“ตั้งจุดมุ่งหมายให้มั่นคง พยายามคิดอะไรให้เห็นภาพแล้วเราจะเกิดแรงบันดาลใจ” นี่คือประโยคที่ออกมาจากปาก หนุ่มมาดเซอร์ “กราฟ - โอสธี ซุ่นมงคล” นักร้องนำและมือกีตาร์ แห่งวง แบล็ควานิลลา และปัจจุบันเขาทำหน้าที่พิธีกร ทางช่อง Yakk TV ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเข้าสู่วัยเบญจเพส เขาได้กำหนดและวางแผนให้กับชีวิตของตัวเอง จนเรียกได้ว่า เขาสามารถทำให้ตัวเองเดินตามความฝันในสิ่งที่อยากได้ และอยากจะทำในสิ่งที่ตนเองรักมากที่สุด
1
ในมุมมอง หลายคนอาจจะมองว่า กราฟ หนุ่มมาดเซอร์ คนนี้อาจจะเป็นเหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่คิดอยากจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเพื่อให้ตนเองมีชื่อเสียง และใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป ทว่าในทางตรงกันข้ามเขากลับวางแผนให้กับอนาคตของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และทำตามความฝันสำเร็จในระดับหนึ่งเท่าที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะทำอย่างสุดความสามารถ
เส้นทางการก้าวเข้าสู่การเล่นดนตรี เริ่มต้นมาตั้งแต่เขายังเด็ก เครื่องดนตรีที่หัดเล่นชิ้นแรก คือ เปียโน และต่อมาก็เปลี่ยนมาเล่น กีตาร์ จากเด็กเรียบร้อยก็เข้าสู่นักเรียนกิจกรรมคนหนึ่งของโรงเรียน ไม่ว่างานไหนๆ เขาจะเป็นเด็กที่เล่นดนตรีประจำโรงเรียนกับเพื่อนๆ จนกระทั่งมัธยมฯปลาย เขาก็ได้เข้าสู่วงโยธวาทิต
“ตอนเด็กผมเป็นเด็กเรียบร้อยมาก ถูกเลี้ยงมากับคุณตาคุณยายครับ พอเริ่มเล่นดนตรี มีกิจกรรมก็มีความสุขมากขึ้น ไม่ว่าผมจะทำอะไร คุณพ่อกับคุณแม่เขาก็จะชอบเข้ามามีส่วนร่วมกับลูกๆ ผมจะดูการ์ตูน ท่านก็จะคอยมาดูกับเราด้วย เล่าให้ท่านฟังบ้าง หรือไม่ว่าจะเล่นรถบังคับพ่อก็เล่นด้วย พ่อกับแม่คอยสนับสนุนผมตลอดเวลา เริ่มเล่นดนตรี ฟังเพลง พ่อผมชอบฟังเพลงก็จะเอาเรื่องเพลงมาคุยกันครับ ”
หลังจากนั้นกราฟก้ได้มีโอกาสประกวดวงดนตรีร่วมกับเพื่อนๆที่โรงเรียน และได้มีโอกาสก้าวมาประกวดบนเวทีใหญ่ครั้งแรกที่กรุงเทพฯ และแม้ว่าครั้งนั้นจะไม่ได้รับรางวัลแต่เขามีแววและถูกจับตามองจนอาร์เอสเรียกเข้าไปเป็นนักร้องฝึกหัดอยู่ช่วงหนึ่ง
“ตอนนั้นเป็นรายการอาร์เอส มีพี่ๆ เขาเห็นแวว ก็เลยเริ่มเดินแบบ ถ่ายแบบ เข้ามาไม่ใช่งานเพลง ตอนนั้นก็ไปกลับ กรุงเทพฯ หาดใหญ่นะ ตั้งแต่ปิดเทอมพ่อแม่ก็ส่งมาอยู่กรุงเทพกับญาติๆ เข้ามาทำแบล็ควานิลลา ก็เข้าไปเทสต์ เรียนร้องเพลง ให้เด็กมาฝึกร้องเพลง ก็เรียนกันไป แล้วก็มีรอบไฟนอลเทสต์ ก็มีคนให้จับคู่กับแบงค์ แล้วก็มีพี่เจมส์ เห็นแล้วก็ชอบ ผมก็เล่นกีตาร์ได้ พี่เค้าก็อยากให้เราทำเป็นวงดนตรี จากนั้นก็หาพี่โดม แบล็ควานิลลา ก็ไปเจอกันจนครบ แล้วก็ผ่านมาได้”
