เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึง และอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอดีตพระเอกรูปหล่ออย่าง “จอนนี่ แอนโฟเน” ถึงห่างหายจากวงการละครไปนานกว่า 10 ปี จนล่าสุดเขากลับมารับเล่นละครบู๊แนวคาวบอยเรื่องตะวันเดือด ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากแฟนๆ M-Lite จึงติดต่อนัดสัมภาษณ์อดีตพระเอกสุดฮอต และผู้บริหารที่มีคิวงานแน่นเอี๊ยด มาให้คนอ่านได้หายคิดถึง
ภาพของอดีตพระเอกสุดฮอตที่เราเห็นในวันนี้ต่างจากภาพบทบาทต่างๆ ในละครอย่างสิ้นเชิง เราเห็นภาพของผู้บริหารมาดเท่ บุคลิกดูเป็นคนใจเย็น พูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ว่าเขาจะมีคิวงานเยอะมาก แต่เขาก็ยังนัดเวลาให้เราได้สัมภาษณ์อย่างเป็นกันเองในห้องประชุมที่บริษัท Speed Channel การได้คุยกับเขาในวันนี้ทำให้ได้รู้จักเขาในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งเขาบอกกับเราว่าจากประสบการณ์เหตุการณ์อุบัติเหตุไฟไหม้ที่ทำให้เขาเกือบตายมาแล้ว ทำให้เขามีมุมมองในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป และให้ความสำคัญกับชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท
คนดูคิดถึงผลงานละคร
หลังจากห่างหายไปจากวงการละครเกือบ 10 ปี ล่าสุดเขาใจอ่อนยอมรับเล่นในละครตะวันเดือด โดยการชักชวนของ "นก-ฉัตรชัย" กลับมาคราวนี้ เขารับบทเป็นพ่อเลี้ยงจรัญ ซึ่งเป็นตัวร้ายสุดๆ แถมยังต้องเล่นคิวบู๊หลายฉาก เรียกว่าถึงจะแค่รับเชิญช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ต้องทำการบ้าน และทำงานหนัก ออกไปถ่ายทำที่ต่างจังหวัดตลอด ควบคู่กับการรับหน้าที่ผู้บริหารสถานีแห่งความเร็วSpeed Channel อยู่ที่ช่อง True Vision 72
"จริงๆ แล้วพี่นก-ฉัตรชัย ติดต่อผมมาหลายงานแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาไปเล่น แล้วบังเอิญช่วงที่ติดต่อให้มาเล่นละครเรื่องตะวันเดือด ผมมีเวลาช่วงหนึ่งพอดี ก็เลยรับเล่น แต่พอหลังจากรับเล่นละครแล้ว ก็ยุ่งอีกเหมือนเดิม ต้องทำ Speed Channel คราวนี้อีรุงตุงนังกันไปหมดเลย ทั้งงาน ทั้งละคร แล้วงานละครมันไม่ได้ถ่ายอยู่กรุงเทพฯ ต้องไปปากช่อง, ระยอง, สระบุรี คือโลเกชันอยู่ต่างจังหวัดหมด บอกตรงๆ ว่าเหนื่อยมากครับ เพราะต้องวิ่งไปวิ่งมา แล้วตอนนั้น Speed Channel เพิ่งขึ้น มันเป็นช่วงก่อตั้งเลย แล้วก็เซ็ตอัพขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทั้งการผลิตทั้งหมด การตลาด ก็ยิ่งยุ่ง เพราะมันยังไม่เข้าที่เข้าทาง"
ถึงจะรับเชิญเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่กระแสพ่อเลี้ยงจรัญ ซึ่งนำแสดงโดยอดีตพระเอกสุดฮอตอย่างจอนนี่ ก็เรียกว่าได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งแฟนๆ ละครรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ ที่ต่างพากันพูดถึงความหล่อ ความเท่ของเขากันอย่างมากในอินเทอร์เน็ต
"พอได้มาเล่นเรื่องนี้ก็สนุกนะครับ แต่ก็มีฉากเสี่ยงเยอะเหมือนกัน ฉากบู๊ ฉากขี่ม้า ไล่ยิงกัน โดยเฉพาะม้านี่ขี้ตื่นมาก แล้วผมเป็นหัวหน้าฝูง ปืนเล็กก็ไม่ได้ ต้องพกผืนยาว แล้วยิงทีเสียงดังมาก ชนิดที่เรียกว่าม้ากลับบ้านไม่ถูกเลย บางตัวกระโดดยกบ้าง บางตัววิ่งเตลิดเปิดเปิง แต่ผมก็ไม่เคยหล่นนะครับ เพราะเราก็เตรียมตัวไปดี ก่อนที่จะเล่นเราก็รู้อยู่แล้วว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ต้องขี่ม้า ต้องยิงปืน มีระเบิด มีคิวบู๊ เราก็ไปทบทวนการขี่ม้าของเรา
ตัวผมไปไหนมาไหนคนก็เรียกพ่อเลี้ยง (หัวเราะ) ก็นานๆ ที ได้กลับมาเล่นละคร แล้วเรื่องนี้บทก็มีอะไรให้เล่นเยอะ เพียงแต่บทมันเป็นตัวร้ายเท่านั้นเอง แรกๆ ก็กลัวว่าจะสนิมขึ้นเหมือนกันนะครับ แต่ว่าพอไปเล่นแล้ว ก็โอเคน่ะครับ ไม่ต้องเคาะกันนาน อาจจะเป็นเพราะผมเล่นมาเยอะมั้ง ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี ช่วงนั้นก็เรียกว่าถ่ายละคร 8 วันต่ออาทิตย์ก็ได้ เช้ายันตี 2-3 ทุกวัน เรียกว่ามันคงเข้ากระดูกอยู่แล้ว"
เมื่อถามถึงงานในวงการละครว่าจะได้เห็นผลงานของเขาเรื่องต่อไปอีกหรือไม่ เขาก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าหลังจากละครเรื่องนี้แล้ว คงจะไม่ได้รับเล่นเล่นละครอีกนาน เพราะนอกจากงานบริหารช่องรายการใหม่แล้ว เขายังมีงานต่อๆ ไปรออีกเพียบ
"สำหรับงานละครหลังจากเรื่องนี้คงเว้นไว้ก่อนน่ะครับ เว้นอีกนาน จนกว่าจะมีเวลาว่างจริงๆ หรือมีบทสนุกๆ มาให้เล่น เพราะงานเยอะ มันต้องมีเวลาว่างจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำงานไม่สนุก เพราะต้องกังวล เล่นไป เดี๋ยวจะกลับมาประชุมทันไหม หรือนัดลูกค้าไว้ ถ้าชนกับคิวละครมันก็ลำบาก ในระยะใกล้ๆ 1-2 ปีนี้ ผมมองไม่เห็นเวลาเลย ถ้ามีเวลาก็อยากกลับมาเล่นละคร ถามว่าคิดถึงไหม ก็คิดถึง สังเกตว่าผมไม่เคยคำพูดว่าผมจะเลิกเล่นละคร ผมจะไม่ใช้คำนั้นเลย เพราะนานๆ ทีผมก็อยากกลับไปเล่น ไปเจอเพื่อนๆ ไปเจอคนที่เราเคยรู้จัก อยากเล่นบทสนุกๆ แล้วต้องแมตช์กับเวลาด้วย"
ลุยงานเบื้องหลังเต็มที่
แม้ว่าจะไม่ค่อยเห็นเขาในบทบาทของนักแสดงมานาน จะเห็นเขาทางจอทีวีก็บทบาทพิธีกรในรายการนาทีฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากนั้นเขายังทำบริษัทของตัวเองร่วมกับหุ้นส่วน อาร์ม-วิบูลย์ ลีรัตนขจร ทำรายการของเสิร์ช เอนเตอร์เทนเมนต์ กับทำรายการทีวี 3 สัญจร และงานอีเวนต์ของช่อง 3 เรียกว่าทำงานเบื้องหลังมาตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี
"ผมทำบริษัทเสิร์ช เอนเตอร์เทนเมนต์มา 18 ปีแล้ว ตั้งแต่ยังเล่นละครอยู่เลย เราก็ทำมาเรื่อยๆ มีคุณวิบูลย์ หุ้นส่วนกัน คอยช่วยดูแลเรื่องการบริหาร ตอนหลังเราก็เริ่มมาแตกไลน์ มีหนังสือ มีครอบครัวข่าว มีวิทยุ 106 fm จนมาถึง Speed Channel แล้วสิ้นปีนี้ช่วงเดือนพฤศจิกายน ผมจะทำคอนเสิร์ตใหญ่ 4+1 ซุปเปอร์สตาร์คอนเสิร์ต ซึ่งมีพระเอกดังๆ ของช่อง 3 อย่างหมาก, ณเดช, บอย-ปกรณ์, มาริโอ และก็มีเคน-ภูภูมิ ตอนนี้ก็ทั้งทำสปอต ทำโปรโมต"
เท่าที่สังเกตจะเห็นว่าเขามีงานเบื้องหลังเยอะมาก ต้องประชุม เข้า-ออกที่บริษัทตลอด แถมยังมีโปรเจกต์ใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ จึงอดถามไม่ได้เรื่องสุขภาพ และวิธีการดูแลตัวเองของเขาว่าทำอย่างไร เขาถึงยังดูแข็งแรง มีแรงเหลือเฟือในการทำงานแบบนี้
"ที่เห็นผมทำงานเยอะขนาดนี้ ผมมองว่าเป็นความต่อเนื่องของธุรกิจในสายที่เรารับผิดชอบ ก่อนหน้านี้ผมมีปัญหาเรื่องขา มีลิ่มเลือดอยู่ที่ขา เวลาเดินหรือนั่งนานๆ จะมีปัญหา ผมก็ต้องกินยาสลายลิ่มเลือด บวกกับการดูแลตัวเอง ตอนนี้อาการก็ดีขึ้น นอกจากนั้นอาการอื่นๆ ก็ไม่ได้เป็นอะไร นอกจากพออายุมากขึ้นนอนดึกมากๆ แล้วตื่นเช้าไม่ค่อยไหว ร่างกายมันล้า
และตอนนี้ลูกๆ โตแล้ว ก็ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญอะไรเขามาก ลูกชายคนโต (เจมส์-จิรายุ) ก็เข้ามหาลัยแล้ว เราเรียกว่าเขาก็มีชีวิตเป็นของเขาแล้ว ก็เหลือลูกสาวอีก 2 คน (เจมมี่-จอมภัค) และ(จีนส์-จีรชยา) เราก็แค่คอยประคับประคองเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง เราก็มีเวลาให้เขาทุกวัน เช้า-กลางคืน ช่วงกลางวัน เราก็ลุยงาน ลูกๆ เขาก็เข้าใจ อย่างสัปดาห์นี้ผมต้องเดินทางไปอัมเตอร์ดัม ไปงานบรอดแคสต์ อินเตอร์เนชัลแนลที่นู่น ไปดูเครื่องไม่เครื่องมือ 6-7 วัน ลูกชายก็ขอไปด้วย บอกว่าอยากไปดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง อยากไปดูเทคโนโลยี เพราะเขาก็เรียนสายนี้เหมือนกัน เราก็หนีบลูกไปด้วย ให้เขาได้เรียนรู้"
“ไฟไหม้" บทเรียนที่ไม่มีวันลืม
ย้อนกลับไปช่วงที่เกิดอุบัติเหตุถูกไฟไหม้บริเวณลําตัวซีกซ้าย ขณะเผาหญ้าภายในบ้าน ถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ถึงขั้นอยากตายแต่ก็ไม่ตาย และหลังจากที่ต้องนอนทนความเจ็บปวดทรมานอยู่ที่โรงพยาบาล เกือบ 2 เดือน และต้องทนความเจ็บปวดจากอาการติดมอร์ฟีนอีกเกือบ 1 ปี
"ช่วงนั้นรักษาตัวนานมากครับ รักษาแผลเนี่ย 2 เดือน ก็หนักมาก ช่วงแรกๆ 4-5 วันแรกนี่คุยกับใครไม่รู้เรื่องเลย ผมบอกหมอว่าขอให้ฉีดยาให้ผมตายไปเลย เพราะมันสุดๆ แล้ว การรักษาก็ค่อนข้างทรมาน แผลไฟไหม้นี่ โดนไหม้ครึ่งตัวนะครับ ด้านซ้าย (เขาพูดพลางปลดกระดุมเสื้อตรงข้อมือเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากพิษไฟไหม้บางส่วน) วิธีรักษาคือเขาต้องขัด เพื่อล้างเขม่าออก แล้วให้ผิวสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ต้องขัด เอากระดาษทรายขัดเลยครับ แล้วมันจะแสบมาก ทุกครั้งที่ขัดต้องวางยาสลบ แต่พอตื่นขึ้นมานี่ อื้อหือ! ทุกตื่นของผมนี่โรงพยาบาลแทบแตก มันแสบชนิดที่เรียกว่าไม่รู้จะพูดยังไงดี ทุกการรักษาทั้งหมด 9 ครั้ง 9 สลบ ผมก็อยู่ในโรงพยาบาลอีกประมาณเดือนกว่าๆ เพื่อเยียวยารักษาแผล
ระหว่างที่รักษาก็ต้องใช้มอร์ฟีนช่วยเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่พอออกจากโรงพยาบาลมาแล้ว ผมก็ติดมอร์ฟีน ใช้เวลาเลิกมอร์ฟีนประมาณ 7-8 เดือนน่ะครับ โดยให้ยาที่เป็นมอร์ฟีนอย่างอ่อน ถ้าไม่ได้ยานี่นอนไม่ได้ ลงแดง สุดยอดของความทรมาน เหมือนกระดูกจะแตก มันเป็นช่วงที่เจ็บปวดทรมานมากที่สุดในชีวิตเลย สรุปแล้วผมอยู่กับการรักษาหนักๆ อยู่ประมาณ 1 ปี ที่ทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่กินยา นอน อยากจะบอกทุกคนว่าอะไรก็ตามที่เป็นความเจ็บในโลกนี้ ที่เรียกว่าเจ็บ ที่เรียกว่าปวด เรียกว่าทรมาน ที่เรียกว่าแสบ หรือเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ มันต้องเอาทุกอย่างมารวมกันแล้วคูณอีกสาม จะบอกว่าพิษไฟเนี่ยเป็นอะไรที่ทรมานที่สุด แล้วเราก็รู้สึกเห็นใจและเข้าใจคนที่ถูกไฟไหม้"
ณ วันนี้เขาบอกกับเราว่ามุมมองความคิดและการใช้ชีวิตได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ได้พบสัจธรรมด้วยตัวเอง และได้อุทาหรณ์จากอุบัติเหตุครั้งนั้น นั่นคือการใช้ชีวิตทุกวันด้วยความไม่ประมาท
"ช่วงแรกๆ เครียดนะครับ แต่พอพ้นระยะหนึ่งไปแล้ว มันก็เลิกเครียดแล้ว เพราะว่ามันมีผ่านหลายระยะมาก มีระยะที่ขัดแผล 9 ครั้ง รอให้แผลสมาน ช่วงนั้นมันก็เป็นน้ำเหลือง รอให้แผลมันพอง ต้องกรีดให้น้ำเหลืองออก ตอนกรีดเรานอนอยู่บนเตียง ผ้าปูเตียงในโรงพยาบาล ต้องเปลี่ยนวันละ 3 รอบ เพราะมันแฉะไปด้วยน้ำเหลือง ผมรู้สึกเหมือนศพที่นอนอยู่บนน้ำเหลือง กลิ่นน้ำเหลืองก็ตลบอบอวล ระหว่างที่นอนอยู่อย่างนั้น มันทำให้เราได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง ผมเชื่อว่าคนเราถ้าได้ผ่านเหตุการณ์ หรือผ่านความรู้สึกอะไรแบบนี้มาแล้ว มันทำให้มุมมองชีวิตเราเปลี่ยนไปเหมือนกัน
เมื่อก่อนอาจจะห้าวนะครับ ตามประสาผู้ชาย ทำอะไรก็เอาตัวเองเป็นหลัก แต่พอหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้คิดว่าชีวิตจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำอะไรเราก็ต้องระมัดระวังตัวเอง อย่าใช้ชีวิตประมาทมากนัก ชีวิตผมเปลี่ยนไปแทบทุกอย่างทั้งพฤติกรรม ทั้งความคิด ทั้งการกระทำ กลายเป็นคนใจเย็นมาก ผมมีความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ทุกปัญหามีทางออกหมด เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หมดสำหรับผม ในทุกๆ เรื่อง ทั้งในแง่ลบและแง่บวก เราสามารถที่จะอยู่กับอะไรก็ได้ อยู่กับบวกเราก็ไม่ไปหลงระเริงไปกับมัน เราก็จะนิ่ง เราก็จะมีสติ อยู่กับลบเราก็ไม่ทุกข์ทรมานใจ เราก็คิดว่าเดี๋ยวสักพักมันก็จะดีขึ้น
นี่คือสัจธรรมที่ตัวเองได้ประสบมาเองเลย ไม่ต้องไปศึกษาธรรมะ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันทำให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปเอาประสบการณ์จากคนอื่น ผลของการเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้น หมอก็บอกว่ามันมีหลายวิธีที่ทำให้สามารถตายได้นะ เช่น ในขณะนั้นที่ไฟกำลังลุกถ้าผมกระโดลงน้ำ เขาบอกว่าพิษไฟมันจะย้อน มันจะเข้าหัวใจ อาจจะทำให้ช็อกแล้วตายได้เลย แต่ผมใช้วิธีถอดเสื้อแล้วกลิ้งตัวเพื่อดับไฟ เราได้เห็นเส้นความตายมันใกล้นิดเดียวเอง" อดีตพระเอกหนุ่มเล่าถึงเหตุการณ์ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้เขากลัวได้อีกแล้ว
“นก-จรยา” คอยดูแลไม่ห่าง
กำลังใจคนสำคัญที่ทำให้เขาผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ก็คือครอบครัว โดยเฉพาะ "นก-จริยา" ภรรยาคนเก่งที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดไม่เคยห่าง และเป็นคนแรกที่เขาเห็นทุกครั้งเมื่อตื่นขึ้นจากความเจ็บปวด
"คุณนกต้องคอยดูแลตลอดเวลา ตั้งแต่นำส่งโรงพยาบาล จนถึงรับทุกอย่าง เวลาที่ผมคลั่ง เวลาที่ผมทนเจ็บไม่ได้ เขาก็จะคอยรับทุกอย่าง ผมว่าเขาเครียดมากนะ เท่าที่ดู แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้นึกหรอก เพราะเราเจ็บของเรา เราก็เอาแต่ใจตัวเอง ช่วงที่รักษาคุณนกเขาก็ผลิตละคร เขาเป็นผู้จัดก็ต้องวิ่งไปวิ่งมาจากบ้านไปกองถ่าย มาโรงพยาบาล ไปดูลูก สารพัด ตอนเราลืมตาตื่นขึ้นมาคนแรกที่เราเห็นนอกจากบุรุษพยาบาลแล้วก็มีคุณนกอีกคนหนึ่ง เรียกว่าเขาดูแลเราอย่างดีที่สุด
ส่วนลูกๆ จะกลัว ไม่กล้าเข้ามาหา เพราะแต่ก่อนผมเป็นคนอารมณ์ร้อน เป็นคนฉุนเฉียว พอลูกเห็นผมเจ็บ เห็นเราอาละวาดในห้องเขาจะไม่กล้าเข้ามา เพราะเขากลัว ที่เขากลัวอีกอย่างคือกลัวว่าเราจะเป็นอะไรไป แต่พอเราอาการเริ่มดีขึ้น ลูกก็มานอนเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลทุกวันเลย หรือตอนหลังแผลไฟไหม้ที่เราทาไม่ถึง ก็จะเป็นหน้าที่ของลูกๆ ที่ช่วยทายาให้เราทุกวัน"
ถ้าให้พูดถึงสิ่งสำคัญในชีวิต และที่เขาทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อครอบครัว แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของความสุข และความสบายใจในสิ่งที่ทำ ซึ่งเขาบอกว่าทุกวันนี้ยังมีแรง และยังมีไฟในการทำงานอยู่
"สิ่งสำคัญในตอนนี้มีสองอย่างครอบครัวกับงาน เรื่องตัวเองไม่สำคัญแล้ว ก่อนหน้านี้อาจจะให้ความสำคัญกับตัวเองมาก ต้องรักษาแผล ต้องดูแลตัวเอง คนรอบข้างก็ดูแล และเป็นห่วงเรามาก เพราะฉะนั้นพอเราหายดีแล้ว เราก็อยากตอบแทนกลับ ทั้งเรื่องงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน เรื่องครอบครัว ผมไม่คิดจะหยุดทำงานนะ ผมเป็นคนที่เวลาทำงานต้องสนุก ถ้าไม่สนุกผมไม่ทำ แล้วก็ต้องมีความสุขกับการทำด้วย เมื่อก่อนจะติสท์กว่านี้ ไม่ชอบอะไร จะไม่ทำแล้ว แต่ทุกวันนี้มุมมองในการทำงานเปลี่ยน ผมจะมีวิธีคิดเรื่องที่ไม่สนุกให้มันสนุกได้ คิดทุกอย่างเป็นเชิงบวกซะส่วนใหญ่"
มองความเปลี่ยนแปลงอย่างมีความสุข
หลายคนอาจจะยังจำภาพของเขาในบทบาทของสมาชิกวงแกรนด์เอ็กซ์ ซึ่งในสมัยนั้นเขาเป็นขวัญใจวัยรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูง พอถามถึงเรื่องนี้ เขาหัวเราะเล็กน้อย และบอกว่าเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว และมองว่ามันเป็นประสบการณ์ ความสนุก ช่วงหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป บทบาทของเขาก็เปลี่ยนไปตามวัยอย่างเหมาะสม
"งานเพลงก็คิดถึง แต่ว่ามุมมองเรามันเปลี่ยนไปแล้ว ผมเป็นคนที่ยอมรับได้ มันไม่ใช่เวลาของเราแล้ว มันเป็นนาทีของวัยรุ่น บางทีนั่งดูเขาเราก็เห็นเขาดูน่ารัก สดใส ดูเขาสนุก วันนี้เราก็เปลี่ยนบทบาทของเราไป ไม่มีใครอยู่ในบทบาทเดิมได้ตลอดเวลา ใครจะมาบอกทำไมผมไม่ได้ใส่กางเกงขาเดฟ ไม่แต่งตัวตามแฟชั่น ผมก็บอกใส่ไปให้ลูกล้อเปล่าๆ แต่ถามว่าอยากใส่ไหม เราก็อยากนะ แต่งตัวสนุกๆ แต่ผมว่าผมไม่เหมาะ มันควรจะมียุคของเรา เรียกว่ายุดของใครยุคของมัน เราต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลง แล้วมองดูคนรุ่นใหม่อย่างมีความสุข แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็มีไปร้องคาราโอเกะกับวิบูลย์ รายนั้นเขาชอบร้อง ผมก็ช่วยร้องเป็นเพื่อน"
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร