กระแสแฟชั่นกับวัยรุ่นนั้นเป็นของคู่กัน และธรรมชาติของสิ่งที่เป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งนั้นก็คือการที่มันมาไวไปไว กล่าวคือบางสิ่งบางอย่าง ถ้าถึงบทที่จะได้รับความนิยม มันก็จะขึ้นมาเร็วมากจนกลายเป็นกระแสที่ใครๆ ก็ทำตามๆ กัน และไม่นานมันก็จะล้มหายตายจากไปอย่างเงียบๆ
ดูอย่างกระแสการแพลงกิ้ง (ท่าแกล้งตาย) ที่ฮิตกันแบบสุดๆ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นว่าถ้าใครมัวแพลงกิ้งอยู่ก็คงจะถูกตราหน้าหน้าว่าเป็นคนที่เชยแสนเชย เพราะหลังจากที่กระแสการถ่ายรูปแพลงกิ้งมาโพสในอินเทอร์เน็ต เพิ่งเริ่มกระพือขึ้นไม่นาน คลื่นลูกใหม่อย่างการโพสภาพแนวเลวิเทติ้ง (ภาพถ่ายเลียนแบบสภวาะไร้น้ำหนัก) และการโพสภาพพับเพียบ ก็ถูกนำมาแทนที่
อาจจกล่าวได้ว่า วัยรุ่นในบ้านเรานั้นไม่ยอมตกกระแสกันเลย ยิ่งในยุคของเทคโนโลยีสื่อสารบูมสุดขีดอย่างปัจจุบัน ถ้ามีกระแสแฟชั่นใดๆ เกิดขึ้นในอีกซีกโลก ชั่วพริบตาเดียวมันก็จะมาฮิตที่ประเทศไทยได้อย่างไม่ยากเย็น
ล่าสุดหลังจากที่กระแสแพลงกิ้ง, เลวิเทติ้ง ซึ่งเคยเป็นที่ฮิตฮอตได้ซาลงไป เทรนด์การโพสภาพของโลกออนไลน์ก็พุ่งไปยังของใหม่อย่าง Horsemaning (ฮอร์สแมนนิ่ง) แทน ซึ่งไอ้เจ้าการถ่ายภาพแบบ ฮอร์สแมนนิ่งนั้น อธิบายง่ายๆ ก็คือ การถ่ายภาพจัดฉาก ให้ผู้ถูกถ่ายกลายเป็นผีหัวขาดนั่นเอง
โดยปกติแล้ว ถ้ามีกระแสในอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นมาใหม่ วัยรุ่นในบ้านเราคงไม่รีรอที่จะเข้าไปร่วมขบวน แต่กับ การทำฮอร์สแมนนิ่ง นั้นกลับไม่เป็นที่สนใจของวัยรุ่นไทยเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผิดวิสัยเป็นอย่างยิ่ง
‘ป็อปคัลเจอร์’ ป็อปไม่ได้ในทุกที่
การทำท่าฮอร์สแมนนิ่ง ถ่ายรูปนั้นเดิมทีมันมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 แล้ว ก่อนอินเทอร์เน็ตจะเกิดขึ้นเสียอีก ก่อนที่มันจะเสื่อมความนิยมลงไป และกลับมาบูมอีกครั้งในยุคที่ใครๆ ก็แชร์ภาพถ่ายบนโซเชียล เน็ตเวิร์ก ส่วนชื่อของท่าฮอร์สแมนนิ่งนั้น แม้จะไม่ปรากฏที่มาแน่ชัด แต่ก็สันนิษฐานกันว่ามันมาจากตัวละครตัวหนึ่งที่ชื่อว่า 'เฮดเลส ฮอร์สแมน' (Headless Horseman) ในนวนิยายเรื่อง "เดอะ ลีเจนด์ ออฟ สลีปปี้ ฮอลโลว์" (The Legend of Sleepy Hollow) ของวอชิงตัน เออร์วิง ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1820
ซึ่งความนิยมถ่ายภาพฮอร์สแมนนิ่งในหมู่วัยรุ่นตะวันตกนั้น แน่นอนว่ามันถือเป็น ‘ป็อปคัลเจอร์’ อย่างหนึ่งไม่ต่างกับการแพลงกิ้ง หรือเลวิเทติ้ง
“ธรรมชาติของป็อปคัลเจอร์นั้น หลังจากที่ได้รับความนิยมมากๆ มันก็จะกินตัวเอง คือแรกๆ มันจะหวือหวา เป็นแฟชั่น และหมดยุคไปอย่างรวดเร็ว”
วิริยะ สว่างโชติ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงลักษณะของสิ่งที่เป็นป็อปคัลเจอร์ แต่กระนั้นสิ่งที่ป็อปในวัฒนธรรมหนึ่งๆ ก็ใช่ว่าจะมาป็อปในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างได้เสมอไป
“ในข่าวมันกำลังพูดว่าในต่างประเทศก็เพิ่งจะได้รับความนิยมมาจากชายหัวขาดจากเรื่องเดอะ ลีเจนด์ ออฟ สลีปปี้ ฮอลโลว์ คือถ้าเป็นในเมืองนอกผมคิดว่ามันคงเป็นปรากฏการณ์ที่อ้างอิงได้ ส่วนในเมืองไทย ผมไม่คิดว่าท่าหัวขาดมันจะดังนะ เพราะหัวขาด นั้นหมายถึงต้องตาย ดังคนไทยเองคงไม่มีใครเอามาเล่นให้มันเป็นที่นิยมหรอก คือพื้นฐานสังคมไทยก็ไม่มีใครนำเอาความตายมาล้อเล่น ถึงแม้ท่าทางและหน้าตาที่ออกมามันจะแสดงออกถึงความตลกขบขันก็ตาม
“คนไทยยังมีความผูกพันกับผีในมิติอื่นๆ อยู่ อีกอย่างคอนเซ็ปต์ที่เขาเล่นก็เป็นในเรื่องของความน่ากลัว เรื่องผีหัวขาด ซึ่งคนในวัฒนธรรมไทยก็ไม่อยากจะเล่นกับมันเท่าไหร่”
‘หัว’ (ศีรษะเป็นของสูง)
ด้วยเหตุผลที่วิริยะให้เอาไว้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วัยรุ่นไทยซึ่งปกติไม่ยอมตกกระแสจะเบือนหน้าหนีท่าฮอร์สแมนนิ่ง ส่วนเหตุผลอีกประการ 'หัว' หรือ ‘ศีรษะ’ ในวัฒนธรรมไทยนั้น ยังถือเป็นของสูงที่ไม่ควรเอามาล้อเล่นกัน
ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตสำนักศิลปกรรม ประเภทวรรณศิลป์ สาขาภาษาไทย อธิบายความหมายเกี่ยวกับคำว่า ‘หัว’ ว่า สำหรับสังคมไทยแล้วถือว่าของสำคัญมาก เพราะเป็นเครื่องบ่งบอกเอกลักษณ์ของบุคคลว่า คนคนนั้นเป็นใคร หน้าตาเป็นแบบไหน และยังถือเป็นของสูงอีกด้วย เพราะศีรษะนั้นตั้งอยู่บนส่วนยอดของร่างกาย เพราะฉะนั้นการที่ใครจะนำส่วนหัวหรือส่วนศีรษะมาล้อเล่นจึงถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมไทยเท่าใดนัก
“ในวัฒนธรรมไทย หัวนั้นเป็นของสูง ส่วนเท้าเป็นของต่ำ ดังนั้นเวลานอนก็จะต้องหันหัวไปในทิศที่ดี อย่างทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ ซึ่งถือเป็นทิศสูง หรือจะปล่อยให้ใครมาเล่นศีรษะเล่นผมก็ไม่ได้ แม้แต่เวลาผู้ใหญ่นั่งอยู่เด็กจะยืนค้ำศีรษะก็ไม่ได้ ถือว่าไม่สุภาพ”
แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ถือเป็นคติความเชื่อที่มากับวัฒนธรรมไทย บางทีต่างชาติอาจจะไม่รู้สึกตามไปด้วย หรือถ้ามีอวัยวะที่ต้องห้าม ก็อาจจะเป็นส่วนอื่นที่ไม่ใช่ศีรษะ เช่นที่ญี่ปุ่นก็จะไม่นิยมการจับก้น ซึ่งสำหรับสังคมไทยแล้วไม่ถือสาเท่าใดนัก หรืออย่างชาติตะวันตกก็ไม่ได้มีส่วนไหนที่ห้ามเป็นพิเศษ
“ฝรั่งเขาไม่ถือเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะเขาถือว่าศีรษะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้นเอง อย่างที่เห็นในหนังหรือละคร บางทีก็มีการเอารองเท้ามาวางไว้ที่หัวเตียงก็มี มาแขวนคอก็มี ซึ่งถ้าเป็นของไทยแล้วคงทำไม่ได้”
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวกับการลบหลู่ศีรษะ ไม่ว่าจะเป็นการทำท่าหัวขาดในการเล่นท่าฮอร์สแมนนิ่ง หรือการเอาถาดตีหัวของพวกตลกจึงไม่ได้รับความนิยมจากผู้คนมากเท่าใด เพราะถือว่าขัดกับวัฒนธรรม
ไม่ใช่ความเชื่อ แต่ความเบื่อกระแสต่างหากที่ทำให้ไม่เกิด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ป็อปคัลเจอร์อย่างการทำแพลงกิ้งหรือเลวิเทติ้งนั้น ผงาดขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะสังคมออนไลน์ที่เติบโตขึ้น ซึ่ง วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ กูรูด้านสังคมออนไลน์ได้แสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ว่า มันเกิดมาจากจิตวิทยาหมู่ที่คนรู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือสังคมในโลกออนไลน์
“มันเป็นจิตวิทยาหมู่ คนในสังคมก็รู้สึกอยากอยู่ในกลุ่มอยู่ในขบวนด้วยกันกับคนอื่นๆ มันก็จะมีเรื่องทอล์ก ออฟเดอะทาวน์ เรื่องแฟชั่น เรื่องป็อปคัลเจอร์ มีหนัง มีเพลงอะไรแบบนี้ มันจะมีการแสดงออกที่บ่งบอกว่าเราอยู่ในกลุ่มเดียวกัน อย่างเช่นว่าเราก็ไปต่อคิวซื้อโดนัทพร้อมกัน แพลงกิ้ง พับเพียบหรือว่าเลวิเทติ้งมันไม่ได้มีอยู่ในโลกจริงๆ แต่ในสังคมออนไลน์มันก็เป็นอีกสังคมหนึ่ง เวลาเราใช้ชีวิตอยู่ในนั้นเราก็คงต้องการที่จะอยู่กับเพื่อนของเรา เพื่อนอยู่กลุ่มนี้ทำสิ่งนี้เราก็อยากไปอยู่ในกลุ่มและทำสิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะแพลงกิ้ง เลวิเทติ้ง พับเพียบ หรือหัวขาด มันก็เป็นเรื่องทางสังคม ที่เราก็อยากมีส่วนร่วมอยู่ในกระแส สักพักมันก็ไป”
ทั้งนี้ วุฒิชัย อธิบายว่านิสัยคนเรามีอยู่ 2 ขั้วที่ต่างกันอย่างสุดๆ คือการตามกระแสกับการแหวกกระแส แต่ในโลกของกระแสนั้น 2 ขั้วนี้ก็ยังคงสลับไปสลับมาอยู่เรื่อยๆ เพราะเมื่อเบื่อหน่ายกับกระแสหนี่งก็อยากเบนไปอีกกระแสหนี่ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
“นิสัยคนเรามันแปลก มันมีอยู่ 2 ขั้วนะ คือ ขั้วหนึ่งเราก็อยากเข้าไปอยู่ร่วมในกระแสกับคนอื่นแต่อีกขั้วหนึ่งเราก็อยากเป็นตัวของตัวเองแบบสุดๆ ด้วย คือพอหลังจากที่แพลงกิ้ง พับเพียบ เลวิเทติ้ง มาคนส่วนใหญ่ที่เคยคิดว่าฉันอยากจะตามขบวน ฉันอยากจะมีส่วนร่วม ก็คงเบื่อและอยากเบี่ยงกระแสไปอีกทาง พอมีรูปแบบอื่นเข้ามาก็อาจจะคิดว่ามันเกร่อ มันตลก มันไร้สาระ ก็ไม่เข้าไปร่วมแจม เรื่องของกระแสทั้งในสังคมทั่วไปทั้งในสังคมออนไลน์มันก็เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาระหว่าง 2 อย่างนี้”
ส่วนปัจจัยเรื่องของความเชื่อโชคลางของวัฒนธรรมไทยนั้น วุฒิชัย กล่าวว่ามันคงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ท่า ฮอร์สแมนนิ่งไม่ได้รับความนิยม
“ผมว่ามันยากด้วยมั้ง ยิ่งมาทีหลังแล้วยากด้วยคนคงไม่อยากเล่น มันเป็นกิจกรรมที่มันเฉพาะเจาะจงมาก อย่างอะไรที่มันเป็นกระแสฮิตๆ อยู่ได้นานอย่างการถ่ายรูปของกินอย่างเวลาไปกินกาแฟ กินขนม กินข้าว แล้วก็ถ่ายมาแชร์กัน มันเป็นชีวิตประจำวันที่ทำง่าย มันก็เลยอยู่ได้นาน แต่แบบแพลงกิ้งหรืออะไรพวกนี้ มันเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง มันเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม มันเคยเป็นกระแส คนเบื่อก็เลิกก็โยนทิ้งกันไปหมด ยิ่งอันนี้เฉพาะเจาะจง แถมยังยากเข้าไปอีก แล้วเอาไปใช้ในกิจกรรมอื่นก็ไม่ได้ อย่างการถ่ายรูปของกินอย่างน้อยมันก็ยังเป็นไดอารี่ชีวิตเรา แต่อันนี้ยากด้วยเอาไปทำอะไรไม่ได้ด้วย แล้วมาทีหลังด้วย คงไม่มีใครอยากเล่น ฝรั่งเขาก็มีโชคลาง มีเลขอาถรรพ์มีความเชื่อ คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยว”
ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล
เอาเข้าจริง เหตุผลเรื่องของความเชื่อที่สันนิษฐานว่าทำให้ท่าฮอร์สแมนนิ่ง ไม่ฮิตนั้นก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป ดังเช่น จิตมณี ชัยพิทักษ์สุข พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งที่ให้ความเห็นว่า การทำท่าหัวขาดนั้นมันน่าสนใจดี แปลกใหม่
“ไม่เคยทำนะ แต่เคยเห็นในข่าว จริงๆ แล้วก็อยากทำเหมือนกัน มันตลกดี และท่าหัวขาดก็ทำยากกว่าท่าแพลงกิ้งนะ มันต้องมีพร็อพอะไรเสริม คือต้องคิดว่าจะเอาหัวอะไรมายังไงท่าไหน แต่แพลงกิ้งอยากนอนก็นอนไปก้มหน้าจบแค่นั้น แม้ผู้ใหญ่หรือบางคนอาจจะคิดว่าท่าหัวขาดไม่สร้างสรรค์ทำอะไรกันบ้าๆ บอๆ ไร้สาระ แต่สำหรับเรา เราคิดว่ามันก็เป็นอะไรแปลกใหม่ให้เราได้ดู ได้ทำตาม อยากทำเหมือนกัน อยากเอามาโพสต์ในเฟซบุ๊กให้ชาวบ้านเขาได้เห็นเราทำอะไรแปลกๆ”
ถึงแม้ว่าเรื่องหัวขาดคนไทยจะถือว่าเป็นลางไม่ดี แต่สำหรับ จิตมณี แล้วคิดว่ามันไม่เกี่ยวกันเพราะนี้เป็นเพียงการทำเล่นๆ ดังนั้นจึงรู้สึกเฉยๆ แต่หากเป็นการเล่นหัวหรือตบหัวก็โกรธเหมือนกัน ผิดกับความเห็นของ เอกพัฒน์ มั่นคง เจ้าของห้องซ้อมดนตรี ที่คิดว่าท่าหัวขาดเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร
“มันเหมือนแช่งตัวเองให้หัวขาด คือไม่นิยมทำอะไรบ้าๆ อยู่แล้ว แค่แพลงกิ้งธรรมดายังไม่อยากเลย อันนี้หัวขาดนี่ไม่มีทาง แล้วการทำท่าหัวขาดมันก็เป็นการทำยากด้วยมันต้องทำ 2 คน คนถ่ายอีก 1 คน ต้องหามุมกล้องด้วยถ่ายก็ยากแถมเป็นความสร้างสรรค์แบบแปลกๆ แค่คนมาตบหัวยังไม่ชอบอยู่แล้วถ้าให้มาทำหัวขาด มันคงไม่ดีแน่ๆ”
..........
สุดท้ายแล้ว แม้จะไม่มีใครยืนยันได้ว่าเหตุใดการทำฮอร์สแมนนิ่ง จึงไม่ได้รับความนิยมในไทย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถึงมันจะได้รับความนิยม แต่โดยธรรมชาติของมันแล้ว มันย่อมเสื่อมความนิยมไปในเวลาไม่นาน
แต่สิ่งที่เป็นสาระซึ่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ก็คือ การได้มีโอกาสขบคิดและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ในหลายๆ มุมมองต่างหาก เพราะยิ่งมีการแลกเปลี่ยนทางความคิดมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญญา' ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
>>>>>>>>>>
………
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK