เรากำลังตกนรกโดยไม่รู้ตัว!... น่าตกใจแต่เป็นเรื่องจริง เชื่อหรือไม่ว่าท่วงทำนองนับร้อยที่ผ่านหูเข้ามาให้ได้อินไปกับเนื้อหาในบทเพลงรักๆ เลิกๆ กำลังเปลี่ยนให้เราทั้งหลายกลายเป็นคนโลเลและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ก่อนจะปล่อยตัวเองให้แปดเปื้อนไปมากกว่านี้ ขอให้หยุดความเคยชินเดิมๆ และหันมาทำความรู้จักกับบทเพลงอีกฝั่งหนึ่งดู รับรองว่าฟังแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะครบสมบูรณ์
อยากขึ้นสวรรค์ทั้งที่ยังไม่เคยไป ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีวันเดินถูกทางแน่ ในฐานะของคนที่มองเห็นจุดหมายปลายทางอยู่รำไร “จีวันแบนด์” วงดนตรีธรรมะอย่างเป็นทางการวงแรกของประเทศไทย จึงขออาสาฉุดชาว M-Lite ขึ้นจากหลุมดำ พร้อมทั้งชี้ทางสวรรค์ผ่านดนตรีและเนื้อร้องเข้าใจง่าย ท่วงทำนองที่จะทำให้ใจคนฟังเบาสบายและเป็นสุข
เพลงสมัยนี้ใฝ่ต่ำ!
“วิทยุเต็มไปด้วยเพลงโลเลและจิตทรามมากเกินไป เพลงให้ความเข้มแข็งและจิตสูงหายาก เด็กๆ ของเราจึงมีความโลเล อ่อนแอ และใฝ่ต่ำ”
ทัศนะเมื่อครู่คือคำเทศน์จากท่านพุทธทาสภิกขุเมื่อ 60 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ศิลปินนักอนุรักษ์อย่าง “สรมย์ฤทธิ์ จีวัน” หรือ “ดินป่า จีวัน” หันมาตั้งคำถามกับเพลงตามท้องตลาดซึ่งมักมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องชิงรักหักสวาทจนเกินพอดี เมื่อทนต่อไปไม่ไหว จึงหันมาจับเมโลดี้ใส่ลงไปในคำสอนของท่านพุทธทาสฯ ผลิตเพลงทางเลือกออกมาในนาม “จีวันแบนด์” โดยมีคู่ชีวิต “ณพา จีวัน” สังเคราะห์เสียงใสๆ ลงแผ่น แจกจ่ายไปสู่ผู้ที่ต้องการคำตอบให้แก่ชีวิต
“ต้องบอกว่าเราเคยแต่งเพลงแบบนั้นมาก่อน เคยฟังมาก่อน เราถึงรู้ว่าเพลงเหล่านั้นคือเพลงราคะ เป็นเพลงที่ต่ำที่สุด ลามกที่สุด ฟังแล้วทำให้จิตทราม เกิดความรู้สึกโลเล เพราะฉะนั้นเพลงเหล่านี้สมควรโดนประณาม คิดดูสิว่าเด็กๆ ได้อะไรจากเพลงเหล่านี้บ้าง อย่างเพลง “ฉันรักผัวเขา” หรือ “อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน” เราปล่อยให้เขาฟังอะไรแบบนี้ แสดงว่าสังคมเรากำลังสร้างเด็กแบบไหนขึ้นมาล่ะ” ดินป่า จีวัน หรือที่ใครๆ เรียกชื่อเขาอย่างติดปากว่า “จีวัน” ตามชื่อวงดนตรี ปิดประโยคด้วยคำถามที่ทุกคนเห็นคำตอบกันชัดเจนอยู่แล้ว
“ถามว่าเพลงเหล่านี้เหมาะกับใคร (นิ่งคิด)... ไม่มี แต่ถ้าบอกว่าเพลงธรรมะไม่เหมาะกับวัยรุ่น แล้วเพลงพวกนี้เหมาะกับเขาหรือ ให้เขาไปฟังเพลงที่เน้นราคะ โทสะ โมหะ มันดีกว่าหรือ เห็นๆ อยู่ว่าคนที่ผลิตเพลงแบบนี้ออกมาทั้งคนแต่งคนร้อง ในทางศาสนาแล้ว พวกเขาตกนรกหมดเลย อันนี้เรื่องจริง ผมไม่ได้พูดเอาเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกแล้ว” เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาแสดงสีหน้าตกใจระคนแปลกใจ สมาชิกอีกคนของวงซึ่งนั่งเงียบมานานจึงเริ่มออกโรง
“จริงๆ ค่ะ คนเขาจิตปกติอยู่ดีๆ ฟังเพลงของคุณเข้าไป จิตเขาก็ฟุ้งซ่าน คนอยู่สบายๆ มาทำให้เขารู้สึกหลงๆ ถามว่าตกนรกไหมล่ะ (ยิ้มเย็นๆ) นอกจากคุณจะไม่ช่วยเสนอทางออกให้เขาแล้ว ยังไปทำให้เขาแย่หนักกว่าเดิมอีก แล้วพอเกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็มานั่งโทษกันว่าเพราะเด็กเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยหันกลับมามองเลยว่าตัวเองเสนออะไรให้เขาบ้าง"
"เพราะอย่างนี้แหละจีวันแบนด์เลยต้องออกมาแสดงตัวให้ชัดเจนว่าเรากำลังจะยืนอยู่อีกข้างหนึ่งของสังคม พยายามนำเสนอด้านสว่างๆ บ้าง สโลแกนของเราคือสังคมอาจย่ำแย่ย่อยยับ แต่เราอย่าเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ทำลายสังคม จงยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเสมอ และเราก็ทำแบบนั้นมาตลอดค่ะ” ติ่ง-ณพา จีวัน นักร้องนำเสียงสวยประกาศจุดยืนชัดถ้อยชัดคำ
เปลี่ยนร้ายเป็นดีได้ใน 2 ชั่วโมง
ถึงแม้บทเพลงของพวกเขาอาจยังมีอำนาจไม่พอที่จะเปลี่ยนความคิดของคนทั้งประเทศ หรืออาจยังไม่ทรงพลังพอที่จะมอบความดีให้แก่คนทั้งโลกได้ แต่คนที่เปิดใจฟังแล้วดวงตาเห็นธรรมก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้กระทั่งกับเด็กวัยรุ่นที่เคยหัวรุนแรง ก้าวร้าว ยังยอมถอดลายเสือหลังจากชมคอนเสิร์ตวงจีวันแบนด์ได้เพียง 2 ชั่วโมง
“เชื่อไหมว่าสองชั่วโมงครึ่งหลังจากคอนเสิร์ต แม่เขาโทร.มาหาพี่ บอกว่าขอบคุณมากค่ะที่ทำให้ลูกเขาเปลี่ยน ทำให้เด็กอายุ 18 คนหนึ่งเปลี่ยนไป จากตอนแรกแม่ชวนไปดูคอนเสิร์ตไม่ไป วีนใหญ่เลย บ่นว่าไปทำไม น่าเบื่อ ปรากฏว่าพอได้เข้าไปอยู่บรรยากาศของเรา ชั่วโมงแรกผ่านไป เขานิ่งไปเลย"
"พอชั่วโมงที่สองปุ๊บ แม่เริ่มเห็นแล้วว่าเขานิ่งผิดปกติ เป็นอะไรหรือเปล่า ดูอีกทีเพิ่งเห็นว่าน้ำตาเขาไหล หลังจากวันนั้นเขาก็ขอพาแม่ไปกินข้าวนอกบ้านและคุยกับแม่ดีมาก ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยทำ เขาเปลี่ยนพฤติกรรมไปเลย ไม่ใช้น้ำเสียงรำคาญหรือก้าวร้าวกับแม่เหมือนที่ผ่านมา” นักร้องนำของวงถ่ายทอดความทรงจำให้ฟังด้วยท่าทีปลาบปลื้ม
หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆ เองยังทดสอบมาแล้วว่าเพลงธรรมะของจีวันแบนด์ได้ผลจริงๆ “มีเด็กที่พ่อแม่เอาเพลงของจีวันให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้องหรืออายุแค่ไม่กี่ขวบ เด็กที่โตมากับเพลงของเรากลายเป็นเด็กเลี้ยงไม่ยาก"
"มันจะมีเนื้อเพลงเพลงหนึ่งที่ร้องว่า “ลูกใครหนอทำไมน่ารักจัง ลูกใครหนอทำไมถึงดีจัง ลูกใครหนอแม่คงสอนมาดี” กับอีกท่อนหนึ่งร้องว่า “ลูกใครหนอทำไมถึงเลวจัง ลูกใครหนอทำไมถึงต่ำทราม ลูกใครหนอทำไมถึงเดือดร้อนบุพการี” พอเด็กจะดื้อปุ๊บ คุณแม่เริ่มร้องว่า “ลูกใครหนอ...” แค่นี้เด็กก็จะเข้าใจละว่าอย่าดื้อ (ผู้แต่งเพลงยิ้มกว้าง) คล้ายๆ กับเพลงของเรากลายเป็นอุปกรณ์สอนลูกไปด้วยในตัว”
แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ได้ฟังเพลงของจีวันแบนด์จะหันกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือได้สำเร็จกันทุกคน และทั้งคู่ก็ไม่เคยคาดหวังผลลัพธ์ใหญ่โตขนาดนั้น เพียงแค่หวังว่าเสียงกีตาร์ใสๆ คำสอนง่ายๆ จะช่วยดึงสติให้กลับมาอยู่กับคนฟังได้บ้างเท่านั้นเอง
“ดนตรีหนักๆ พอฟังบ่อยๆ เข้ามันไปกระตุ้นซินแนปในสมอง ทำให้เกิดอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว อันนี้มีผลการศึกษาออกมาชัดเจนเลยค่ะ แต่เพลงของเราเป็นดนตรีคลื่นต่ำ ฟังสบาย และดนตรีเบาๆ นี่แหละที่ไปช่วยกระตุ้นความดีในตัวคนฟังให้ตื่นขึ้นมา” นักร้องประจำวงเปิดใจ ก่อนปล่อยให้ผู้ร่วมอุดมการณ์พูดเสริม
“สำหรับคนที่กำลังพาชีวิตดิ่งสู่เส้นทางสายนรก เพลงของเราเปรียบเสมือนเบรก บอกให้หยุด ให้ตั้งสติก่อน พอได้สติก็จะมองเห็นว่าทางข้างหน้ามันเป็นเหวนะ แต่ไม่ได้หมายความว่าฟังเพลงเราแล้วคนที่แย่ๆ จะกลับตัวเป็นคนดีทันที อย่างน้อยแค่ให้เขาหยุดให้ได้ก่อน หยุดจากสิ่งไม่ดีที่เคยทำ แค่นี้ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากๆ แล้ว”
เคยหลงทาง
“เราหยุดแล้ว ท่านล่ะหยุดหรือยัง” คือคำพูดตอนหนึ่งที่จีวันใช้น้ำเสียงเย็นๆ เปรยขึ้นมา ช่วยให้ผู้สัมภาษณ์แน่ใจได้ว่าเขาตัดสินใจหันหลังให้กับเส้นทางสาย “นรก” ไปแล้ว เขาเรียกมันว่าอย่างนั้น แต่กว่าจะค้นพบความสุขสงบอย่างทุกวันนี้ เหลียวหลังกลับไปยังสะท้อนภาพรอยเท้าของคนเดินสะเปะสะปะมาตลอดทาง จีวันเล่าว่าเขาเริ่มต้นค้นหาตัวเองจากบทบาทนักอนุรักษนิยม ขับขานบทเพลงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการเมือง ร่วมเดินขบวนประท้วงครั้งประวัติศาสตร์ รอดชีวิตจากเหตุการณ์เสียเลือดเสียเนื้อ กระทั่งมีโอกาสได้พบเจอเส้นทางที่รอคอยมาทั้งชีวิต
“พฤษภาทมิฬ เราไปหลั่งเลือดชโลมดินกันที่ราชดำเนิน พอรอดมาได้ก็กลับมาคิดว่าสิ่งที่ทำไปมันคืออะไร บวกกับตอนนั้นอาจารย์ที่สวนโมกข์ท่านเสียชีวิตลง ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมพูดถึงท่านเยอะมาก จนรู้สึกสงสัยว่าท่านคงไม่ใช่ธรรมดาๆ พอเริ่มศึกษาถึงได้รู้ว่าเราถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วจะยิ่งใหญ่เท่าท่านพุทธทาสฯ"
"ได้ทราบประวัติว่าปี 2485 ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์เคยนิมนต์ท่านพุทธทาสฯ ให้ทำเพลงเกี่ยวกับธรรมะ แต่ท่านบอกว่าอาตมาทำไม่ได้ แต่งเพลงไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่ได้ แต่ท่านพูดไว้ว่าถ้ามีอย่างนี้ได้จะประเสริฐ รู้แบบนี้ปุ๊บ วันนั้นที่สวนโมกข์ เราก็สาบานกับตัวเองไว้เลยว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้จะไม่ทำอะไรอีกแล้ว จะตั้งใจสืบทอดศาสนาด้วยบทเพลงตราบจนสิ้นชีวิตในชาตินี้”
คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ทำให้เส้นทางชีวิตของจีวันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากภาพฝันที่เคยวาดไว้ว่าจะใช้ชีวิตตามวิถีศิลปินเต็มตัว ขับรถเที่ยว เทียวแต่งเพลงไปตามรายทาง “ฟังดูดีไหม?” เขาถามขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนขยายความให้ฟัง “ผู้ชายคนหนึ่งจบจากโรงเรียนศิลปะเพาะช่าง มีกีตาร์คู่ใจ ขับรถแต่งเพลงไปเรื่อย แล้วก็เขียนโปสการ์ดถึงเพื่อน ไม่มีอะไรจะงดงามมากไปกว่านี้อีกแล้วในชีวิต (ยิ้มปนขำ) โชคดีที่ตัดสินใจเดินมาอีกทาง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงยังใช้ชีวิตแบบโง่ๆ อยู่และคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว”
อีกหนึ่งสมาชิกของวงก็เคยหลงทางในชีวิตมาก่อนเหมือนกัน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ณพา จีวันจะทำงานเพื่อสังคมมาโดยตลอด มีคนนับหน้าถือตา แต่กลับไม่เคยเข้าใจความจริงของชีวิต กระทั่งได้จับไมค์ร้องเพลงธรรมะเป็นครั้งแรก
“คนที่ชอบออกหน้าว่าตัวเองทำงานเพื่อสังคม เอาเข้าจริงคุณทำเพื่อใคร ก็เพื่อตัวเองนั่นแหละ ต้องการให้คนยอมรับ ต้องการให้คนสรรเสริญ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่ก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน คิดว่าฉันจบจิตวิทยาสังคมมา อุตส่าห์มาทำงานกับยูนิเซฟ ฉันทำความดีให้แก่สังคม แต่จริงๆ แล้วปัญหาของตัวเองยังเอาไม่รอดเลย"
"ถ้าพูดชัดๆ ก็คือเราเป็นคนที่ช่วยแก้ปัญหาสังคม แต่เวลาคุยกับแม่ เฮ้ย! แม่ หนูไม่ว่าง แค่นี้นะ คือรู้ว่าเราควรจะทำยังไงถึงจะถูก ถึงจะดี รู้ว่าอะไรคือการกระทำของลูกกตัญญู แต่ชีวิตจริงๆ กลับทำไม่ได้อย่างนั้น ซึ่งพี่เชื่อว่าคนในสังคมส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ แต่พอถูกชวนให้มาร้องเพลงแม่ที่พี่จีวันแต่งถึงทำให้คิดได้ว่าที่ผ่านมาเราหลงทางมาไกลขนาดไหน” เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเย็นๆ
ถอดซิมออกก็จบ
สำหรับคนที่ยังเดินหลงทางกันอยู่ นักร้องและนักดนตรีวงจีวันแบนด์ไม่ได้ต้องการเร่งเร้าให้รีบตาสว่างกันไวๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโอกาสของแต่ละคนเหลืออีกไม่มากนัก... ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย
“การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบกับพระพุทธศาสนาเนี่ย มีโอกาสน้อยมากเลยนะ มีโอกาสเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดชาตินี้ยังไม่พยายามหาคำตอบ จะมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกทีในชาติหน้าเนี่ยมันยากมาก ยากพอๆ กับโอกาสที่เต่าตาบอดลอยอยู่กลางทะเลจะสามารถโผล่ขึ้นมาจากน้ำแล้วรับห่วงที่คนโยนมาให้ได้นั่นแหละ” จีวันเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก่อนชี้ทางสว่างให้สำหรับคนอยากเริ่มต้น
“ถ้ารู้ก่อนก็ฉลาดก่อน แต่ถ้าไม่รู้ก็เหมือนเราเดินแล้วไม่รู้ทางออก เราก็วนอยู่ที่เดิม สังเกตดูสิพวกเราจะเบื่อกันมาก สมัยเรียนก็จะเบื่อชีวิตตอนนั้นมาก ต้องตื่นอีกแล้ว ต้องเรียน ต้องกินข้าวอีกแล้ว ไปไหนแป๊บๆ ก็จะเบื่อ ต้องเปลี่ยนที่เที่ยวไปเรื่อย ไปภูเขาก็เบื่อ เปลี่ยนมาเป็นทะเล พออยู่กับตัวเองก็เบื่ออีก ถามว่าเบื่อเพราะอะไร เพราะไม่เข้าใจว่าตัวเองคืออะไร อะไรทำให้เกิดทุกข์ และจะดับทุกข์กันยังไง ชีวิตก็เลยวนเวียนอยู่กับสภาพทุกข์ใจแบบเดิมๆ”
“อันดับแรกเราต้องรู้ก่อนว่าตัวเราคืออะไร หลายคนยังตอบไม่ได้เลยทั้งที่มันง่ายนิดเดียว มองไปรอบตัวก็รู้แล้ว (ชี้ไปที่...) ต้นไม้ แก้วน้ำ โต๊ะ มนุษย์เราไม่ได้แตกต่างไปจากของบนโลกนี้เลย ทุกอย่างเกิดจากธาตุทั้งสี่คือดิน น้ำ ลม ไฟ ถึงวินาทีสุดท้ายพอดับไป ก็รวมเข้ากับธาตุทั้งสี่เหมือนเดิม แต่ที่เราต่างออกไปจากต้นไม้คืออะไร เรามีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง มีกิเลสอยู่ในใจ แต่ถ้าเราปล่อยวางจากสิ่งเหล่านี้ได้ ถอดจิต ถอดความรู้สึกออกจากร่างกายได้ เมื่อนั้นเราก็หมดทุกข์ เหมือนกับต้นไม้ที่มีชีวิตแต่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความทุกข์นั่นแหละ”
“เปรียบเทียบง่ายๆ คือร่างกายของเราเหมือนโทรศัพท์ จิตของเราเหมือนซิมการ์ด แต่เป็นซิมที่เต็มไปด้วยไวรัส เสียบไปในร่างกายเมื่อไหร่ ไวรัสพวกนั้นจะทำให้เรารู้สึกไปต่างๆ นานา กินเหล้ายี่ห้อนี้สิดี ใช้กระเป๋าใบนี้สิถึงจะเหมาะกับเธอ ถูกหลอกไปเรื่อย แต่เมื่อใดก็ตามที่คนเริ่มฉุกคิดได้แล้วว่าเราไม่ใช่เหยื่อ คนก็จะเริ่มมองหา พอเริ่มหาก็จะเห็นทางเข้าหาพระพุทธเจ้าเอง”
ทุกวันนี้มีแผนที่นำทางวางไว้ให้เต็มไปหมด โดยเฉพาะในหนังสือที่บอกขั้นตอนเอาไว้สำเร็จรูป จนคนที่มีโอกาสเปิดดูอย่างจีวันถึงกับอุทานออกมาว่า “โอ้โห! บอกกันอย่างนี้เลยเหรอ ของเรานี่กว่าจะได้แต่ละคำ ใช้เวลาเป็นปีๆ เลยนะ” แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครเห็นค่าเท่าใดนัก เพราะส่วนใหญ่มัวแต่แสวงหาความสุขจอมปลอมกันอยู่ จนลืมไปแล้วว่ามีตัวอย่างของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ได้หาคำตอบเอาไว้ให้แล้ว
“ทุกคนพยายามหาความสุข เข้าใจว่ามีแฟนแล้วจะมีความสุข มีลูกแล้วจะมีความสุข มีกิจการของตัวเองแล้วจะมีความสุข ทั้งที่พระพุทธเจ้าเฉลยเอาไว้หมดแล้วว่าถึงแม้จะเป็นคนที่มีทุกอย่างเหล่านี้ สุดท้ายก็ยังทุกข์อยู่ดี คิดดูสิ ใครจะรวยและเพียบพร้อมไปกว่าเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านจะได้เป็นกษัตริย์ในอนาคต ท่านยังหนีไปอยู่ในป่า ไปแสวงหาคำตอบให้แก่ชีวิต"
"แต่บางคนก็ยังแสดงความนับถือท่านผิดทาง ทั้งที่พระพุทธองค์เกิดมาเพื่อดับทุกข์เท่านั้นเอง ไม่ได้เกิดมาให้เอาแต่มานั่งกราบไหว้ ไม่ได้เกิดมาให้เราคอยเอาถังเหลืองไปถวาย ท่านเพียงแสดงให้เห็นว่าเมื่อมีทุกข์ก็ต้องมีทางดับทุกข์ แค่นั้นเอง”
เชื่อว่ามีบางคนยังคงแคลงใจว่าหากลองปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์แล้วจะหลุดพ้นได้จริงหรือเปล่า จีวันจึงช่วยยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เราต้องศรัทธาก่อน ต้องคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นถึงกษัตริย์ เป็นถึงผู้ทรงศีล เพราะฉะนั้นท่านไม่หลอกเราแน่นอน เราไม่มีหน้าที่เลยที่จะไปซักฟอกพระองค์ แค่ดูจากสิ่งที่ท่านสอนก็ชัดเจนอยู่แล้ว คนที่สงสัยในธรรมะเนี่ย โง่จนไม่รู้จะโง่ยังไงแล้วล่ะ (ยิ้ม)” มีคนช่วยชี้ทางสว่างขนาดนี้ ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าคุณพร้อมจะฉลาดแล้วหรือยัง?
---ล้อมกรอบ---
นี่คือ “เพลงราคะ”
จะรู้ได้อย่างไรว่าเพลงที่เราฟังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพลงไหนฟังแล้วจะฉุดลงสู่เส้นทางสายนรก หรือเพลงไหนช่วยชี้ทางสู่แสงสว่าง จีวันแบนด์ยิ้มเย็นๆ ก่อนแจกแจงให้ฟังว่าทางพุทธศาสนาแล้ว เพลงแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ 1.เพลงลามก 2.เพลงราคะ 3.เพลงเพื่อชีวิต 4.เพลงธรรมะ และสุดท้ายเพลงสวด “ตั้งแต่อันดับที่ 3 เป็นต้นไปถือว่าดีหมด” เขาบอกอย่างนั้น
“เพลงเพื่อชีวิตที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นแนวเพลงเพื่อชีวิตนะ แต่หมายถึงเพลงที่มีสาระ ช่วยชี้นำให้คิดเรื่องดีๆ และให้ข้อคิดแก่ชีวิต เพราะฉะนั้นถึงเป็นเพลงป็อปแต่เนื้อหาดีก็ถือเป็นเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน ยกตัวอย่างเพลง “ทะเลใจ” เนื้อเพลงบอกว่า “หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข” ซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่ช่วยให้แง่คิด แต่พี่แอ๊ดอาจจะไม่ได้บอกว่าต้องหายังไงถึงจะเจอหัวใจ แต่เพลงของจีวันจะบอกวิธีหาให้ (ยิ้มอย่างผู้รู้) มันแอดวานซ์ไปอีกขั้นหนึ่ง”
ทำบุญได้บาปมีถมไป
ทำบุญกันบ่อยๆ หรือบ้างไหมว่าบุญที่กำลังทำอยู่อาจกลายเป็นบาปมหันต์ได้ ถ้าใครคือสาวกวงจีวันแบนด์จะรู้จากการฟังเพลง “บุญ 3 แบบ” ว่าการทำบุญต้องพิจารณาให้ดี ตามในเนื้อเพลงว่าไว้
“ทำบุญนั้นมี 3 แบบ พระท่านแยก แยกมาให้ดู เราเป็นชาวพุทธ จำเป็นต้องรู้ ทำบุญไม่ดู เดี๋ยวจะได้บาปกรรม บุญที่หนึ่งเหมือนอาบน้ำโคลนขุ่นๆ ทำบุญด้วยสุราเมรัย ฆ่าสัตว์จัดเอามาถวาย อวดคนทั้งหลายว่าได้ทำบุญ บุญที่สองเหมือนอาบน้ำหอมแป้งร่ำ ด้วยยึดมั่นฝังอุปทาน ทำบุญสักครั้งคาดหวังวิมาน เลยได้พบพานแต่ความยึดติด"
"บุญที่สามเหมือนอาบน้ำใสสะอาด บริจาคให้ไปไม่มุ่งหวัง ไม่ยึดถือว่าได้นี่ได้นั่น ปราศจากตัวฉันและของฉัน บุญคือเครื่องฟูใจ บุญคือเครื่องชำระบาป บุญคือการให้ ให้แล้วเป็นสุขใจ” มีแค่บุญแบบที่สามเท่านั้นที่ทำแล้วจะได้บุญจริงๆ รู้อย่างนี้เวลาทำบุญก็จงบริจาคด้วยใจบริสุทธิ์
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... วรวิทย์ พานิชนันท์