นาทีนี้... ไม่มีใครใส่ชุดบิกินีแล้วทำให้หนุ่มๆ ใจเต้นระทึกได้มากเท่าเธอคนนี้อีกแล้ว หลายคนบอกว่าเป็นเพราะเลือดญี่ปุ่นที่มีอยู่เต็มตัว ทำให้เธอดูสดใสไร้เดียงสา หลายคนคิดว่าความสดใหม่ในวงการภาพยนตร์ ทำให้เธอดูลึกลับ มีเสน่ห์น่าค้นหา คาดคะเนกันไปต่างๆ นานา กระทั่งมีโอกาสนัดพบพูดคุยกันแบบเป็นส่วนตัวจึงได้คำตอบว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่รวมเป็นเธอควรค่าแก่การจดจำมากกว่าตัวเลข 34-25-35 ที่หลายคนสนใจ และเพียงพอที่จะทำให้ชื่อ “คุมิโกะ ซูกาโฮะ” กลายเป็นอันดับต้นๆ ที่หลายคนอยากติดตามต่อไปจากนี้
ไม่มีข้อมูลของเธอมากนักจากการเสิร์ชด้วยภาษาไทย และข้อมูลที่ได้ล้วนเกี่ยวกับ “ก้านคอกัด” ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเธอซึ่งเพิ่งเข้าฉายไปได้ไม่นานนัก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อกรอกชื่อคุมิโกะลงไปในช่องค้นหา ยังไม่ทันพิมพ์ให้จบครบทั้งชื่อและนามสกุล ก็มีตัวช่วยเสิร์ชเด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั้งคำว่า “คุมิโกะ ซูกาโฮะ” และ “คุมิโกะ ก้านคอกัด” แสดงว่าคนที่สนใจอยากรู้จักเธอคนนี้มีไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ยิ่งลองเปลี่ยนเป็นเสิร์ชด้วยภาษาอังกฤษ “Kumiko Sugaho” จึงรู้ว่าเธอคนนี้ไม่ใช่แค่ตัวประกอบปลายแถวค่าตัวถูกๆ แต่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ในวงการนางแบบเลยทีเดียว
ในฮ่องกง ญี่ปุ่น และไต้หวัน ทั้ง 3 ประเทศรู้จักเธอในฐานะนางแบบมืออาชีพ มีหน้าของเธอแผ่หราอยู่บนผลิตภัณฑ์เสริมความงามหลายต่อหลายชิ้น แต่มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ได้เปิดซิงการแสดงของเธอครั้งแรก ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่คนที่รู้จักและเคยร่วมงานกับเธออย่างมาก ส่วนจะมากขนาดไหน นางแบบสาวชาวญี่ปุ่นคนนี้มีคำอธิบาย
ไม่ชอบยาวๆ
“ฉันว่าฉันตื่นเต้นแล้วนะที่ตัดสินใจแสดงหนังเป็นครั้งแรก แต่ยังมีคนตื่นเต้นกว่าฉันอีกค่ะ พอฉันเอาข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไปโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊ก เพื่อนที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่นเห็นแล้ว พวกเขาตกใจมาก ถามกันใหญ่ว่าอะไรนะ… เธอเนี่ยเหรอเล่นหนัง! (หัวเราะ) ตอนนี้ก็คอยดีวีดีกันอยู่ คงอยากเห็นว่าการแสดงของฉันจะเป็นยังไงบ้าง เพื่อนบางคนรอไม่ไหว มาจากที่นู่นเพื่อมาดูหนังเรื่องนี้ที่ไทยเลยก็มีค่ะ”
คุมิโกะสื่อสารความรู้สึกของเธอให้ฟังด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดี พร้อมกับแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าอย่างเต็มที่ ทำให้คู่สนทนารับรู้ได้ว่าเธอเป็นคนที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่ในตัวสูงมากจริงๆ
อดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดเธอจึงไม่เคยรับงานประเภทละครหรือภาพยนตร์มาก่อน เพราะถ้าพิจารณาจากภาพรวมแล้ว คุมิโกะก็มีคุณสมบัติเพียบพร้อม สามารถเป็นนักแสดงได้อย่างสบายๆ เธอยิ้มรับความคิดเห็นดังกล่าวด้วยท่าทีเขินๆ ก่อนเผยความจริงว่า เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่บทพูดนั่นเอง
“ฉันค่อนข้างกังวลที่จะต้องจำบทยาวๆ ค่ะ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ก่อนจะรับงานฉันก็ถามเอเยนซีที่ไทยเหมือนกันว่าไม่ต้องพูดบทยาวๆ หรือพูดภาษาไทยใช่ไหม เขาบอกว่าไม่มี ฉันเลยรู้สึกว่าน่าจะทำได้ คงไม่เกินลิมิตของตัวเองมากเกินไป เมื่อมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาแบบนี้ ก็อยากจะลองดูเหมือนกัน เพราะฉันก็ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน แต่ในทางกลับกันถ้ารู้สึกว่ารับงานนั้นมาแล้วจะทำได้ไม่ดี ฉันจะไม่รับค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกงานที่ทำออกมาดีที่สุด”
ครั้งแรกกับโจอี้บอย
ถึงแม้ว่าบทพูดในหนังจะไม่ยาวมากนัก แต่เปรียบเทียบดูแล้วก็ถือว่ายาวกว่างานที่คุมิโกะเคยรับเล่นมาทั้งหมด ประสบการณ์ครั้งแรกบนแผ่นฟิล์มจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับเธอ ยังดีที่ทุกคนในกองถ่ายทำงานกันแบบสบายๆ ทำให้วันๆ หนึ่งผ่านพ้นไปด้วยรอยยิ้ม ช่วยลดความกังวลของนักแสดงหน้าใหม่อย่างเธอไปได้มากเลยทีเดียว
“มันก็ยากอยู่เหมือนกันค่ะ ต้องพยายามทำความเข้าใจบท เพราะคนอื่นพูดภาษาไทยกันหมดเลย ฉันก็เลยต้องจำให้ได้ จะได้รู้ว่าควรตอบไปตอนไหน แต่ทีมงานจะช่วยฉันด้วยการถ่ายแยกฉันคนเดียวเอาไว้เผื่อ บางครั้งก็เครียดเหมือนกัน กังวลว่าจะทำได้ไหม แต่พอไปถึง ทีมงานทุกคนเฟรนด์ลี่ ทำงานกันแบบสบายๆ ก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ หายเครียดไปได้เยอะเลย”
“จะมีแอบเครียดบ้างก็ตอนมีคนมาบอกว่าเดี๋ยววันนี้เราจะไปถ่ายที่นี่กันนะ บอกชื่อสถานที่มา (เช่น เขาวงกต ที่จันทบุรี) ฉันก็ไม่รู้จัก ไม่มีข้อมูล ไม่เคยไปมาก่อน พยายามจินตนาการไปว่าสถานที่นั้นเป็นยังไง คิดไปต่างๆ นานา แต่พอหลังๆ เริ่มชิน (ยิ้ม) รู้สึกว่าการไม่รู้อะไรเลยก็ดีเหมือนกัน เหมือนกับว่าพอไม่รู้แล้ว จะกังวลไปก็ไม่รู้จะกังวลอะไร เพราะถ้ารู้ข้อมูลเยอะว่าต้องทำอะไรบ้าง ฉันจะยิ่งกังวลเข้าไปอีก หลังๆ ว่างปั๊บเลยหลับอย่างเดียวเลยค่ะ (หัวเราะ)”
เชื่อว่าคุมิโกะยังคงจำฉากแรก ความรู้สึกแรก ในหนังเรื่องแรกของชีวิตได้เป็นอย่างดี เมื่อขอให้เธอเล่าให้ฟังจึงรู้ว่า เธอยิ่งกว่าจำได้เสียอีก เพราะเป็นหนึ่งในความประทับใจที่ไม่ต้องพยายามจำ แต่คงลืมไม่ลงไปอีกนาน
“มีคนมารับฉันที่คอนโดฯ ตอนตีสาม เพราะต้องไปถึงที่ถ่ายทำ (จ.จันทบุรี) ประมาณ 6 โมงเช้า ตอนนั้นรู้แค่ว่าจะมีคนมารับ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าต้องไปเล่นอะไร กลายเป็นว่าฉากแรกเป็นฉากวิ่งเลย (หัวเราะ) แล้วไม่ใช่วิ่งเฉยๆ นะ วิ่งฝ่าสายฝนพร้อมกับโจอี้บอยและเดอะแก็งค์ ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ค่อยสบายมาก่อนอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไม มาเมืองไทยทุกครั้งจะต้องเป็นหวัดทุกที ทั้งๆ ที่คิดว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนนะ (ยิ้ม) แล้วฉากนั้นต้องตัวเปียกเพราะมีคนฉีดน้ำทำเป็นฝนอยู่ข้างบน แถมตอนนั้นก็ป่วยๆ ด้วย คิดในใจอยู่อย่างเดียวเลยว่า นี่ฉันต้องมาเปียกอีกเหรอเนี่ย!” เธอตบท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะใสๆ
สำหรับผู้กำกับนักแร็ปอย่างโจอี้บอยเอง คุมิโกะก็มีความทรงจำดีๆ ร่วมด้วยเหมือนกัน “มีฉากหนึ่งที่ฉันต้องขี่หลังนักแสดงคนหนึ่ง แล้วเผอิญว่าเขาลื่น เกือบล้มลงไปทั้งสองคน พอดีโจอี้บอยเห็นเลยช่วยจับไว้ได้ทัน ต้องขอบคุณเขาจริงๆ ค่ะ เขาเทกแคร์ดีมาก เป็นสุภาพบุรุษมากๆ” เชื่อว่าเหตุการณ์นี้คงทำให้คุมิโกะหันมาสนใจหนุ่มไทยบ้างไม่มากก็น้อย
หนทางสู่ดวงดาว
เห็นเป็นคนญี่ปุ่น นึกว่าเป็นนางแบบสังกัดแดนอาทิตย์อุทัย ที่ไหนได้คุมิโกะบอกว่าเธอส่งตรงมาจากเอเยนซีใหญ่ที่ฮ่องกงต่างหาก แต่ถ้าจะบอกว่าญี่ปุ่นคือประเทศบ้านเกิดที่ทำให้เธอค้นพบเส้นทางนางแบบจนถึงทุกวันนี้ คงเป็นคำพูดที่ไม่ผิดเท่าใดนัก
“ฉันเกิดที่นาระค่ะ ใกล้ๆ กับเมืองโอซากา แล้วก็ย้ายไปทำงานที่โตเกียว เสร็จแล้วก็ไปทำงานที่ฮ่องกง สมัยมัธยมฯ เรียนที่เกียวโต ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เดินทางจากนาระไปเกียวโตทุกวันด้วยรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ที่ไม่เรียนในโอซากาเพราะคุณแม่กลัวว่าจะกลายเป็นเด็กใจแตก (หัวเราะ) เอาแต่เที่ยวเล่นทั้งวันเพราะบรรยากาศมันพาไป ตอนที่เรียนอยู่ ฉันสูงกว่าเด็กผู้หญิงทุกคนในห้องเลย ตอนนั้นอายุ 12 ก็สูง 163 แล้ว ชอบมีคนเข้ามาพูดว่าเราน่าจะเป็นนางแบบได้นะ ฉันก็เก็บมาคิด พอมีโอกาสก็ลองทำดู”
งานแรกบนเส้นทางนางแบบคือการถ่ายนิตยสารวัยรุ่นตอนอายุ 15 คุมิโกะได้เซ็นสัญญากับนิตยสารชื่อดัง เธอกลายเป็นนางแบบอันดับต้นๆ ที่ลูกค้าต้องการ และกำลังโลดแล่นอยู่บนเส้นทางสายนี้อย่างสวยงาม กระทั่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น นิตยสารที่เคยโด่งดังกลับหมดความนิยมลงอย่างรวดเร็ว ผู้อ่านหันไปนิยมนิตยสารสไตล์ใหม่ทำให้ฉบับเดิมต้องปรับตัวและปรับเปลี่ยนนางแบบ หลังจากหมดสัญญาว่าจ้าง คุมิโกะจึงพักเรื่องงาน มุ่งมั่นกับการเรียนจนจบ เมื่อสบโอกาสจึงกลับมารับงานในโตเกียวอีกครั้ง แต่ทุกอย่างกลับไม่ลงตัวอย่างที่คิดไว้ เธอจึงตัดสินใจกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเอง
“เรียนจบ กลับมาทำงานในโตเกียวสักพักก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ เหมือนผู้จัดการต้องการให้ฉันผันตัวไปเป็นนักแสดง ตอนนั้นฉันอยู่สังกัดเดียวกับโคยูกิ (นางเอกเรื่อง The Last Samurai) แต่ฉันไม่อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นนางแบบมากกว่า ก็เลยปฏิเสธไป ส่วนเรื่องรับงานถ่ายแบบ ลูกค้าบอกว่าปัญหาเดียวของฉันคือเรื่องการเดินทาง ฉันไม่ได้อยู่ที่โตเกียว เวลาจะจ้างฉัน ทำให้เขาต้องเสียค่าเดินทางให้อีก ซึ่งแพงกว่าจ้างนางแบบในโตเกียว ทำให้มีงานเข้ามาน้อยลง ตอนนั้นฉันเริ่มคิดแล้วว่าการเป็นนางแบบที่ญี่ปุ่นคงไม่เวิร์กเท่าไหร่ ที่ญี่ปุ่นพออายุเกิน 25 ก็เริ่มหางานยากแล้ว ก็เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงแทนค่ะ”
ไม่เหมือนคนญี่ปุ่น
เมื่อเส้นทางความฝันในบ้านเกิดของตัวเองไม่ราบรื่นนัก คุมิโกะจึงลองเปิดตลาดใหม่ให้ตนเอง โชคดีว่าตอนที่ทำงานในญี่ปุ่น เธอมีชื่อเสียงในระดับที่ลูกค้าสามารถจดจำได้ และเธอยังเคยรับงานจากฮ่องกงมาบ้างแล้ว จึงสามารถเดินหน้ารุกตลาดนางแบบในฮ่องกงได้อย่างรู้ทางหนีทีไล่ โดยเริ่มจากวิธีง่ายๆ อย่างการใช้บล็อกโปรโมตตัวเองก่อน
“เพื่อนฉันบอกว่าลุคฉันน่าจะเหมาะกับตลาดที่ฮ่องกง ฉันเองก็เคยเป็นนางแบบให้ที่นั่นมาก่อนและมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นประมาณหนึ่ง คิดว่าน่าจะใช้ได้ เลยเริ่มจากลองเขียนบล็อกดู คือฉันเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วให้เพื่อนฉันช่วยแปลเป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง พอมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเป็นภาษาจีน ลูกค้าที่นั่นก็ให้ความสนใจมากขึ้น อยากรู้จักเรามากขึ้น เข้ามาติดต่อขอสัมภาษณ์บ้าง ซึ่งถือเป็นวิธีที่ได้ผลนะ (ยิ้ม) จากวันนั้นถึงวันนี้ ฉันย้ายมาปักหลัก ใช้ชีวิตอยู่ที่ฮ่องกงได้ 4 ปีแล้วค่ะ” คุมิโกะเผยความลับเล็กๆ ให้ฟังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ตอนที่ยังทำงานที่ญี่ปุ่น หลายคนเคยเข้ามาพูดกับคุมิโกะว่าลักษณะนิสัยของเธอไม่เหมือนคนญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ตอนนั้นเธอยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายเท่าไหร่ กระทั่งได้มีโอกาสทำงานในต่างแดนอย่างทุกวันนี้ จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“สมัยเรียนมัธยม มีเพื่อนต่างชาติมาเรียนด้วยกัน มีเพื่อนคนจีนคนหนึ่งมาแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น เขาบอกว่าฉันไม่เหมือนคนญี่ปุ่นคนอื่นๆ บอกว่าฉันเหมาะที่จะทำงานต่างประเทศมากกว่า ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ (ยิ้ม) การทำงานในหลายๆ ประเทศทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่มีปัญหาสำหรับฉันอยู่แล้วค่ะ ฉันเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย อยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้ได้ออกไปเจออะไรใหม่ๆ ก็พอ”
เดาว่านิสัยขี้เบื่อคงติดตัวเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก คุมิโกะบอกว่าเธอเติบโตมาในแถบชานเมือง ไม่ได้มีชีวิตเร่งรีบอย่างในโตเกียว ไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตซ้ำๆ เดิม จึงอาจทำให้เธอกลายเป็นคนรักอิสระมาจนถึงทุกวันนี้
“ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่แบบง่ายๆ สบายๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ พอว่างก็ดูหนังที่บ้าน ออกไปเดินเล่นดูนกดูไม้ ก็เลยอาจจะไม่ค่อยชินกับการใช้ชีวิตเป็นแพตเทิร์นซ้ำๆ เดิม หรือมีชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทในโตเกียว ต้องแข่งขัน วางแผน รีบเร่ง เคร่งเครียดกันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำอยู่แบบเดิมแบบนี้ซ้ำๆ ดูเป็นชีวิตที่น่าเบื่อ มีคนเคยพูดว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะ คนส่วนใหญ่ติดต่อสื่อสารกันอยู่แค่ในเกาะของตัวเอง ปิดหูปิดตาไม่รับรู้โลกภายนอก ซึ่งฉันไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ ไม่อยากถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์เกาะหรือมนุษย์ถ้ำอะไรแบบนั้น” เธอพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ ไม่ได้แสดงอาการเย้ยหยันแต่อย่างใด
ไม่เหมาะกับประเทศตัวเอง
นอกจากนิสัยจะไม่เหมือนคนญี่ปุ่นคนอื่นๆ แล้ว คุมิโกะยังยอมรับว่าทัศนคติการทำงานของเธอ ไม่ค่อยเหมาะจะร่วมงานกับเพื่อนร่วมเชื้อชาติเดียวกันเท่าใดนัก แต่เหมาะกับทีมงานจากฮ่องกงและไทยมากกว่าหลายเท่า ถ้าไม่เชื่อ เธอมีคำอธิบาย
“ที่ญี่ปุ่น การทำงานของเขาต้องวางแผนทุกอย่างอย่างรัดกุมและแสวงหาความเพอร์เฟ็กต์ตลอดเวลา ซึ่งมันก็โอเคนะคะ แต่บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง คือผู้กำกับจะชอบสั่งให้เราแสดงอย่างที่เขาต้องการ ต้องยิ้มมุมปากอย่างนี้นะห้ามขาดห้ามเกิน แต่ทำงานที่ฮ่องกงกับไทย จะรู้สึกว่าเราได้มีส่วนร่วมไปกับงานมากกว่า ผู้กำกับจะมีความเชื่อใจให้นักแสดงตีความความรู้สึกเองได้บ้าง เหมือนมาเจอกันคนละครึ่งทาง อาจจะมีแนะนำบ้างว่าให้แสดงแบบนี้ แต่เราก็สามารถใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปได้ด้วย ฉันก็เลยชอบทำงานกับฮ่องกงและไทยมากกว่าค่ะ ทำด้วยแล้วรู้สึกเหมือนเราได้ทำงานไปด้วยกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว”
อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือเรื่องเวลา ร่วมงานกับชาวญี่ปุ่นด้วยกัน กว่าจะได้สักงานหนึ่ง กินเวลาอยู่หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ทั้งยังมีกฎเกณฑ์หยุมหยิม ทำให้เธอสะดวกใจจะร่วมงานกับประเทศไทยมากกว่า
“พอย้ายไปอยู่ฮ่องกงก็มีงานที่ญี่ปุ่นเข้ามาบ้างเหมือนกัน แต่ฉันไม่ค่อยรับเท่าไหร่ค่ะ เพราะระบบการทำงานที่ญี่ปุ่นค่อนข้างฟิกซ์มากๆ ใช้เวลานานมาก กว่าจะได้สักชิ้นหนึ่ง แค่แคสติ้งก็กินเวลาไป 1 เดือนแล้วค่ะ ยังไม่รวมเวลาถ่ายทำเลย แต่ถ้าทำงานที่ฮ่องกงกับไทย รวมเวลาตั้งแต่แคสต์งานจนถ่ายทำ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็เสร็จ ทำให้ฉันสามารถรับงานได้มากกว่าเยอะเลย”
“ถ้าให้เปรียบเทียบที่ฮ่องกงกับไทย ที่ไทยจะฟรีสไตล์มากกว่า สบายๆ และเป็นกันเองมากกว่า ทำแล้วมีความสุขดีค่ะ ไม่ต้องคอยโค้งทำความเคารพกัน หรือคอยระวังเรื่องระบบซีเนียร์เหมือนในญี่ปุ่น” ปากหวานแบบนี้ คนหลังเลนส์ชาวไทยได้ฟังคงยิ้มไม่หุบกันล่ะงานนี้
ยิ้มรับแฟนคลับชาวไทย
อีกหนึ่งเหตุผลที่คุมิโกะไม่อยากรับงานที่ต้องมีบทพูดยาวๆ เพราะเธอไม่อยากให้ตนเองเป็นที่จดจำ ไม่อยากให้ใครจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวกับบนหน้าปกนิตยสาร หรือเคยเล่นหนังโฆษณาเรื่องไหนบ้าง ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้พื้นที่ส่วนตัวของเธอถูกคนอื่นเข้ามาละลาบละล้วงนั่นเอง
“การอยู่ในแสงแฟลช เป็นที่จับจ้องมันก็ดีนะ แต่ฉันแค่ไม่อยากถูกจับจ้องตลอดเวลาค่ะ ฉันค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ไม่ชอบคนเยอะๆ เท่าไหร่ อีกอย่างฉันว่าเวลาฉันไม่พูด ฉันสามารถสื่ออารมณ์ได้ดีกว่าตอนพูดยาวๆ เสียอีกนะ (หัวเราะ) ส่วนตัวแล้วฉันไม่อยากให้ใครจำฉันได้ แค่ให้ลูกค้าจำฉันได้ก็พอว่าฉันเป็นนางแบบ จะได้มีงานต่อไปเรื่อยๆ เก็บประสบการณ์ไป ฉันไม่อยากดังถึงขนาดถูกถ่ายรูปทุกครั้งที่ออกจากบ้านค่ะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงไม่ค่อยชินเท่าไหร่”
ที่ฮ่องกง คุมิโกะคือนางแบบที่มีรายชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ที่ถูกเรียกใช้เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยเสียความเป็นส่วนตัว ด้วยเหตุผลที่ว่า “ภาพของฉันบนโฆษณา สไตล์การแต่งหน้าแต่งตัวจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วปกติเวลาออกไปไหนมาไหน ฉันจะไม่แต่งหน้าอยู่แล้วค่ะ เลยไม่มีใครจำได้ (ยิ้ม)”
แต่สงสัยว่าเวลามาที่เมืองไทย คุณคงต้องเสียความเป็นส่วนตัวแล้วล่ะ เพราะตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่อยากรู้จักคุณ... ผู้สัมภาษณ์กระเซ้าออกไปเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย เดาว่าเธอจะตีสีหน้าลำบากใจ ตรงกันข้ามเธอกลับร้อง “โอ้!” ออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจระคนแปลกใจ เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้างถ้าจะมีแฟนคลับของตัวเองเพิ่มขึ้นในเมืองไทย คุมิโกะจึงระเบิดหัวเราะออกมา ใช้มือปิดหน้าด้วยท่าทีเขินๆ แล้วตอบว่า “จริงเหรอคะ... ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงมีความสุขมากๆ เลย เพราะถ้ามีชื่อเสียงในต่างประเทศ มันให้ความรู้สึกน่าตื่นเต้นกว่ามีชื่อเสียงในที่ของตัวเองอีกนะ”
แต่แฟนคลับส่วนใหญ่อาจจะชอบคุณในแนวเซ็กซี่นะ เพราะในหนังที่แสดง คุณนุ่งบิกินีเกือบทั้งเรื่องเลย คุณจะโอเคไหม? คนถูกถามหัวเราะแบบเขินๆ ก่อนให้คำตอบว่า “อืม... ก็โอเคนะ (ยิ้ม)” แล้วคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ไหม? ผู้สัมภาษณ์ยังคงถามต่อไป จนได้คำตอบสุดท้ายที่โดนใจที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา “I’m not sexy but my body’s sexy (ฉันไม่ใช่คนเซ็กซี่หรอก หุ่นของฉันต่างหากที่เซ็กซี่)” คุมิโกะพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ จนคู่สนทนาอดหัวเราะไปกับความน่ารักของเธอไม่ได้
อาหารไทย เที่ยวไทย & ชายไทย
“ลาบ... ต้มยำกุ้ง แอนด์...” นางแบบสาวชาวญี่ปุ่นพูดถึงรายการอาหารไทยที่เธอชื่นชอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ด้วยสำเนียงที่เกิดจากการฝึกฝนมาแล้ว แต่ยังเหลืออีกหนึ่งเมนูที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นั่งค้นหารูปอย่างใจจดใจจ่ออยู่พักใหญ่ๆ จนเจอภาพ “ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน” อีกหนึ่งเมนูโปรดของเธอ
ดูเหมือนว่าอาหารจานโปรดของเธอจะมีแต่รสแซบๆ ทั้งนั้น เธอพยักหน้ารับความเห็นดังกล่าว ก่อนอธิบายว่า “อาหารรสเผ็ดอร่อยดีค่ะ แต่เพิ่งมาหัดกินช่วงหลังๆ นี่เอง ตอนอยู่ญี่ปุ่นชินกับอาหารจืดๆ มากกว่า ก็เลยกินเผ็ดได้นิดหน่อย กินมากไม่ได้ค่ะ กินแล้วปวดท้อง” ส่วนเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย เธอบอกว่ายังไม่มีโอกาสไปเที่ยวอย่างจริงจัง จะมีก็แต่ไปถ่ายแบบตามธรรมชาติสวยๆ บ้าง “เคยไปภูเก็ตครั้งหนึ่งค่ะ ไปถ่ายแบบลงนิตยสาร Mars” เธอบอกอย่างนั้น
ถึงแม้เรื่องอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวของไทย คุมิโกะจะยังไม่ชำนาญนัก แต่เรื่องภาษา บอกได้คำเดียวว่า “เก่งมาก” ถามว่าเธอเข้าใจภาษาไทยมากน้อยแค่ไหน เธอบอกว่าพูดได้บ้างบางคำ แต่ตอนพูดให้ฟัง กลับพูดได้มากกว่าที่หลายคนคาดเอาไว้ ที่สำคัญคือเลียนแบบสำเนียงได้เหมือนเจ้าของภาษาเปี๊ยบเลย
“มีคำว่า สวัสดีค่ะ, อะไรนะ, สวย, ขี้เหร่, ขอบคุณมากค่ะ, ขอโทษนะคะ เวลาไปเดินแพลทินัม ตอนนี้ได้มาเพิ่มอีกคำหนึ่งแล้ว คำว่า “แพง” (หัวเราะ) เวลาไปเดินซื้อของ ฉันจะพยายามเรียกคนขายว่า “พี่” เพราะเวลาพูดแบบนี้แล้วคนขายเขาลดราคาให้เยอะเลยค่ะ แต่ถ้าพูดภาษาอังกฤษ จะได้ราคาแพงกว่า” คุมิโกะเล่าให้ฟังด้วยรอยยิ้มซุกซน
อาหารไทยก็กินแล้ว เที่ยวไทยก็ไปมาบ้างแล้ว ภาษาไทยก็พูดได้แล้ว... แล้วผู้ชายไทยล่ะ ชอบไหม? คนถูกถามเอาแต่หัวเราะกลบเกลื่อน พอถามว่าสเปกของเธอเป็นแบบไหน เจ้าตัวนิ่งคิดครู่ใหญ่ แล้วมอบรอยยิ้มเป็นประกายให้คนถาม ก่อนตอบว่า “ชอบคนยิ้มสวยค่ะ ยิ้มแล้วดูมีประกายเหมือนพ่อฉัน ฉันชอบคนที่คล้ายๆ คุณพ่อค่ะ”
“ชอบคนที่มีความสามารถเฉพาะทาง อย่างนักโปรแกรมเมอร์ นักดนตรี หรือนักสถาปนิก คนที่มุ่งไปด้านใดด้านหนึ่ง ฉันว่าดูเป็นคนมีความมุ่งมั่นดีค่ะ อีกอย่างฉันไม่ค่อยชอบนักธุรกิจเท่าไหร่ เพราะคุณตาของฉันก็เคยเป็นพนักงานบริษัทแล้วท่านไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว ทำให้ฉันไม่ค่อยมีเวลาคุยกับท่านมากนัก เหมือนกับท่านมีภาระต้องรับผิดชอบหนักมาก ต้องคิดขยายบริษัทตลอดเวลา ทำงานด้วยความเครียด มันเลยกลายเป็นปมฝังใจ ทำให้ฉันไม่ค่อยชอบอาชีพนักธุรกิจเท่าไหร่ ส่วนเรื่องเชื้อชาติ คิดว่าถ้าเป็นคนเอเชียจะคุยกันได้เข้าใจกว่า วัฒนธรรมน่าจะคล้ายๆ กัน”
แล้วเจอคนที่ใช่หรือยัง? คุมิโกะพยักหน้า คนฮ่องกงเหรอ? “เปล่าค่ะ คนญี่ปุ่น” คบกันนานหรือยัง? “ความลับค่ะ (ยิ้ม)” ถึงหนึ่งปีไหม? คุมิโกะส่ายหน้าด้วยท่าทีเขินๆ... สงสัยชายไทยจะอกหักดังเป๊าะเสียแล้ว
---ล้อมกรอบ---
ชีวิตเหมียวๆ
ลองให้นางแบบสาวอธิบายความเป็นตัวเองให้ฟัง เธอตอบสั้นๆ ด้วยท่าทีขี้เล่นว่า “ฉันว่านิสัยฉันคงเหมือนแมวมั้งคะ (หัวเราะ)” เมื่อเห็นว่าผู้ถามมีสีหน้างงๆ คุมิโกะจึงเริ่มเล่าเรื่องน้องเหมียวของเธอให้ฟัง
“ตอนนี้เลี้ยงแมวค่ะ เลี้ยงสองตัว ตัวหนึ่งชื่อคู (Ku) อีกตัวชื่อวิน (Win) ตัวที่ชื่อคูแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าขี้เกียจ หลับได้ตลอดเวลา นอนได้ทุกที่ คุณแม่ตั้งชื่อให้มันแบบนั้น เพราะว่ามันนิสัยเหมือนฉันเลยค่ะ (หัวเราะ) อีกอย่างหนึ่ง ขนมันมีสีดำ ตรงกับคำว่า “คุโระ” พอดีด้วย ก็เลยลงตัวที่ชื่อคู ส่วนอีกตัวที่ชื่อวิน ที่ตั้งชื่อนี้เพราะ วินแปลว่าชัยชนะ รู้สึกว่าเวลาเรียกชื่อมันทีไรจะให้ความรู้สึกแข็งแกร่งทุกที ทำให้ฉันมีพลังในการทำงาน อยากทำให้งานประสบความสำเร็จให้ได้”
“ฉันรู้สึกว่าแมวทั้งสองตัวนี้ก็เหมือนกับตัวฉันนั่นแหละค่ะ เพราะตัวฉันเองก็มีสองด้านในคนคนเดียว คือปกติแล้วฉันจะเป็นคนเฉยๆ เหมือนไม่ได้กระตือรือร้นมาก แต่กับเรื่องบางเรื่องที่รู้สึกว่าต้องทำให้ได้ ฉันก็จะพยายามจนถึงที่สุดเลยค่ะ” เธอพูดด้วยแววตามุ่งมั่น
คุมิโกะมักจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ญี่ปุ่นปีละสองครั้ง และสิ่งที่เธอมักจะเจอเสมอๆ คือภาพเจ้าคูเข้าไปนอนกลิ้งเล่นอยู่ในชุดชั้นในของเธอเอง บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ยังทำเหมือนเดิม จนเธอตั้งสมญานามให้มันว่า “เจ้าโง่”
“ตัวที่ชื่อคู มันค่อนข้างโง่แถมยังขี้เกียจด้วย มันชอบรื้อชุดชั้นในของฉันออกมา แล้วก็มุดตัวเข้าไปในนั้น (ทำหน้าเอือมระอา) ฉันก็จะบ่นใส่มันว่า อีกแล้วเหรอเนี่ย… นี่ฉันต้องซักใหม่อีกใช่ไหมเนี่ย! (หัวเราะ) แต่อีกตัวที่ชื่อวินจะค่อนข้างฉลาด มันจะรู้ว่าฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าฉันบอกว่าทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ มันก็จะหยุด แต่วันไหนชมว่าน่ารักมาก มันจะมีความสุขมาก”
ตอนนี้ที่บ้านของเธอไม่ได้มีเจ้าเหมียวเพียงแค่สองตัวอีกแล้ว แต่มีถึง 14 ตัว ซึ่งแต่ละตัวล้วนเป็นแมวจรจัดทั้งสิ้น เดิมทีคุณแม่ของคุมิโกะให้อาหารแมวเหล่านี้เป็นประจำ จนพวกมันมาขอข้าวกินทุกวันและจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป บ้านของเธอที่ญี่ปุ่นจึงกลายเป็นแหล่งซ่องสุมของแมวจรจัดไปโดยปริยาย นี่ยังไม่รวมตัวทานูกิที่มักจะแวะเวียนมาขอเศษอาหารเป็นประจำ แค่คิดก็เหนื่อยแทนคุณแม่แล้ว
หุ่นดีเกินนางแบบ!
“ตอนนี้ฉันชักเริ่มไม่ชอบร่างกายของตัวเองแล้วล่ะ (หัวเราะ)” ที่คุมิโกะพูดอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเธอไม่พอใจในทรวดทรงองเอวที่พระเจ้าประทานมาให้เธออย่างเพียบพร้อม แต่เพราะเทรนด์นางแบบโลกที่กำลังเปลี่ยนไป เน้นผู้หญิงผอมแห้ง ไร้เนื้อหนัง ขาดส่วนเว้าส่วนโค้งมากขึ้น จึงทำให้เธอรับงานได้น้อยลง จนต้องตัดพ้อออกมา
“หุ่นของฉันจะค่อนข้างมีหน้าอก มีเอว มีสะโพกชัด หลายที่บอกว่าหุ่นฉันดูมีทรวดทรงเกินไปสำหรับอาชีพนางแบบ ฉันเองก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีกับร่างกายตัวเองเหมือนกัน ทำให้ชวดงานไปหลายชิ้น (หัวเราะเนือยๆ) แต่โชคยังดีที่เอเยนซีของฉันมักพยายามพูดถึงข้อดีของฉันให้ลูกค้าฟัง และลูกค้าก็เห็นว่าบางชุดนางแบบสมัยใหม่ที่หุ่นผอมๆ บางๆ ใส่แล้วไม่สวยเท่าฉันก็มี อย่างตอนนี้ที่ฮ่องกงเองก็เริ่มทำชุดชั้นในและชุดว่ายน้ำออกมา เขาก็ต้องการให้ฉันเป็นคนพรีเซ็นต์ ทำให้รู้สึกว่าหุ่นตัวเองยังขายได้อยู่” เธอยิ้มขี้เล่นตบท้าย
ถ้าเป็นไปได้คุมิโกะอยากทำอาชีพนางแบบไปเรื่อยๆ เธอพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ ตราบเท่าที่ลูกค้ายังต้องการ ถึงแม้ว่าเทรนด์นางแบบจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกสักแค่ไหน แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของเธอที่ปรับเปลี่ยนไปได้หลากหลายแนว ทั้งญี่ปุ่น จีน หรือแม้แต่เกาหลี ทำให้เธอยังคงถูกเรียกใช้อยู่ไม่ขาดสาย
“โชคดีที่หน้าตาและรูปร่างของฉันยังขายลูกค้าได้หลายกลุ่ม คนที่ต้องการสาวญี่ปุ่น ฉันก็เป็นให้ได้ เพราะฉันเป็นคนญี่ปุ่น ถ้าต้องการสาวเกาหลี ฉันก็ดูคล้ายคนเกาหลีอยู่บ้าง ถ้าไว้ผมทรงเปิดหน้าและปล่อยผมให้ยาวลงมา หรือสาวจีน ฉันก็เป็นได้ ถ้าแต่งหน้าอีกแบบหนึ่ง ฉันเองก็พยายามปรับตัวอยู่ค่ะ”
ถ้าหุ่นขนาดนี้ยังไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีก ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย นอกจากคำว่า “เธอหุ่นดีเกินไป!”
ไม่มั่นใจสำเนียงญี่ปุ่น
เห็นพูดภาษาญี่ปุ่นในหนังเกือบทั้งเรื่อง ใครเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคุมิโกะไม่มั่นใจในการออกเสียงภาษาญี่ปุ่นของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้เธอจะเป็นคนญี่ปุ่นมาแต่กำเนิดก็ตาม ด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าสำเนียงของเธอมันผิดแปลกจากปกติตรงไหน เจ้าของภาษาจึงอธิบายให้ฟัง
“ฉันมักจะคิดอยู่เสมอว่าการออกเสียงภาษาญี่ปุ่นฉันมันฟังดูตลกๆ ฉันว่ารูปปากฉันทำให้ฉันออกเสียงได้ไม่ค่อยเป็นปกติ อย่างเวลาพูดภาษาอังกฤษ ฉันจะดูว่าคนอื่นเขาออกเสียงกันยังไง ทำปากแบบไหน ฉันก็จะก๊อบปี้แล้วก็ทำตาม แต่เวลาพูดภาษาญี่ปุ่น ปากฉันจะไม่ค่อยเปิด ทำให้เสียงออกมาเบา โดยเฉพาะตอนที่เครียดมากๆ เสียงจะไม่ค่อยออกมาเลย และฉันก็ไม่ถนัดจะพูดภาษาญี่ปุ่นเสียงดังๆ ฉันก็เลยไม่ค่อยชอบตัวเองเวลาพูดภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ รู้สึกไม่มั่นใจเลยค่ะ”
ตอนที่ยังทำงานที่ญี่ปุ่น เธอก็ถูกว่าเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเสียความมั่นใจ เหมือนกับว่าพอเธอพูดเสียงปกติ ก็จะเบาเกินไป แต่พอเธอพยายามเค้นเสียงออกมา ก็จะเหมือนตะโกนมากเกินไป ทำให้คุมิโกะมั่นใจในเสียงพูดภาษาอังกฤษของเธอมากกว่า
“ตอนทำงานกับคนญี่ปุ่น เขาจะขอให้ฉันพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักๆ (ทำน้ำเสียงแหลมๆ ให้ฟัง) ซึ่งฉันทำไม่ได้ ฉันถูกต่อว่าเรื่องนี้บ่อยมาก คนอื่นอาจจะคิดว่าฉันไม่รักบ้านเกิดของตัวเองหรือเปล่า ทำไมไม่ค่อยชอบพูดภาษาญี่ปุ่น ฉันแค่อยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วเป็นเพราะฉันมีปัญหาเรื่องการออกเสียงค่ะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพูดภาษาญี่ปุ่นนะ”
คุมิโกะอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้มถ้อยทีถ้อยอาศัย ชวนให้นึกถึงนิสัยถ่อมตัวที่เธอมักแสดงออกมาให้เห็นเป็นระยะ โดยเฉพาะตอนที่คู่สนทนาแปลบางประโยคที่คุมิโกะพูดไม่ออก เธอมักจะออกตัวว่า “ขอโทษด้วยค่ะ คงเพราะสำเนียงภาษาอังกฤษของฉันยังไม่ดีเท่าไหร่” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสำเนียงของเธอดีมาก แต่ผู้ฟังมักจะแปลผิดบ้างถูกบ้างเอง
ซามูไรสาว
กว่าจะได้รับบทมิยูกิในหนังเรื่องก้านคอกัดอย่างที่เห็น คุมิโกะต้องลงทุนส่งวิดีโอเข้ามาคัดเลือกจากฮ่องกงเลยทีเดียว ส่วนภาพในวิดีโอก็ไม่ใช่การพรีเซ็นต์หน้าสวยๆ แบบธรรมดาๆ แต่เธอต้องลุกขึ้นมาตัดผมของตัวเองให้เป็นหน้าม้า สวมชุดกิมโมโน และควานหาดาบซามูไรมาทำท่าแกว่งไกวอยู่หลายต่อหลายรอบ เพื่อให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ที่ทีมงานไทยต้องการ
“เอเยนซีของฉันขอให้ถ่ายวิดีโอเพื่อส่งมาแคสติ้ง แล้วตอนนั้นฉันอยู่ฮ่องกง หาดาบซามูไรไม่ได้เลย ฉันก็เลยใช้ร่มแทน (หัวเราะแบบขำตัวเอง) ฉันก็ต้องพยายามแสดงเหมือนกับว่ากำลังถือดาบอยู่ ส่วนชุดฉันก็ใส่กิมโมโน เรื่องทรงผม ทางทีมงานต้องการให้ดูเป็นสาวญี่ปุ่นน่ารักๆ ฉันก็เลยตัดผมหน้าม้าเสียเลย เพราะเวลาผมข้างหน้าฉันยาว ฉันจะดูเหมือนสาวเกาหลีหรือสาวจีนมากกว่า ฉันตั้งกล้องถ่ายตัวเองในชุดนั้น และพยายามทำท่าให้เหมือนซามูไรสาวมากที่สุด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านมาได้ (หัวเราะ)”
แสดงเหมือนหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่สงสัยว่าทีมงาน “ก้านคอกัด” จะติดใจร่มซามูไรของคุมิโกะเข้าอย่างจัง!
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : คุมิโกะ ซูกาโฮะ
ส่วนสูง : 170 ซม.
น้ำหนัก : 51 กก.
การศึกษา : จบจาก International Make up School เมืองโอซากา
ผลงาน : เคยเป็นนักร้องวง Girliciouss.asia ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานโฆษณา และเป็นนางแบบโฆษณาหลายชิ้นทั้งภาพนิ่งและทางโทรทัศน์ ส่วนใหญ่ฉายอยู่ในไทย ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย
รางวัลที่ได้รับ : Tokyo Girls Collection, รองอันดับสาม Miss TGC
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณสถานที่ : Mugendai Sushi & Tempura Bars