“จนตอนนี้แบล็ควานิลลาก็ยังอยู่นะครับไม่ได้หายไปไหน ก็มีไปออกคอนเสิร์ตต่างจังหวัดบ้าง และที่ผ่านมาก็ไปร่วมงานบิ๊กเมาน์เทนมา เป็นงานใหญ่มากครับ ก็มีงานพิธีกรอีกหนึ่งงานที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำกับเพื่อนๆ ทางช่อง Yaak TV เป็นรายการสดที่สนุกมากครับ ไม่ได้ปรับตัวยากเท่าไหร่เพราะว่าพิธีกรแต่ละคนก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว เลยเข้ากันได้ แต่เราเองก็ต้องมีสมาธิมากขึ้น”
2
การเข้ามาสู่วงการบันเทิงได้สักระยะ ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่มีค่ามากแต่วัยรุ่นคนหนึ่งคิดได้เพียงแค่นำเอารายได้ไปนอนนิ่งๆ ฝากไว้กับธนาคาร จนได้คุณน้าที่คอยดูแลตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯนั้น ให้คำปรึกษาในเรื่องของการออมเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม จนเขาตัดสินใจนำเงินไปลงทุนกับการซื้อกองทุนรวม เพื่อเอาไว้เก็งกำไร และได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าการนำเอาไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ย
“มีรายได้เข้ามากันเยอะๆ ก็เริ่มคิดว่า ถ้าฝากเงินในแบงค์ก็โอเคนะ ผมเองก็ไม่มีภาระต้องผ่อนอะไรตอนนั้น แล้วเงินมันจะมากองอยู่ในแบงค์อย่างเดียว แล้วน้าก็ทำงานธนาคาร เค้าก็ให้คำปรึกษา ว่าให้เอามาซื้อกองทุนรวมดู ก็ให้ลองดู ก็ซื้อไป ผมก็คิดว่ามันก็ดี พอได้ครบยอดที่มันดีล 4 ปี ก็จะมีดอกเบี้ยดีกว่าเงินฝากนะ ดีกว่าเอาเงินมาฝากเฉยๆ กองทุนรวมก็คล้ายๆ หุ้น ก็เอาไปลงทุนตามธนาคารต่างประเทศ ก็ได้ปันผลมาก็โอเค มันก็ไม่ได้มาก แล้วเราก็ไม่ใช่ว่าได้ผลเยอะจนต้องตะลึง แล้วเพื่อนผมก็เค้าเรียนเศรษฐศาสตร์มา เขาก็ประสบความสำเร็จ มาเหมือนกันนะ ”
“ ช่วงหลังเพื่อนๆ มาชวนลองทำอะไรเสี่ยงๆดูหน่อย ดูผลอะไรที่ดูๆ ลงทุนไป บางอย่างเราจะซื้อก็ต้องไปดูพอร์ตของเรา เราซื้อไป มีกำไรเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ เงินผัน บางทีขึ้นก็ดีนะ แต่พอหุ้นตก เงินก็หายบ้าง
ผมไม่ได้เซียนที่จะต้องมาซื้อเอง ผมว่ามันยาก มันไม่เซียนขนาดนั้น ผมซื้อเป็นโอกาสขาดทุนน้อย ระยะสั้นผมก็คงดูไม่ไหว”
เห็นมาดกวนๆ เซอร์ๆ แบบนี้ เขาเป็นหนุ่มที่มีการวางแผนชีวิตตัวเองมาตั้งแต่เด็ก คิดเอาไว้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร แล้วต้องทำให้ได้ วาดฝันในสิ่งที่อยากเป็นและอยากได้ จนเห็นภาพ จะทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางตามความฝันและมีจุดหมาย
“ผมเป็นคนวางแผนตั้งแต่เด็กนะ ก่อน 20 ผมต้องมีอะไรบ้าง คือผมคิดอะไรแล้วจะจดไว้แล้วมันจะเห็นภาพได้ชัดนะ ตอนผมอายุ 20 ผมคิดได้น้อยมากเลยนะ ผมคิดแค่ว่า ขอให้ผมเอนทรานซ์ติดก็พอ มหาวิทยาลัย แต่ถ้าผมคิดแค่นั้นมันก็คงไม่พอ และต้องคิดว่าถ้าผมเอนท์ติดไปแล้วผมจะทำอะไรบ้าง มันก็จะเกิดแรงจูงใจ ช่วงก่อนหน้าจะเอนท์ จะต้องเอนท์ติด ธรรมศาสตร์ อยู่หอ กับเพื่อน 4 คน มีโอกาสคุยกัน แล้วเราก็วางแผนกันเลยว่า เราจะมีคอมพิวเตอร์คนละตัว ลากสายแลน เล่นเกมส์กัน แล้วก็เห็นภาพมากเลยตอนเด็ก ถ้าติด แล้วต้องซื้อเสื้อเท่ๆ มาใส่เลย มันเลยเกิดแรงบันดาลใจว่าเราต้องเอนท์ติดให้ได้ บางคนอาจจะคิดว่า อยากเอนท์ติดเพื่อพ่อแม่ แล้วก็เพื่อสบายใจ แต่ผมเอนท์ติด ผมจะได้เล่นเกมส์นะ แต่ว่าถ้าไม่ติดขึ้นมา ก็คิดเลยว่า เราก็คงไม่มีอารมณ์มานั่งเล่นเกมส์กับเพื่อนๆ แน่นอน ไม่มีเสื้อผ้าเท่ๆ ใส่ไปเรียน”
หลังจากนั้นได้เริ่มก้าวสู่วงการบันเทิงและมีวงดนตรีของตนเอง ก็เริ่มประสบความสำเร็จในชีวิต ในช่วงที่ก่อนอายุจะย่างเข้าสู่วัย 30 เขาเริ่มคิดมากขึ้น อาจจะประสบความสำเร็จในการทำงานเพลงระดับนึง แต่สิ่งที่เขาฝันเอาไว้ที่จะมีก่อนที่เขาจะ อายุ 30 ให้ได้คือ รถเปิดประทุน คอนโดฯใจกลางเมือง และเขาก็สามารถทำได้แล้ว
“พอ จะเข้า30 เริ่มคิดเยอะ เลยอายุ 20 มา ผมเริ่มมีอัลบั้ม กับเพื่อนล้ะ ผมต้องมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในวงดนตรีระดับหนึ่ง มีรถ เปิดประทุนเท่ หนึ่งคะนก่อนอายุ 30 มีคอนโดกลางเมือง ผมอยากมีคอนโดติดรถไฟฟ้า เผื่อรถติด อย่างคืนวันศุกร์ บ่ายวันเสาร์ อยากพักผ่อนสบายๆ เปิดเพลงฟังชิวๆ มาที่ระเบียง มองดูรถติดข้างล่าง แต่เราสบายๆ อยู่ข้างบน ผมคิดว่า รถนั่งดูความวุ่นวาย ทั้งๆที่ตัวเองสบายๆ พักผ่อนอยู่ข้างบน ผมว่ามันสะใจนะ อยากมีแบบนั้น เย็นวันอาทิตย์ ก็ขับรถเปิดประทุนเท่ๆ ไปเที่ยว ก่อนอายุ 30”
“ช่วงหลังจากนั้นแล้วก็ยังอยากมีธุรกิจของตัวเองอย่างนึง ที่คิดเอาไว้ ผมคิดว่าช่วงนี้โตพอแล้วมีอารมณ์ใจเย็นที่น่าจะทำได้ ผมอยากทำแบรนด์สินค้าอะไรสักอย่าง ไม่ได้อยากทำธุรกิจหรูหรา อยากทำอะไรที่มันแมส ทุกคนจับต้องได้ ผมก็มีอะไรวางไว้หลายอย่าง ผมคิดว่าคนไทย กลุ่มคนระดับกลางมันเยอะนะ บางคนคิดว่า เด็กวัยรุ่นยุคใหม่จะต้องทำธุรกิจหรูหรา แพงๆ หรือสินค้าแพงๆ แล้วจะไฮโซ จริงๆ แล้วผมว่ามันไม่ใช่พื้นฐานหลักของคนทั้งประเทศ
ตั้งแต่จำความได้ พ่อกับแม่บอกว่า อย่าทำธุรกิจเลย เค้าบอกว่ามันเหนื่อย ถึงรายได้จะดี แต่มันเหนื่อยนะ ธุรกิจตัวเองไม่มีโบนัส ท่านก็เลยไม่สนับสนุนให้ทำช่วงต่อจากท่าน กลัวเราเหนื่อย เราก็อยากทำธุรกิจ ช่วงนั้นคงเป็นช่วงไฟแรง ผมกำลังสนุกกับชีวิตวัยรุ่น ทำในสิ่งที่รัก ที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก คนเราจะทำในสิ่งที่เป็นอยู่แล้วมันน้อย บางคนชอบวาดรูป แล้วคนรอบข้างมองก็ไม่สนับสนุน แล้วเค้าก็ทิ้งในสิ่งที่รักจากคนรอบข้างไป แต่ผมเองจับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ผมรู้สึกว่ามันคุ้มนะที่เราได้ทำในสิ่งที่รักนะ บางคนเค้าทำในสิ่งที่ต้องเป็น ไม่ใช่ทำในสิ่งที่รัก ที่ผมได้ทำคือได้ทำในสิ่งที่รักและมีรายได้ไปด้วย”
หลังจากนี้ไป การทำงานในวงการบันเทิงคงเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่กราฟยังอยากจะทำและมีโอกาสเมื่อเขาก้าวเข้าสู่อายุ 30 ปีไปแล้ว เขาบอกว่า การได้ทำธุรกิจและได้เล่นดนตรีไปด้วยเป็นอีกหนึ่งความฝันที่เขาไม่สามารถทิ้งดนตรีได้เลย ไม่ว่าจะทำงานประจำหรือธุรกิจอะไรต่อไปในอนาคต เพราะการเล่นดนตรีคือสิ่งที่เขารักมาตตั้งแต่เด็กและการมีรายได้จากสิ่งที่รักก็คือสิ่งที่เขาสามารถทำได้ และมีโอกาสมากกว่าคนที่ไม่ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
“ผมยังอยากทำธุรกิจและเล่นดนตรีไปด้วย มันจะเป็นอะไรที่ดีมากสำหรับผมเลยล่ะ อย่างพี่บุรินทร์ เค้าก็ทำงานออฟฟิศ แล้ววันว่างเขาก็มีคอนเสิร์ต ผมอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง อย่างพี่ๆ วงสครับ เค้าเป็นครีเอทีฟ ก็ทำงานของตัวเอง แต่พอวันว่างก็ไปเล่นดนตรี ก็อยากทำแบบนั้นบ้าง แล้วเราก็อยากเพิ่มงานธุรกิจที่เป็นอะไรที่ชัดขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่วางแพลนมา แล้ววทำได้ จริงๆ ผมก็ทำอยู่ตัวนะ งานพิธีกรก็อยากให้มันพุ่งนะ อยากทำพิธีกรคู่กับคนที่มีความสามารถอีก ”
“ตั้งจุดมุ่งหมายให้มั่นคง แล้วก็พยายามคิดอะไรให้เห็นภาพแล้วเราจะเกิดแรงบันดาลใจ” เป็นคติในการใช้ชีวิตอย่างมีแผนของตัวเองในแบบฉบับของหนุ่มกราฟ เพียงแค่คิดทุกอย่างให้เห็นภาพ แล้วเมื่อถึงวันที่สามารถมีทุกอย่างในแบบที่วางเอาไว้ ก็ถือว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ฝัน
“ถามว่าทุกวันนี้ผมได้ทุกอย่างครบหรือยัง ผมได้ครบแล้วนะครับ ก่อนอายุ 30 ด้วย แต่ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่นะ ผมต้องทำให้ได้มากกว่านี้นะ ต้องทำให้ดีกว่า ”
3
ถามถึงเรื่องความรักของเขาบ้าง ว่าเขาได้วาดฝันเอาไว้อย่างไรบ้าง หนุ่มกราฟ ตอบว่าเป็นเรื่องที่ยังตอบไม่ได้ เพราะเขาอยากได้ความรู้สึกที่เรียกว่าเพื่อนสนิทมากกว่าการที่จะมานั่งเป็นแฟนกันแล้วมีการทะเลาะ ในมุมมองของเขาบอกว่า หลายอย่างทำกับเพื่อนได้ แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่สามารถทำกับเพื่อนได้เช่นกัน
“ความรักตอนนี้ ก็โอเคนะ โตแล้ว ตอนอยู่มหา'ลัยอยู่กับเพื่อน ปาร์ตี้กัน ที่ผ่านมาก็มีความรักนะ แต่มันยังไม่ได้โต และไม่ได้เข้าใจมันอย่างจริงจัง พอเพื่อนๆ ทำงานก็ต้องเข้าใจการอยู่คนเดียว บางอย่างที่ต้องทำมันสามารถทำกับเพื่อนได้อย่างดูหนัง หรือไปไหนที่พิเศษ มันก็ไม่สามารถทำกับเพื่อนได้ เราก็อยากมีแฟนบ้างนะ ก็ยังมีแค่คนที่ศึกษากันไปนะ ผมวางเอาไว้ว่า ใครที่เราจะคบก็อยากคบเป็นเพื่อนสนิท ไม่อยากเรียกว่าแฟน เพราะวัยรุ่นเดี๋ยวนี้ ก็ทะเลาะกันบ่อย พวกที่เรียกกันว่าแฟน เพื่อนมาช้าสิบนาทีเราไม่เคยโกรธ แต่เมื่อไหร่ที่เรียกว่าแฟน มาช้าสิบนาที โกรธกันไปสองวัน ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เป็นเพื่อนสนิทก็ยังดีกว่า ”
“ตอนนี้ขอคนที่มีไลฟ์สไตล์ตรงกัน คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน ผมไม่อยากทะเลาะกัน ถึงไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกัน แต่ก็เข้าใจกัน ไปไหนไปกัน ผมอยากได้คนที่ไลฟ์สไตล์ตรงกัน ไม่ใช่ไปไหนแล้วเราสนุกคนเดียว เค้าแค่ไปเป็นเพื่อนแล้วเค้าไม่สนุกก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น ระดับความสนุกต้องเท่ากันด้วยครับ”
ใครที่คิดอยากจะนำเอาวิธีการวางแผนชีวิตของหนุ่มกราฟ ไปลองคิด ลองฝันและลงมือทำให้ได้อย่างที่ตัวเองฝันเอาไว้ ก็จะทำให้ชีวิตของคุณดูมีจุดมุ่งหมายและมีความสุขบ้างก็ได้
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ โอสธี ซุ่นมงคล
ชื่อเล่น กราฟ
เกิด วันที่ 9 กรกฎาคม 2529
การศึกษา ปริญญาตรี คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
งานอดิเรก เล่นดนตรี
ผลงาน ศิลปินวงแบล็ควานิลลา,พิธีกรรายการปาปาย๊าคซี่ ช่อง ย๊าค ทีวี
ข่าวโดย Manager Lite /ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร