60 ปีคืออายุของร้าน ส่วน 50-60 รายการคือจำนวนเมนูทั้งหมดภายในร้านขนมหวานแห่งนี้ หากจะบอกว่าคนทำกำลังล่อใจลูกค้าด้วยตัวเลขชวนขนลุกอยู่ล่ะก็ แสดงว่าคุณยังไม่รู้จักเสน่ห์ของของหวานดีพอ และอาจมีโอกาสทำความรู้จักกับมันอย่างลึกซึ้งผ่านร้านดังในตำนานแห่งนี้ “เช็งซิมอี๊ ลือลั่นสะท้านโลกันต์”
คนที่เคยมองเห็นขนมหวานเป็นแค่ของว่างหลังอาหาร หรือเป็นเพียงเมนูสำหรับวันว่างๆ เท่านั้น คงต้องเปลี่ยนความคิดกันเสียใหม่ เพราะ ตี๊-สมชาติ คงศักดิ์ศรีสกุล ทายาทรุ่นที่สอง ผู้สืบทอดกิจการของร้านเช็งซิมอี๊ฯ พร้อมแสดงให้เห็นแล้วว่าของกินเล่นทั้งหมดเหล่านี้มีเสน่ห์ไม่ใช่เล่นๆ แน่นอน
“ตอนเปิดร้านใหม่ๆ มีแค่ 10-20 อย่าง ตอนนี้มี 50-60 อย่างได้แล้ว เราพยายามทำตัวเป็นนักชิมที่ดี สรรหาวัตถุดิบใหม่ๆ ที่คิดว่าจะเข้ากันได้กับเมนูของเรา ไม่ใช่แค่ชิมตามร้านขนมหวานร้านอื่นเท่านั้น แต่ต้องเดินทางไปถึงต่างประเทศ ไปเดินดูของตามท้องตลาด คอยจินตนาการว่าถ้าเติมสิ่งนี้ลงไป จะให้รสชาติยังไงบ้าง ต้องมีการลองผิดลองถูกก่อนทุกครั้ง พอเห็นว่าเข้าท่าก็ลองเอามานำเสนอให้ลูกค้าได้ชิม ถ้าเขาติดอกติดใจ เราก็เพิ่มลงไปในเมนู”
เจ้าของร้านวัย 44 ปีอธิบายขั้นตอนการทำที่เต็มไปด้วยความจริงจังและตั้งใจ ไม่ใช่แค่เล่นๆ อย่างชื่อ “ของกินเล่น” ที่หลายคนเรียกขาน
ชามขนาดโตที่บรรจุเอาขนมหวานหลากสีสัน โชว์ให้เห็นเรียงรายเรียกน้ำลายอยู่หน้าร้าน ล้วนแต่ผ่านขั้นตอนการคัดและเลือกมาอย่างดีแล้วทั้งนั้น ยกตัวอย่างถั่วเม็ดโตสีแดงหรือที่เรียกกันว่าถั่วแดงหลวง เมื่อเห็นว่าโครงการหลวงสามารถปลูกถั่วชนิดนี้ได้สำเร็จ จึงเปลี่ยนจากถั่วแดงเม็ดเล็กๆ ที่เคยอยู่ในเมนูมาเป็นถั่วแดงหลวงแทน เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสเนื้อนุ่มๆ ของถั่วกันอย่างเต็มปากเต็มคำกว่าเดิม ทั้งยังต้องหาวิธีเชื่อมไม่ให้เหลือรสฝาดด้วย ซึ่งถือว่าควบคุมยากกว่าถั่วเม็ดเล็กแบบเดิมอยู่มากเหมือนกัน
แม้แต่ถั่วปากอ้าซึ่งก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่มักเคยชินกับการกินแบบกรอบๆ มากกว่า ที่นี่ยังลองหยิบมาเชื่อมดู เมื่อเห็นว่ารสชาติออกมาน่าพึงพอใจ จึงนำมาประกอบเป็นวัตถุดิบตัวใหม่ในเมนู ถึงแม้ขั้นตอนการทำจะแสนยุ่งยาก ต้องแช่น้ำทิ้งไว้หนึ่งคืนและต้องมานั่งแกะเม็ดต่อเม็ด แต่ทางร้านก็ยอมลงทุนลงแรง หากจะทำให้ลูกค้ากินแล้วสบายใจ อย่างที่คุณตี๊พูดติดปากว่า “เช็งซิม” นั่นเอง
“จริงๆ แล้วต้นตำรับประเทศจีน เขาไม่เรียก “เช็งซิมอี๊” กัน แต่เรียกว่า “เช็งโป๋เลี้ยง” คือกินแก้ร้อนใน เสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่ร้านของเราอยากให้ลูกค้าได้มากกว่านั้น นอกจากกินแล้วดีต่อสุขภาพ มาที่นี่ยังได้ความสบายใจด้วย เพราะคำว่า “เช็งซิม” แปลว่าสบายใจ นี่คือเหตุผลที่เราตั้งชื่อร้านแบบนี้ครับ” เจ้าของความคิดอธิบายให้ฟังด้วยภาษาไทยสำเนียงจีน
เข้าใจคำว่า “เช็งซิม” กันไปแล้ว เหลือคำว่า “อี๊” ที่เชื่อว่าหลายคนยังสงสัย แท้จริงแล้วแปลว่ากลมและราบรื่น หรืออีกความหมายหนึ่งหมายถึงแป้งบัวลอยที่มีทรงกลม เพราะฉะนั้น เพื่อให้สูตรเด็ดของร้านอย่าง “เช็งซิมอี๊” คงความเป็นสิริมงคลเอาไว้ตามชื่อดังกล่าว ทางร้านจึงตัดแป้งให้เป็นแผ่นกลมตามต้นตำรับเมืองจีน จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของร้าน และเป็นเมนูเลื่องชื่อมาจนถึงทุกวันนี้
ตัวเอกในถ้วยของหวานนี้ แน่นอนว่าต้องเป็น “เช็งซิมอี๊” หรือแป้งทรงกลม ไม่ใช่ใครอื่น เพราะแป้งของที่นี่ไม่เหมือนใคร เป็นสูตรฮ่องกงแท้ๆ เคี้ยวแล้วให้ความเหนียวและกรุบไปพร้อมๆ กัน ตามคอนเซ็ปต์ของร้านที่ว่า “ยิ่งเคี้ยวยิ่งมัน” เมื่อตักกินพร้อมธัญพืชนานาชนิดที่อัดแน่นอยู่ในชาม ยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี ทั้งความนุ่มของถั่วแดง ความนิ่มของเม็ดบัว ความกรอบของแห้ว ลูกเดือย เม็ดเกาลัด ข้าวโอ๊ต ถั่วปากอ้า พุทราจีน แปะก๊วย และวุ้น เยอะแยะละลานตา ชุ่มคอด้วยน้ำลำไยผสมน้ำเชื่อมกลิ่นใบเตย หอมอร่อยอย่าบอกใครทีเดียว
“ห้าขุนพล” ถึงแม้ชื่อไม่หวานเอาเสียเลย แต่จะว่าไปก็เหมาะกับสรรพคุณที่ได้อยู่เหมือนกัน เพราะชามนี้เจ้าของร้านยกนิ้วคอนเฟิร์มมาแล้วว่า “กินแล้วดีต่อสุขภาพจริงๆ ครับ” ดีขนาดไหน แม้แต่คนเป็นโรคเบาหวานยังกินได้แบบไม่ต้องกลัวปริมาณน้ำตาลจะพุ่งพรวด เพราะทางร้านเน้นขั้นตอนการตุ๋นยาจีนเป็นหลัก และพยายามเชื่อมน้ำตาลไม่ให้หนักหวานจนเกินไป แค่ให้หลงเหลือรสน้ำเชื่อมอยู่บ้างบางๆ เหมาะแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งนานๆ ทีควรได้เพิ่มกลูโคสให้ร่างกายบ้างจึงจะดี ส่วนคนที่ชอบรสหวาน สามารถเติมน้ำเชื่อมเข้าไปได้ ความอร่อยยังคงเดิม ทั้งยังได้ประโยชน์ด้วย
ขุนพลทั้งห้าจะเข้าไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เริ่มตั้งแต่ขุนพล “แปะก๊วย” ที่เข้าไปช่วยบำรุงสมองและระบบความจำ “เก๋ากี้” บำรุงสายตาและผิวพรรณ เพราะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบหลักในนั้น ทั้งยังให้วิตามินซีสูงด้วย “แป๊ะหะ” ช่วยขยายหลอดลม ทำให้ให้เสียงใส เหมาะสำหรับคนที่มีเสมหะหรือชอบสูบบุหรี่ “รากบัว” แก้ร้อนใน ช่วยล้างสารพิษออกจากไต และสุดท้ายขุนพล “เกาลัด” ราชาแห่งเมล็ดพันธุ์พืช นอกจากทำหน้าที่ซ่อมแซมระบบทางเดินอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยเสริมรสชาติในถ้วยให้ดีขึ้นไปในตัวด้วย
ส่วนคนที่กลัวว่าน้ำลำไยที่ราดผสมมาด้วยจะเป็นสาเหตุของอาการร้อนใน ขอให้ทิ้งความวิตกนี้ไปได้เลย เพราะนั่นคือผลจากการกินลำไยสด แต่ลำไยอบแห้งและนำมากลั่นเป็นน้ำกลับให้ผลในทางตรงข้าม คือยิ่งซดยิ่งชื่นใจนั่นเอง
คนที่ชอบกินแบบราดน้ำกะทิมากกว่าน้ำเชื่อม ขอแนะนำ “หริ่ม ทิม พร้าว” แค่ชื่อก็บอกส่วนประกอบแล้วว่ามีซาหริ่ม ทับทิม และมะพร้าวเป็นตัวชูโรง ถามว่าทำไมต้องรวมสามอย่างนี้เข้าด้วยกัน เจ้าของร้านเผยความลับว่าทั้งหมดเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเสริมความหอมของกะทิได้ลงตัวที่สุดแล้ว โดยเฉพาะมะพร้าวที่ใส่ลงมาในถ้วย ไม่ใช่วุ้นมะพร้าวหรือกากมะพร้าวชืดๆ ที่ร้านขนมหวานส่วนใหญ่ชอบใช้ แต่เป็นมะพร้าวกะทิที่หากินไม่ได้ง่ายๆ เมื่อกัดลงไปในเนื้อให้สัมผัสนุ่มเหนียวเคี้ยวมันดังราคาคุย ชิมแล้วรับรองต้องผสานเสียงพร้อมกันว่า “อื้มมมม!”
ตบท้ายด้วยเมนูเอาใจวัยรุ่นอย่าง “จ้ำบ๊ะ” กันดีกว่า ชื่อแปลกใหม่แต่หน้าตาคุ้นเคย เพราะมันคือขนมปังเย็นนั่นเอง มองเผินๆ แล้วอาจดูไม่แตกต่างจากร้านอื่นๆ มากนัก แต่ถ้าลองชิมอาจต้องยกมือขึ้นมานับข้อต่างไม่หวาดไม่ไหว ทั้งความสดของน้ำกะทิที่ราดลงมาเพื่อเพิ่มความหอมนั้นก็เป็นกะทิคั้นสด คั้นและนำมาเติมใหม่ทุก 2-3 ชั่วโมง หรือแม้แต่จุดเล็กๆ อย่างท็อบปิ้ง ลูกค้าก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบจากทั้งหมด 30 กว่ารายการ เรียกได้ว่ากินร้านนี้แล้ว “เช็งซิม” จริงๆ
“เช็งซิมอี๊ ลือลั่นสะท้านโลกันต์”
ตั้งอยู่ตรงบนถนนสุขุมวิท 103 ซอยอุดมสุข 49 (ไม่ต้องเข้าซอยย่อย) ลงรถไฟฟ้าอุดมสุขทางออก “ตลาดอุดมสุข” นั่งรถสองแถวเข้าไปกลางซอย ร้านอยู่ฝั่งซ้ายริมถนน
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.00 - 01.00 น.
เบอร์ติดต่อ 08-9770-2618 (รับจัดงานนอกสถานที่)
4 อันดับเมนูเช็งซิม!
1. เช็งซิมอี๊ : ธัญพืชอัดแน่นเต็มถ้วย โดดเด่นด้วยแป้งสไตล์ฮ่องกง
2. หริ่ม ทิม พร้าว : กะทิหอมขึ้นจมูก มะพร้าวกะทิช่วยย้ำรสอร่อย
3. ห้าขุนพล : ไม่ชอบหวานก็กินได้ ดีต่อสุขภาพ เหมาะกับผู้สูงอายุ
4. จ้ำบ๊ะ : ทั้งชื่อทั้งรสเหมาะกับวัยรุ่นขี้เบื่อ ราดท็อบปิ้งได้ตามใจ
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... อดิศร ฉาบสูงเนิน