xs
xsm
sm
md
lg

สาวเซ็กซี่ว่าที่ด็อกเตอร์ “ปิ๊งปิ๊ง-รภัทร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
สาวหุ่นเซ็กซี่ นัยน์ตาหวาน ปิ๊งปิ๊ง-รภัทร เอกนิธิเศรษฐ์ พิธีกรรายการคนพันธุ์หนัง หลายคนรู้จักเธอจากภาพยนตร์แนวอีโรติกชวนสยิว เรื่องน้ำตาลแดง 2 ในคาแร็กเตอร์สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ที่ทำให้หนุ่มๆ ต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน วันนี้เธอกลับมาอีกครั้งในบทบาทนักข่าว ภาพยนตร์เรื่องแวมไพร์ สตอเบอร์รี่ บอกได้เลยว่าความสามารถของเธอนั้น ไม่แพ้เรื่องรูปร่างหน้าตาที่เห็นจากภายนอก เลยแม้แต่น้อย เพราะอีกไม่นานจะได้รู้จักเธอในฐานะด็อกเตอร์สาวสุดเซ็กซี่อีกคนหนึ่งในวงการบันเทิงไทย

M-open นัดพบเธอภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่เรียนของว่าที่ด็อกเตอร์สาวคนนี้นั่นเอง วันนี้เธออยู่ในชุดกระโปรงสีหวานสะดุดตา เดินส่งยิ้มทักทายมาแต่ไกลด้วยอัธยาศัยเป็นกันเอง และเมื่อทีมงานได้สัมภาษณ์เธออย่างใกล้ชิด ให้รู้ทันทีเลยว่าเธอมีอะไรมากกว่าความเซ็กซี่บนเรือนร่าง

ว่าที่ด็อกเตอร์สาว
ทั้งหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ เห็นเธอคงรู้สึกปิ๊ง! อยู่ไม่น้อย ปิ๊งมากหน่อย ขอดับเบิล เหมือนชื่อ “ปิ๊งปิ๊ง” ของเธอ เห็นน่ารัก เซ็กซี่ได้ใจขนาดนี้ รู้ไหมว่าเรื่องราวในวัยเด็กของสาวปิ๊งปิ๊งก็ไม่เบาเหมือนกัน

บางคนก็เรียกเธอว่า “ปิ๊งปิ๊ง” แต่บางคนก็เรียกว่า “June” จึงขอชื่อสรุปของเธอสักหน่อยว่าที่จริงแล้วชื่ออะไรกันแน่ “สรุปคือว่าชื่อปิ๊งปิ๊ง แต่เกิดเดือนJune ในตอนเด็กเพื่อนๆ ไม่เรียกปิ๊งปิ๊งเพราะชื่อเรียกยากก็เรียกจูนกันหมด ส่วนแม่และเพื่อนใหม่จะเรียกปิ๊งปิ๊ง”

“ตอนเด็กเราไม่ค่อยซน จะดื้อเงียบมากกว่า ไม่เถียง แต่ไม่ทำตาม เป็นคนเฉยๆ จะพูดเฉพาะคนรู้จักเท่านั้น แต่ถ้าสนิทมากๆจะพูดเยอะมาก เรามีพี่น้อง 4 คน ชาย 2 คน หญิง 2 คน เป็นลูกคนที่ 3 ตอนเด็กแม่จะชอบถามตลอดว่าอยากมีน้องไหม แต่เราไม่อยากมี พอมีจริงๆ มันก็โอเค น่ารักดี แต่เราจะสนิทกับพี่ชายคนโต เพราะจะชอบถามเรื่องเรียน เรื่องทั่วไป”

แม้จะเกิดที่จังหวัดลพบุรี แต่เธอก็มีกรุงเทพฯเป็นญาติสนิท เพราะเทียวไปเทียวมาเพื่อเรียนพิเศษอยู่เป็นประจำ จนได้เข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว จุดเริ่มต้นของเภสัชหญิงจึงเกิดขึ้นที่นี่

