่างในชีวิตก็ดีหมดนะ งานการก็ดี ลูกก็ดี ผัวก็ดี แต่เรายังต้องมากินเหล้าทุกวัน มันเป็นเพราะอะไร คงเพราะเรายังมีความทุกข์อยู่ ถามว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร อาจจะเกิดขึ้นจากภาระทั้งหมดที่เราแบกเอาไว้ ความหนักใจลึกๆ ที่ต้องรับผิดชอบ เป็นหัวหน้าครอบครัว เราก็เลยเครียด ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พอทุกข์ เราก็หนีทุกข์ด้วยการหันหน้าพึ่งเหล้า ทั้งที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย”
 

ถ้าจะบอกให้นักดื่มทั้งหลายเลิกเหล้า เธอคงไม่ทำเพราะเชื่อว่าไม่มีประโยชน์อะไร ในฐานะคนคอทองแดงด้วยกัน บรรยากาศเหล่านั้นสนุกสนานรื่นเริงขนาดไหนเธอรู้ดี แต่แค่อยากเตือนว่าอย่าเป็นเหมือน “ต้นหญ้าใต้ก้อนหิน” และ “เศษขยะใต้พรม” เท่านั้นเอง
 

“แต่ก่อนปัญหาของพี่ก็เหมือนก้อนหินทับหญ้า เศษขยะใต้พรมนั่นแหละ พอเจอความทุกข์ทีไรก็พยายามเบือนหน้าหนี ทำเป็นเหมือนว่าเราไม่เป็นอะไรหรอกแล้วแกล้งลืมๆ มันไป ทั้งที่ความทุกข์มันไม่ได้หายไปไหนหรอก แต่มันสะสมมากขึ้นๆ เรื่อยๆ เปิดพรมเมื่อไหร่ ยกก้อนหินขึ้นตอนไหนก็เจอทุกที พอพยายามเติมความสุขด้วยเหล้า มันก็เป็นได้แค่ความสุขภายนอกชั่วครูชั่วยาม เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม จนลองปฏิบัติธรรมถึงได้เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงมันเกิดมาจากข้างในตัวเรานี่แหละ ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาที่ไหนเลย ท่ามกลางความทุกข์ ท่ามกลางความเสียใจทั้งหลายแหล่ เรายังฟื้นตัวจากหลุมความทุกข์ได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วย”
 
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองมีพร้อมแล้วทั้งการงาน การเงิน ความรัก สมหวังทุกเรื่อง มีความสุขทุกประการ ขอให้เตรียมใจรับความทุกข์ไว้ได้เลย เพราะตราบใดที่ยังสะสมแต่โภคทรัพย์ ประเภททรัพย์ทางโลก แต่ไม่รู้จักสะสมอริยทรัพย์ หรือทรัพย์ทางธรรม ย่อมไม่รู้จักกับความสุขที่แท้จริง ท็อปยืนยันหนักแน่น เพราะเธอเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้วเหมือนกัน



เรียก “แม่” ได้เต็มปาก
เมื่อทำดีก็ย่อมได้รับผลดี การเปลี่ยนตัวเองครั้งสำคัญโดยยอมเลิกเหล้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ท็อปกลายเป็นคุณแม่คนเก่งของลูกชายทั้งสอง ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่เคยมองลูกๆ ได้อย่างเต็มตาเลยสักครั้ง
 

ตอนที่ยังเลิกไม่ได้ เรารู้สึกผิด รู้สึกขัดแย้งในตัวเองตลอด คือเพื่อนในกลุ่มจะไม่คิดอะไร ใครมีลูกก็เอาลูกไปในวงเหล้าด้วย แต่เราจะไม่ชอบดื่มให้ลูกเห็นอยู่แล้ว เหมือนกับไม่อยากให้ลูกเห็นว่าเราทำตัวไม่ดี ก็เลยไม่ได้เอาลูกไปด้วย ซึ่งมันขัดแย้งในความรู้สึกมากเลยนะ เราอยากดื่มแต่ไม่อยากถูกมองว่าไม่ดี ทั้งที่จริงๆ ในเมื่อมันไม่ดีก็อย่าไปทำสิ แต่ตอนนั้นยังทำไม่ได้ไง (ยิ้มเนือยๆ) ก็เลยดื่มมาเรื่อย"
"จนวันหนึ่งลูกเราเริ่มโต เขาก็เริ่มเห็นว่าแม่ดื่มหนักมาเหมือนทุกวัน พอถึงบ้านเราก็อยากกอดลูกเหมือนปกติ แต่ครั้งนั้นเราจำสายตาของลูกได้ ลูกคนเล็กเขามองเราด้วยสายตาของความกลัว เหมือนเราเป็นคนบ้า เราเลยรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมาทันที ไม่อยากให้ลูกเห็นเราในสภาพแบบนั้นอีก จะว่าลูกเป็นเหตุผลที่ทำให้เลิกก็ได้นะ เขาทำให้เราละอายใจไง (ยิ้มกว้าง)”
 

ในแววตาของลูกที่มองเธอตอนเมา คงไม่ต่างไปจากที่เธอเคยมองคุณพ่อของเธอเท่าใดนัก ท็อปคิดว่าการโตมากับคุณพ่อที่ชอบดื่มเวลาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ทำให้เธอเห็นแอลกอฮอล์เป็นความเคยชิน เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกชายเดินตามรอยเท้าเซๆ คนเป็นแม่จึงต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง ทั้งเรื่องเลิกเหล้าและคำสอนอื่นๆ ที่ต้องทำให้ได้ด้วย
 

“จะสอนให้เขาอย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะเราก็ไม่เป็นแบบนั้น พี่คิดว่าคนส่วนใหญ่มักจะกลัวคนเอาเปรียบ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่อยากถูกเอาเปรียบ เราก็อย่าไปเอาเปรียบคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นมาเอาเปรียบเรา เรายอมบ้างก็ได้ (ยิ้ม) คนเรามันไม่ต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบตลอดหรอก เสียเปรียบบ้างก็ได้ถือเป็นการฝึกตัวเอง เพราะเรื่องบางเรื่องการเสียเปรียบมันคือการเสียสละนะ อย่างเวลามีใครมาเอาของของเราไป ถ้าเรามัวแต่จะมาโกรธแค้น ทำไมมันทำอย่างนี้วะ ใจเราก็จะไม่เป็นสุข สู้ลองมองอีกมุมหนึ่งดู มองว่าที่เขาเอาไปคงเป็นเพราะเขาอยากได้ แต่เขาลำบาก ไม่สามารถหาเองได้ เราก็จะไม่ติดใจอะไรละ”
 

นอกจากเสียสละแล้ว ยังต้องรู้จักอดทนด้วย ข้อหลังนี้ไม่ใช่แค่สอน แต่ท็อปหัดให้ลูกซึมซับตั้งแต่ตอนเด็กๆ โดยปล่อยให้ไปโรงเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่ ป.6 และถึงแม้ที่บ้านจะไม่ได้ขัดสนอะไร แต่เธอก็สนับสนุนให้ลูกสอบชิงทุนเท่าที่ทำได้ เพื่อให้พวกเขารู้จักแบ่งเบาภาระครอบครัว ถามว่าทำไมต้องเคี่ยวเข็ญกันขนาดนั้น เธอยิ้มบางๆ แล้วให้เหตุผล
 
“พี่ว่าคนสมัยนี้ความอดทนต่ำกันมาก อาจจะเพราะเราอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกกันมากเกินไป เลยทำอะไรกันเองไม่ค่อยเป็น เรามีความรู้ความสามารถมากขึ้นก็จริง แต่ถ้าลองจับลูกเราไปโยนทิ้งไว้ในป่าหนึ่งวันก็คงไม่รอด จริงอยู่ว่าชีวิตเราทุกวันนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่า แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ป่าเมืองแบบนี้ เราก็ต้องมานั่งคิดว่าจะอยู่ในป่าเมืองที่วุ่นวายกันยังไงให้มันรอด และสิ่งที่จะทำให้เรารอดได้ก็คือความเพียรนี่แหละ ถ้าเรามีความเพียร มีเป้าหมาย ชีวิตก็จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย”



“ทำ” ของขวัญปีใหม่
ไม่ต้องหันซ้ายแลขวาที่ไหน เพราะของขวัญที่จะให้ “ลงมือทำ” กันนั้น ไม่ต้องรอห่อหรือเปิดกล่องอะไรเลย เพียงแค่ลองเปิดใจมองตัวเองอย่างไร้อคติ จัดการแก้ไขชิ้นส่วนแย่ๆ ภายในใจ แล้วใช้ “ธรรมะ” เข้าไปห่อหุ้มประคับประคองไว้ เท่านี้ก็จะค้นพบความสุขที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
 

แต่ก่อนพอมีเรื่องอะไรมากระทบใจ เราจะเอาตัวกระโดดลงไปใส่อารมณ์ในทุกเรื่องเลย เก็บมาไว้ในใจหมด แล้วก็ใจร้อน ทุกอย่างต้องรวดเร็ว ได้ดั่งใจไปเสียหมด แล้วก็เป็น perfectionist สัญญากับตัวเองไว้เลยว่าจะไม่มีวันให้พ่อแม่เห็นตอนที่เราลำบาก พอไปปฏิบัติธรรมถึงได้ตาสว่าง เห็นหมดเลยว่าที่เคยแบกทุกอย่างเอาไว้มันไม่มีอะไรดีขึ้นมา"
"ก็เลยเริ่มปล่อยวางแล้วก็ไปหาพ่อแม่ บอกว่าถ้าบางเดือนไม่มีเงินส่งให้จะว่าอะไรไหม เขาก็ตอบทันทีเลยว่าไม่เป็นไรเลยลูก ถ้าลูกมีอะไรก็บอก พ่อแม่ช่วยเต็มที่ เท่านั้นล่ะที่เคยแบกไว้มันหายไปหมดเลย กลายเป็นว่าที่ผ่านมาเราคิดไปเองว่าต้องแบกไว้หมด พอคิดได้ ปล่อยวางเป็น มันก็โล่งขึ้น ชีวิตเลยง่ายขึ้นเยอะหลังจากได้เจอธรรมะค่ะ” คอมเมดีสาวยกตัวอย่างให้ฟัง
 

“พี่ว่าการปฏิบัติทำให้เราใจกล้าขึ้นด้วยนะ กล้ามองปัญหาและเผชิญกับมัน กล้ายอมรับตัวเองว่าเราก็ริษยาเป็นนะ เรามีความขี้อิจฉา ขี้กลัว ขี้โมโห ขี้ขโมย (ยิ้ม) หมายถึงเราขโมยเวลา อู้งาน เอาเปรียบคนอื่น แล้วก็อีกเยอะแยะ พอไปปฏิบัติธรรมเราจะเห็นความละเอียดของบาป พอเรารู้ เราจะเกิดความละอายในตัวเอง”
 

ถ้าอยากเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นรับปีใหม่นี้ ขอแนะนำให้เริ่มจากเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามและทำผิดกันเป็นประจำ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยกันก่อน เริ่มจากเรื่องแอลกอฮอล์ ถ้าดื่มนิดดื่มหน่อย ประคองสติได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสติขาดผึงเมื่อไหร่ก็เท่ากับขับรถไม่มีเบรกเมื่อนั้น ส่วนคนที่ติดเหล้าเพราะติดเพื่อน ติดบรรยากาศ อากาศเย็นๆ ทีไรนึกถึงเบียร์วุ้นทุกที ขอเพียงให้ “รู้เท่าทัน” เท่านั้น “ถ้าเรารู้ทันกิเลส เดี๋ยวกิเลสมันจะอายเราเอง” เธอบอกอย่างนั้น
 

กิเลสอีกประเภทที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักตกหลุมพรางคือ “การนินทาว่าร้าย” หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร ไม่น่าจะบาปเท่าไหร่ แต่เธอคนนี้อยากให้กอสซิปเกิร์ลทั้งหลายลองถามตัวเองดูว่า “ทำไปเพื่ออะไร”
 

“เวลาเราไปร่วมวง เราจะเอาอารมณ์เข้าไปด้วย ไปๆ มาๆ ก็พูดกันสนุกปาก มีแต่ความสะใจ อยากให้มองย้อนมาหาตัวเองว่าเราทำแบบนั้นไปทำไม เราไปนินทาว่าร้ายคนอื่นเพื่อให้เรารู้สึกดีกว่าเขา สูงส่งกว่าเขาเหรอ พอตั้งสติคิดดูก็จะรู้ว่าเราเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าใครเขาหรอก ถ้าคิดได้แบบนี้เราก็จะอายตัวเอง พออายเราก็ไม่อยากทำ”
 

สุดท้ายต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง จะต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา ต่างความเชื่อ แต่ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์เหมือนกัน ถ้ายังทำใจให้เลิกโกรธเลิกเกลียดไม่ได้ทั้งหมด อย่างน้อยขอให้ “ลด 1 เพิ่ม 1 ก็พอ” คือลดความเกลียดชังลง แล้วเจริญเมตตาแทน “ให้มองว่าเขาแค่คิดไม่เหมือนเราเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาต้องการก็ไม่ต่างจากเราเลย ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาอาจจะเชื่อว่าสิ่งๆ นั้นจะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ซึ่งเชื่อต่างจากเรา และการที่เขาเห็นต่างก็ไม่ได้หมายความว่าที่เราคิดมันถูกหรือที่เขาคิดมันถูก เรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจริงๆ แล้วฝ่ายไหนถูกกันแน่"
"เพราะฉะนั้นต้องเปิดใจกว้างกันหน่อย ต้องมีความเห็นอกเห็นใจกัน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าสัตว์โลกเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทุกข์กันทั้งหมดนั่นแหละค่ะ” ลองเลือกทำของขวัญจากคำแนะนำทั้งหมดแค่หนึ่งข้อ รับรองว่าปีนี้ทั้งปีคุณจะมีความสุขขึ้นอย่างแน่นอน





---ล้อมกรอบ---
3 เล่ม เปี่ยมสุข
ในจำนวนหนังสือธรรมะที่มีอยู่ในครอบครอง ท็อปขอเลือกเล่มโปรดมา 3 เล่มซึ่งเหมาะแก่ผู้เริ่มศึกษา เพราะย่อยเร็ว เข้าใจง่าย แม้แต่คนที่เดินทางสายนี้อยู่แล้วก็อ่านได้ เพราะเธอก็หยิบมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นการเตือนตัวเองอยู่ตลอดเหมือนกัน
 

“เล่มแรกชื่อ “งานสัมฤทธิ์ ชีวิตรื่นรมย์” ได้มาตอนเจอกับท่าน ว.วชิรเมธี บนเครื่องและท่านให้มาค่ะ เป็นหลักธรรมที่ใช้ได้ในชีวิตจริงๆ ท่าน ว. จะแตกต่างจากพระอาจารย์รูปอื่นๆ ตรงที่ท่านสามารถเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาผนวกเข้ากับวิธีคิดของคนยุคปัจจุบัน ทำให้อ่านแล้วย่อยง่ายมากจริงๆ ค่ะ”
 

“ส่วนเรื่องที่สองคือ “อาภรณ์ประดับใจ” ของท่านอาจารย์วศิน อินทสระ เขาบอกไว้ว่าคนเราเนี่ยตกแต่งร่างกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อให้ดูสวยงาม แต่ใจของเราประดับด้วยอะไร อาภรณ์ประดับใจก็คือธรรมะค่ะ เป็นหลักคิดที่จะประดับให้ใจเราสวยงาม เล่มนี้หยิบมาอ่านบ่อยมาก มีขีดเน้นคำไว้ คั่นไว้หลายหน้ามาก เพราะมีสอนเกี่ยวกับหลักในการสอนลูกชายไว้ด้วยว่าควรจะวางตัวยังไง บางอย่างคนเป็นแม่อย่างเราอาจจะคิดเองไม่ค่อยได้เวลาต้องสอนลูกผู้ชาย ก็อาศัยหนังสือที่ดีเป็นเครื่องช่วยชี้นำนี่แหละค่ะ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นอีกเยอะ”

“แล้วก็เล่มสุดท้าย “อยู่กับปัจจุบัน ชีวิตเป็นสุข” ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก ท่านเป็นพระญี่ปุ่นที่มีความแตกฉานในพุทธศาสนา ท่านเผยแผ่ธรรมะในประเทศไทย หลักในการปฏิบัติของท่านก็ง่ายมาก คุณเดินไปตรงไหนหรือยืนอยู่ตรงนี้ก็ทำได้ หามาอ่านเถอะค่ะ เวลาที่พี่มีทุกข์ จัดการกับปัญหาไม่ได้ ก็จะหยิบเล่มนี้ขึ้นมา ทำอย่างที่ท่านบอก หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆ ยิ้มน้อยๆ แล้วก็บอกตัวเองว่าสบาย พอเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม เราก็บอกกับตัวเองว่าแล้วเราจะดีขึ้นในเรื่องนั้น บอกอย่างนี้ไม่ใช่หลอกตัวเองนะว่าเราจะดีขึ้น แต่เราจะดีขึ้นได้ด้วยปัญญาของเรา เพราะเมื่อจิตใจสงบ เราจะเข้าถึงปัญหาแล้วก็แก้ปัญหาได้ค่ะ”

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... วรวิทย์ พานิชนันท์
ด้านสงบของสาวคอมเมดี



ห้องพระ ผ่อนคลายจิตใจภายในบ้าน
3 เล่มรับปีใหม่
กำลังใจดีๆ จากลูกชายให้เลิกเหล้า
กำลังโหลดความคิดเห็น