“เราเกิดที่ลพบุรี เรียนโรงเรียนพิบูลวิทยาลัยและโตมาก็เรียนพิเศษที่กรุงเทพฯ ไปๆ มาๆ จึงกลายเป็นว่าเรามีเพื่อนอยู่ 2 ที่ สมัยเด็กเรียนเก่งนะ เรายังไม่ติดเพื่อน และตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็ต้องมานั่งเล่าสิ่งที่เรียนให้พ่อฟัง พอถึงเวลาเรียนพิเศษพ่อก็ไปส่ง เรียนเสร็จพ่อก็มารับ จึงไม่ค่อยอยู่กับเพื่อนมากเหมือนตอนวัยรุ่น พอเรียนปริญญาตรี คณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาอาชีวะอนามัยและความปลอดภัย มหาวิทยาลัยหัวเฉียว บางนา ก็เริ่มติดแฟชั่นนิดหนึ่ง”

“พ่อเขาอยากให้เรียนเป็นหมอ แต่ด้วยความที่เรากลัวเลือด กลัวผี ก่อนหน้านี้เราเรียนเภสัชฯ มา ด้วยสายงานของเภสัชฯ ไม่ได้เจอใคร อยู่แต่ในห้องยา เหมือนชีวิตมันจำเจ เราอยากทำงานในวงการวิทยาศาสตร์ แต่อยากเจอคน จริงๆ ตั้งใจเป็นอาจารย์มานานแล้ว เพราะถ้าสมมติเราจบปริญญาเอกแล้วก็จะสอนได้ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท เจอคนที่หลากหลายมากขึ้น แลกเปลี่ยนความรู้กัน ดังนั้นจึงเลือกเรียนปริญญาโท และปริญญาเอกในสายที่เกี่ยวเนื่องกัน คณะสาธารณสุขศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

อีโรติกครั้งแรก
เธอเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตามากขึ้น หลังรับเล่นภาพยนตร์อีโรติกอาร์ตเรื่อง น้ำตาลแดง 2 ตอนคู่รักบนดาวโลก ด้วยฉากเซ็กซี่ โชว์เนื้อนวลเนียน พาหนุ่มๆ นั่งเคลิ้มน้ำลายไหลตามๆ กัน ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้ฝากผลงานพิธีกร รายการคนพันธุ์หนัง ช่องมงคลแชนแนล เอาไว้ แต่ความเซ็กซี่ดันไปสะดุดตาคนทำหนัง จึงต้องชักชวนเธอมาเข้าร่วมเล่นโปรเจกต์หนังอีโรติกอาร์ต แต่เขาว่าไม่ได้ขายเซ็กส์??

“ช่วงที่จบปริญาตรีแล้วได้ไปแคสติงของช่อง มงคลแชนแนล แล้วได้เป็นพิธีกรรายการคนพันธุ์หนัง จึงเป็นงานที่จับชิ้นแรกเลย เราเป็นพิธีกรอยู่ประมาณปีกว่าๆ เกือบ 2 ปี แล้วก็มีโปรเจกต์หนังเรื่อง น้ำตาลแดงขึ้นมา เป็นของสหมงคลฟิล์มอยู่แล้ว เขาก็ลองเรียกไปคุยดูว่าสนใจไหม ตอนแรกเขาบอกว่าหนังมันจะเป็นอีโรติกอาร์ต คือไม่ได้ขายเซ็กส์ เราก็เลยรับเล่น ตอนที่ไปคุยกับผู้กำกับก็ยังไม่ได้พูดคุยถึงมุมเซ็กซี่มากมายเลย เราไม่รู้จักหนังอีโรติก เขาถามว่าเราเล่นหนังเซ็กซี่ได้ไหม เราเข้าใจว่าเหมือนถ่ายบีกินนี่มันก็เซ็กซี่อยู่แล้วใช่ไหม เราไม่เข้าใจว่าเซ็กซี่มันมีฉากเลิฟซีนขนาดนั้น”

เมื่อรับเล่น พร้อมทั้งเซ็นสัญญาแล้วจะกลับคำคงไม่ได้ ทางเลือกเดียวคือต้องเดินหน้าต่อไป แต่สิ่งที่เห็นนั้นเป็นของจริงแท้ๆหรือใช้ตัวแสดงแทนกับบทบาทที่ได้รับนี้ ยังคงค้างคาใจใครหลายคน เธอจึงเปิดใจเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นกำลังถ่ายทำอยู่ก็ยังเรียนไม่จบปริญญาโท ช่วงนั้นเขาบอกว่าหนังจะออกเดือนมิถุนายน แต่เรายังไม่ได้รับปริญญา แล้วที่นี่รับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพฯก็กลัวว่าเขาจะไม่ให้เราเข้ารับ ก็เลยขอใช้สแตนด์อิน พี่ปัดก็ให้ใช้ บางคนที่เขาไม่รู้จักเรา เขาก็ว่า เฮ้ย!..ใช่เรารึเปล่า มันก็เลยดูเซ็กซี่ ข้างหลังนี่เป็นตัวปิ๊งเองเลย พี่ปัดเขาเห็นว่าเราผิวดี เขาก็อยากให้เราโชว์ เราก็แค่ข้างหลังแล้วกันพี่ เขาก็โอเค”

“ตอนที่เล่นมันเป็นตอน คู่รักบนดาวโลก มันจะเป็นแนวอวกาศหน่อยๆ ด้วยความที่หนังต้องไปฉายที่เมืองคานส์ด้วย เขาจึงอยากให้ออกมาเซ็กซี่นิดหนึ่ง ตอนหนังตัดออกมาเสร็จแล้ว พี่หนอ-วีระชัยที่เล่นด้วยกันเขาไปดูมาก็บอกว่าเซ็กซี่นะ ดูดี หุ่นดี พี่เขาอยู่ในวงการนานเขาอาจจะค่อนข้างชินกับแบบนี้อยู่แล้ว และอีกอย่างหนึ่งเขาเป็นผู้ชาย แต่เราได้ดูวันแรกคือรอบปฐมทัศน์ เราเห็นพร้อมกันกับสื่อมวลชน เราก็อู้ฮู!...ปิดตาข้างหนึ่ง แล้วผู้กำกับเขาก็ชะโงกหน้ามาดู ถามว่ายูโอเคเปล่า แต่ถ้าสมมติว่าเราไม่โอเค เขาตัดต่อให้ได้ แต่ว่าฉายรอบสื่อห่างจากวันฉายจริงไม่ถึงอาทิตย์ มันก็ไม่ทันแล้วล่ะ เราก็บอกไม่เป็นไรหรอก พี่ตัดทีเซอร์ไปซะขนาดนั้นแล้ว”

ด้วยเนื้อหาเป็นผู้หญิงคอนเซอร์เวทีฟ (conservative) จึงดูไม่แรงมาก ในบททำฉากเซ็กซี่ตอนที่ทาครีม แล้วตอนที่ผู้ชายคิดจะมีเซ็กซ์กับผู้หญิง อาจดูว่ามันแค่นี้ แต่จริงๆนี่แหละเป็นจุดขายของเรื่องที่เธอต้องแสดง

เซ็กซี่สุดๆ ไปเลย
ตามงานสังคมของคนบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นงานอีเวนต์ หรืองานแถลงเฉพาะกิจต่างๆ อาจเห็นสาวปิ๊งปิ๊งออกโชว์ตัวบ่อยครั้ง ที่รู้สึกว่าบ่อยครั้งนั้น คงเป็นเพราะจดจำเธอได้ในลุคการแต่งตัวแนวเซ็กซี่ จึงเป็นที่สะดุดตาใครหลายคน ภาพลักษณ์ที่ออกมาจึงดูเซ็กซี่จนได้เรื่อง เมื่อถามใครต่อใครก็ต้องเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “เซ็กซี่สุดๆ”

ถ้าถามในมุมมองของเธอ คิดว่าตัวเองเซ็กซี่ไหม “เพื่อนชอบบอกว่าเราเซ็กซี่ ส่วนใหญ่ที่เราไปออกงานก็จะแต่งตัวเซ็กซี่ ภาพลักษณ์ของเราเลยดูเซ็กซี่” เมื่อถามต่อไปว่าส่วนไหนที่คิดว่าเซ็กซี่สุด เธอพูดทวนคำถามพร้อมกับทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบกลับว่า “น่าจะเป็นตา (หัวเราะ) เพราะมันเป็นส่วนที่เด่นที่สุดแล้ว”

หลายคนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจที่จะอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอโชว์หวิวเพื่อแจ้งเกิดในวงการหรือเปล่า “ตอนนี้เราอายุเยอะแล้ว 26 ปี บางคนเขาเข้ามาในวงการตั้งแต่เด็กๆ แต่พอเราเข้ามาในตอนอายุเท่านี้ มันก็ไม่ถึงขนาดกับแจ้งเกิด มันเหมือนเป็นความบังเอิญ ดวงด้วย มันเป็นงานแรก แล้วมันดูเซ็กซี่ ถ้าถามว่ามีบทเรียบร้อยมาตั้งแต่ทีแรกจะรับเล่นไหม ก็รับเล่น แต่ตอนนี้มันมาเซ็กซี่แล้ว พอเป็นอย่างนี้ก็จะมีคนเขารอดู ก็โอเคเซ็กซี่ก็ได้ ถ้าทำให้เขาจำเราได้ มันเหมือนเป็นคาแร็กเตอร์ของแต่ละคน”
เราเป็นคนที่สุดในทุกเรื่อง เวลาเรียนเราก็เป็นคนตั้งใจสุดๆ เวลาทำงานก็ตั้งใจสุดๆ อยากทำอะไรให้มันสุดๆ จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายทีหลังว่าเรายังไม่เต็มที่กับมัน อย่างเคยมีแฟน เราก็รักเขาสุดๆ พอเลิกกัน เราก็เสียใจสุดๆ แต่มันจะเสียใจแป๊บเดียว ก็ต้องยอมรับว่ามันคงไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ คือเราก็ทำที่สุดของเราแล้ว ถ้าทำมากกว่านี้มันก็ไม่ได้ ไม่ใช่เราแล้ว พอเวลาทำสุดๆ ทุกครั้งจึงไม่เสียใจเลย เหมือนเราพยายามเต็มที่แล้ว ใช้คตินี้เลย “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ใช้มาตลอด”

“ช่วงหลังๆ มานี้ก็ไปหัดไดรฟ์กอล์ฟ ตอนแรกไม่อยากเล่นกอล์ฟเพราะว่าเรากลัวดำ แต่เพื่อนบอกว่าสนามกอล์ฟมันปิด 4-5 ทุ่มนะ แค่ไดรฟ์อย่างเดียวเหงื่อก็ออกเยอะแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ เราจะชอบว่ายน้ำ ว่ายบ่อยๆ คอลลีนก็กัดผมเสีย ก็เลยไปไดรฟ์กอล์ฟดีกว่า ส่วนใหญ่ไปตรง อาร์ ซี เอ ไดรฟ์วิ่งเลนจ์ หรือไม่ก็ออลสตาร์” เห็นแบบนี้ท่าไดรฟ์กอล์ฟของเธอคงเซ็กซี่น่าดู

อีก 3 ปีแต่งงาน
คงไม่ผิดที่ดอกไม้สวยงามมักจะมีแมลงมาดอมดม แต่ถ้าเป็นพวกแมลงหวี่ แมลงวัน ก็อย่าได้แวะเวียนมากวนใจ จึงไม่แปลกที่ปิ๊งปิ๊งจะไม่รับโทรศัพท์เบอร์แปลกเลย เพราะเธอชอบเจอคนโรคจิต ถ้าใครอยากแสดงอาการจิตป่วยกับเธอทางโทรศัพท์ กรุณาเห็นใจกันบ้าง ถึงแม้ว่าเธอจะเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่มันก็เป็นข้อดี ถือเป็นเกราะป้องกันเรื่องความรักสำหรับเธอ

“เราเป็นคนรักใครแล้วรักมาก พอมันเจ็บก็ไม่อยากจะเริ่มต้นใหม่กับใคร เหมือนว่าเราโตขึ้นแล้วด้วยเลยคิดเยอะขึ้น แต่เราไม่ได้คบคนที่หน้าตา แค่ดูโอเค ไม่ถึงขนาดต้องหล่อ สเปกชอบผู้ชายขาวๆ ตี๋ๆ ชอบผู้ชายฉลาด ชอบผู้ชายที่เดินมาแล้วดูสง่า ดูดี ไม่ชอบผู้ชายเป็นแฟชั่นจ๋า เคยคุยกับเด็ก อืม...ไร้สาระน่ะ คือจะเป็นเด็กก็ได้ หรือผู้ใหญ่ก็ได้ แค่ให้ความคิดดูโตเป็นผู้ใหญ่และไม่ง้องแง้ง”
เรื่องของหนุ่มๆ จึงมักมาวนเวียนหัวใจของเธออยู่บ่อยๆ อย่างที่เคยเป็นข่าวทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ กับ กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์ เธอก็ออกตัวยอมรับว่า “จริงๆ ก็รู้จักกันจริง แต่คุยกันขนาดที่ยังไม่เรียกว่าคบกัน มันเหมือนกับว่าพอมีพาดหัวข่าวเยอะๆ ก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา ไม่รู้ว่าพี่กฤษณ์เขาอ่านข้างในบ้างหรือเปล่า ถ้าเขาอ่านข้างนอกมันดูแรงอยู่แล้ว ถ้าอ่านคำสัมภาษณ์ของปิ๊งปิ๊งเอง มันไม่มีอะไร ปิ๊งแฉกฤษณ์ โน่น..นั่น..นี่..ถ้าสมมติเราจะแฉจริงๆ นะคงพูดไปนานแล้ว ส่วนที่เราบอกอาจจะเป็นหนึ่งส่วนร้อยก็ได้ คิดว่าตัวพี่เขาเองคงรู้ดีที่สุด แต่ตอนหลังเราก็ไม่ได้คุยกันแล้ว ไม่ได้สื่อสารกันด้วยภาษาของเราสองคนเองเลย”

พอถามเรื่องหนุ่มในใจ เธอจึงเปรยออกมาว่า “ตอนนี้ก็มีคุยๆกันนะคะ แต่ว่าด้วยความที่เราเป็นคนอย่างนี้ ผู้ชายเขาอาจคิดว่าเราแรง ด้วยภาพลักษณ์ ด้วยอะไรก็ตาม ก็อาจไม่กล้าคุย เพื่อนที่คณะก็ไม่ค่อยคุยกับเรา เพราะเราไม่ค่อยคุยกับเขาด้วย แต่ก็มีคนคุยกันอยู่ คอยปรึกษากันอยู่ก็มีบ้าง”

เคยแอบได้ยินมาว่าปิ๊งปิ๊งมีแพลนแต่งงานในอีก 3 ปีข้างหน้า “อืม...ใช่ ใช่ จริงๆ แล้ว คือก่อนหน้านี้คุณพ่ออยากให้เรียนหมอ แต่เราทำให้พ่อไม่ได้ก็เลยบอกว่า เราเรียนด็อกเตอร์ให้แล้วกัน เหลืออีก 3 ปีมันก็จะเป็นชีวิตของเราแล้ว พอจบด็อกเตอร์ เรื่องทำงานในวงการก็ยังเป็นสิ่งที่เราอยากทำ แต่เป็นอาจารย์พ่อก็คงโอเค ภูมิใจที่ลูกเรียนจบแล้วเป็นอาจารย์ และก็อาจมีชีวิตส่วนตัวของตัวเอง อาจจะคบใครจริงจังแล้ว ตอนนั้นเราก็ 29 ปีแล้วนะ ก็น่าจะคิดถึงเรื่องแต่งงานได้แล้ว แต่ถ้าไม่ได้แต่งก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ)”

นอกจากปิ๊งปิ๊งจะทำงานหลักเป็นพิธีกรรายการ คนพันธุ์หนังแล้ว ถ้าใครอยากเห็นบทบาทการแสดงของเธออีกครั้ง ปลายเดือนตุลาคมนี้ คงได้เห็นกับบทเหยี่ยวข่าวสาว ในภาพยนตร์แนวแอ็กชัน คอมเมดี้ เรื่อง แวมไพร์ สตรอเบอร์รี่ ของค่าย 96 Film ก็ต้องอดใจรอดูเพื่อพิสูจน์ผลงานกันต่อไป




ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : "ปิ๊งปิ๊ง" รภัทร เอกนิธิเศรษฐ์
วัน เดือน ปีเกิด : 7 มิ.ย. 2528
น้ำหนัก-ส่วนสูง : 47 กก./168 ซม. สัดส่วน 34-24-34
การศึกษา : ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต (สาธารณสุขศาสตร์) มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ปริญญาโท สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และกำลังศึกษาปริญญาเอก สาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาคอินเตอร์) และ รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ปัจจุบัน : พิธีกรช่องมงคล แชนแนล ( Mongkol Channel ) รายการ คนพันธุ์หนัง ของสหมงคลฟิล์ม
คติประจำใจ : ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ผลงานเด่นที่ผ่านมา : พิธีกร รายการคนพันธุ์หนัง ช่องมงคล แชนแนล, ภาพยนตร์โปรเจกต์ น้ำตาลแดง ตอน คู่รักบนดาวโลก
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 
 
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน








ปิ๊งปิ๊ง ขอเซ็กซี่นิดนึง
กำลังโหลดความคิดเห็น