xs
xsm
sm
md
lg

“จอย จุฑามาศ วิชัย” เธอคนนี้ “โกอินเตอร์” แดนกิมจิ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จอย จุฑามาศ  วิชัย หรือ จอย ราเนีย
หลังจากเมืองไทยมีชายหนุ่มโกอินเตอร์ไปเป็นนักร้องที่เกาหลีกันแล้ว คราวนี้มาถึงการทำความรู้จักกับอีก หนึ่งสาวสวย ที่ได้มีโอกาสก้าวสู่วงการเพลงที่เกาหลีอีกหนึ่งคน กับสาวร่างเล็ก แต่ความสามารถของเธอไม่ได้เล็กไปเลย กับ “จอย จุฑามาศ วิชัย” หนึ่งในเกิร์ลกรุ๊ปของวงเลือดผสมจากหลากหลายสัญชาติ เข้าไปอยู่ในวง “ RANIA” วงน้องใหม่ที่กำลังมาแรงมากทั้งในประเทศเกาหลีและเมืองไทยเอง ที่แค่ปล่อยเพลงแรกให้ได้ฟังกัน ก็สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ที่คนเกาหลีอยากรู้จักมากที่สุด

มาครั้งนี้ สาวๆ วง “ RANIA” ได้มีโอกาสมาพบปะแฟนเพลงที่เมืองไทย M-Lite เองจึงไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปรู้จักถึงความสามารถของ “จอย จุฑามาศ วิชัย” สาวร่างเล็ก ผมยาว ผิวขาว ที่เห็นลีลาการเต้นของเธอยิ่งทำให้รู้ว่า เธอเดินมาถึงจุดนี้ด้วยความสามารถของเธออย่างแท้จริง

1

การมาทำงานที่เมืองไทยครั้งนี้ ถือเป็นการมามีตติ้งกับบรรดาแฟนคลับชาวไทย ที่รอคอยอยากจะเห็นสาวๆ มาเปิดตัวอัลบั้มแรกในเมือง และทำให้สาวๆ ได้รับการต้อนรับจากแฟนคลับชาวไทยอย่างดี

จอย ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ด้วยการออดิชั่นกับวง Baby V.O.X ในเจเนอเราชั่นที่ 3 ซึ่งการเข้าไปในครั้งนั้น เธอบอกว่าเป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่งเหมือนเด็กๆ ทั่วไป ที่พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และประสบการณ์ดังกล่าวทำให้มีแมวมองจากประเทสเกาหลีสนใจและติดต่อเธอให้ได้เข้าไปทำงานเพลงที่ประเทสเกาหลี

“ประสบการณ์ในการประกวด เหมือนกับว่าเราก้ไม่ได้คิดว่าเราจะได้เข้าไปทำงานตรงนนี้ หนูก็ทำอะไรสนุกๆ เราเป็นคนที่ชอบเต้น ชอบร้องมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ ทำไปก็ได้รับการติดต่อกลับมา ตอนนั้นพอลงมาจากเวที เขาก็ถามเลยว่า เมื่อกี้ที่ทำไป ตื่นเต้นใช่มั้ย เดี๋ยวเขาจะติดต่อกลับไปนะ เราก็คิดว่าเขาเองก็คงล้อเราเล่นมั้งค่ะ ไม่ได้คิดแบบนั้น พอตกเย็นก็มีโทรศัพท์ มาให้เราเตรียมตัวทำอะไรให้พร้อมนะ ”

หลังจากเสียงพูดผ่านสายโทรศัพท์ติดต่อกลับมาหลังจากหายไปเดือนกว่าๆ สำหรับเธอเองก็เคยผ่านงานโฆษณาในเมืองไทยมาบ้าง จึงทำให้ได้รับการติดต่อมาอีกครั้ง และให้เวลาเตรียมตัวเพียงแค่หนึ่งวันก็ได้โกอินเตอร์เข้าไปทำงานที่ประเทศเกาหลี

“พอเขาหายไปประมาณเดือนกว่าๆ เค้าก็โทรมา ให้เตรียมของ เตรียมตัวให้พร้อม แล้วพอหนูถ่ายโฆษณา อยู่ดีดีก็โทรมาแล้วบอกว่า พรุ่งนี้ไปเกาหลีเลยนะ หนูก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยนะ เขาบอกว่าเขาซื้อตั๋วเครื่องบินเอาไว้ให้แล้ว ก็เลยไปวันนั้นเลย”

“ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยค่ะ ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้เลยด้วย ตอนคุยตอนแรก ก็ถามคุณพ่อคุณแม่ ว่าเราอยากเป็นนักร้อง เขาก็ถามว่า เราอยากทำจริงหรอ ไปที่นู้นเราไม่มีใครรู้จักเลยนะ เขาพูดภาษาอะไรกัน เราพูดได้หรอ แล้วเราจะดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน เราจะทำได้ดีแค่ไหน จะร้องไห้กลับบ้านมั้ยเนี่ย”

ประสบการณ์เมื่อไปถึงที่ประเทศเกาหลี เพียงแค่ก้าวแรกที่เข้าสู่สนามบิน นำเอาเสื้อผ้ากระเป๋าเก็บเข้าที่พัก ก็ด้เริ่มงานทันที ทั้งซ้อมเต้น เรียนร้องเพลง ยิ่งทำให้เกิดความกดดันกับเธอมากขึ้น

“ไปวันแรก ก็ให้ซ้อมเลยค่ะ ผู้จัดการก็ไปรับที่สนามบิน ถึงปุ๊บก็เข้าที่พักก่อนเลย ก็ได้พบกับเจ้าของบริษัท คุยกัน ก็ให้พักแล้วเดี๋ยวบ่ายสองเข้าไปซ้อม หนูก็ไม่ได้ตั้งตัว ไปถึงก็ซ้อมเลย รู้สึกกดดัน มาถึงเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย มาถึงก็จะให้ทำงานเลยหรอ ก็เลยกลัวๆ นิดนึง พอเข้าไปแล้ว เด็กฝึกคนอื่นเค้าก็ช่วยเราด้วย เข้าไปเป็นเกือบคนสุดท้ายของวง เพราะมีพี่ๆ ในวงอีก สี่คนที่เป็นเด็กที่เค้าฝึกออดิชั่นมาก่อนหน้าเราแล้ว แล้วเค้าก็สนิทกันมาก่อนหน้าเราแล้วค่ะ เพราะว่าอยู่กันมา 4 ปีแล้ว เรามายังไงก็มาคนเดียว ก็กลัวนิดนึง”

วันแรกที่เข้าไป ก็ยังไม่คุยกันมากนัก แต่เมื่อได้ฝึกซ้อมและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้หนึ่งอาทิตย์ ก็สนิทกันมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเธอก็ปรับตัวด้วยการเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะถึงอย่างไร การทำงานที่ไม่ใช่ตัวเองก็ไม่สามารถหลอกคนอื่นๆ ได้

สิ่งแรกที่ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองคือเรื่องของวัฒนธรรมการทำงาน ที่บางอย่างเมืองไทยมีไม่เหมือนเกาหลี เธอยกตัวอย่างเรื่องของการทำงานเอาไว้ว่า “ที่เกาหลี เขาบอกว่า วันนี้ไปทำงาน ไม่ต้องกินข้าว จะไม่มีคำถามต่อมาว่า ทำไมถึงไม่ให้เรากิน ทำไมห้ามกินข้าว แล้วปกติคนไทยเราจะต้องมีเหตุผลในการจะทำอะไร หรือห้ามอะไรใช่ม่ะ แล้วหนูเองก็ต้องการเหตุผลต้องมีคำตอบ ทางนั้นคือ แค่บอกว่า ไม่ได้ คือฉันสั่ง แค่นั้น เริ่มปรับตัว โอเค แล้วต้อืแบบนี้นะ ต้องทำตามกฏ ที่เขาวางเอาไว้ให้ กฎเป็นกฎ เวลาเป็นเวลา”

2

การไปทำงานที่เกาหลีนอกจากเรื่องของการปรับตัวทางวัฒนธรรมการทำงาน มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอสามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก ก็คือเรื่องของภาษา จอยบอกว่า เพราะเธอเองมีความฝันและมุ่งมั่นที่จะไปให้ได้ การศึกษาเรื่องภาษา ก็ง่ายมากขึ้น เพราะเธอเป็นคนหนึ่งที่ติดตามซีรีส์เกาหลี หรืออ่านหนังสือ เพื่อเป็นการฝึกภาษาไปด้วยขั้นต้นอยู่บ้าง

“หนูชอบเกาหลีอยู่บ้าง เรียนรู้ด้วยตัวเองมาอยู่แล้ว ดูซีรีส์ อ่านหนังสือ มาก่อนแล้วบ้างค่ะแล้วก็พอไปที่เกาหลี ก็ได้ใช้มากขึ้นก็ซึมซับเข้าไปเองค่ะ ”

ถ้าถามถึงความสามารถอะไรที่ทำให้แมวมองจากเกาหลีมองเห็นในตัวสาวร่างเล็กคนนี้ คงเป็นเพราะอารมณ์และฟิลในการเต้นทำให้เธอดูเป็นสาวสวยเต็มตัว

“หนูเองพูดตามตรงก็ไม่ได้เต้นเก่งหรือร้องเก่งมากมายอะไรค่ะ หนูก็เป็นเด็กธรรมดา ที่ไม่เคยเรียนร้องเพลง เรียนเต้นมาก่อน มาตั้งแต่เด็กเหมือนคนอื่นๆ ไม่เคยเรียน เป็นเด็กเรียนสายวิทย์ บ้าชีวะ วันๆ เข้าห้องแล็บอย่างเดียว วันๆ ฟังเพลงแล้วชอบ ที่เค้าเลือกก็คงที่เราดูมีคาแรกเตอร์ มีฟิลในการเต้นมั้งค่ะ ”

ก่อนไปทำงานที่เกาหลี จอยเองก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวเข้าสูวัยเฟรชชี่ ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาวิทยาศาสตร์ เอกชีววิทยา แล้วจู่ๆ เธอก็คิดว่าตัวเองมีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง แต่คิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งมากมายเพียงแค่อยากทำตามความฝัน จึงตัดสินใจแอดมิชชั่นใหม่ และสอบติดที่คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

“พอสอบติดที่ มศว. ก็บอกแม่ว่าเราอยากเป็นนักร้อง พอสอบติดปุ๊บก็เริ่มทะเลาะกับแม่แล้วล่ะ ว่าหนูไม่เอาแล้ว เพราะตอนที่หนูออดิชั่นเสร็จปุ๊บ ก็สอบติดนะ แล้วคิดว่าเค้าอาจจะติดต่อกลับมามั้ง เราก็มีความหวัง เราก็รอไปแอดมิชชั่นใหม่ แล้วเราคิดว่าจะเต็มที่กับตรงนี้แล้ว พอได้ที่เรียนก็ทำทุกอย่างเอง เรียนเอง เต้นเอง นั่งดูทุกอย่างด้วยตนเอง พ่อแม่เค้าก็ไม่อยากให้เราทำอะไรแบบนี้ เพราะว่าเค้าอยากให้เราเรียน แต่เราเกิดอยากทำงานตรงนี้ไงค่ะ ท่านมีแอนตี้ นิดหน่อย”

กว่าจะอธิบายให้พ่อและแม่เข้าใจถึงความฝันของตนเอง ก็ทำให้เธอได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก ด้วยการตามหาความฝันตัวเองเพื่อจะไปเกาหลี

“คุณพ่อคุณแม่จะเป็นคนที่บอกว่า อยากทำอะไร ก็ต้องมีเหตุผลมาก่อนนะ ต้องมีเหตุผลที่มีน้ำหนัก แล้วอธิบายท่านจะเข้าใจ ตอนแรกท่านก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หนูก็อธิบายให้ทราบว่า มันเป็นความฝันของเรานะ เราก็อยากทำในสิ่งที่เรารัก แล้วเราจะทำได้ดี แล้วหนูคิดว่าอยู่ก็ทำได้ดี แล้วเขาก็เข้าใจค่ะ”

3

เมื่อการไปอยู่ที่ประเทศเกาหลี ทำให้เรียนรู้ถึงความต่างทางวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง และเป็นเรื่องที่แรกๆ เธออาจจะรู้สึกท้อ และกดดันอยู่บ้าง

“รู้สึกท้อบ่อยมากค่ะ เพราะเหมือนเป็นอะไรที่เรื่องวัฒนธรรมต่างกันมาก ถ้าเรื่องภาษาหรือเรื่องอาหาร หนูก็พอจะปรับตัวได้นะคะ แต่มันหนักใจมากกว่าค่ะ เพราะเราไม่ได้ซ้อม หรือทำงานอะไรมากมายแบบนี้มาก่อน แล้วคือจริงๆ อัลบั้มเราก็ควรจะออกมาตจั้งแต่ปีก่อนแล้ว แล้วก็ไม่ได้ออกสักที เพราะเรายังเป็นเด็กฝึกอยู่เลย แต่พอออกอัลบั้มมาแล้วก็ดีใจมากเลยค่ะ ฝึกอยู่ ปีกว่า ตอนแรกก็ไม่ได้แล้วนะ เงินก็ใช้เยอะมากๆ แล้วเราก็ฝึกหนักมาก ไม่รู้ว่าอนาคตอยู่ตรงไหน พอเริ่มร่วมทีม เริ่มมีแพลนออกมาให้เราดูแล้วก็โล่งใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนหลอกนะ เพราะว่าเราก็เคยศึกษาค่ายเพลงนี้มาก่อนแล้วบ้าง เพราะเค้าทำเพลงให้เบบี้วอกซ์ ”

ใน 24 ชั่วโมงของการทำงานหนึ่งวัน ชีวิตของการเป็นเด็กฝึกของเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี เธอต้องฝึกนิสัยตื่นแต่เช้า พอทำธุระส่วนตัวของตนเองเสร็จ ก็เริ่มซ้อมร้องเพลงตั้งแต่สิบโมง ตอนบ่ายเรียนเต้น ต้องออกกำลังกาย หลังจากสองทุ่มก็ต้องเรียนภาษาทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เพราะวงราเนียถือว่าเป็นการรวมหลากหลายสัญชาติเข้ามาเป็นวงเดียวกัน

“เพราะทีมเราเป็นทีมที่มีคนจากหลายประเทศมาอยู่รวมกันค่ะ เรียกว่าถ้าเราไม่แอ็กทีฟ ตัวเอง เราก็สามารถหลุดออกจากทีมไปได้ง่ายๆ เลยค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องแอ็กทีฟ เรียนรู้ตลอดเวลา”
นอกจากงานที่ประเทศเกาหลี หลายคนอาจจะเคยคุ้นหน้าเธอกับการถ่ายโฆษณาเอเวอร์เซ้นส์ร่วมกับวงบิ๊กแบง บอยแบนด์จากประเทศเกาหลี ที่มาถ่ายทำที่เมืองไทย จึงทำให้เธอได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างของการทำงานระหว่างทีมงานไทย และทีมงานเกาหลี ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก

“การทำงานในวงการบันเทิง ก็มีบ้าง ถ่ายโฆษณา กับบิ๊กแบง ประสบการณ์การทำงานระหว่างทีมงานไทยกับเกาหลี ต่างกันค่ะมากด้วย เรียกว่าที่เกาหลี คือเขาค่อนข้างจะฟิต ต้องเป๊ะ ทุกอย่าง ทำงานต้องมีระเบียบ ทำเทกเดียวผ่านได้ยิ่งดี มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากแบบสิ้นเชิง แต่มีอะไรที่ต่างกันนิดนึงค่ะ”

ส่วนมากการทำงานที่ประเทศเกาหลี ทำให้เธอได้รับวัฒนธรรมเกาหลีติดตัวอยู่บ้าง ทว่าการทำงานส่วนใหญ่เธอได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ฝีมือดีจากอเมริกา จึงทำให้การโกอินเตอร์ครั้งนี้มีความเป็นตะวันตกเข้ามาผสมอยู่ด้วย

ลุคของการทำงานแบบเซ็กซี่ที่ได้เห็นในซิงเกิลแรก “Dr. Feel Good” ที่ได้ปล่อยออกมา ยิ่งได้รับการตอบรับจากแฟนคลับเป็นอย่างดี เชื่อว่า เห็นเรื่องราวการโกอินเตอร์ไปเกาหลี ที่หลายๆคนอยากมีความฝันเช่นเธอ จอยฝากบอกว่า อย่าคิดว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีหลายคนบอกกับเธอเช่นกันว่าความฝันเธอไกลเกินจะเอื้อม แต่มาวันนี้ ด้วยความตั้งใจ ฝึกฝนจนทำได้ถึงวันนี้ และยังมีอีกหนึ่งความฝันเธอบอกว่า อยากจะเล่นหนังบู๊แบบจีจ้า ญาณิน ที่ฮอลลีวูดบ้าง ก็ต้องเอาใจช่วยให้ความฝันของเธอก้าวต่อไป...

********************************

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ-นามสกุล : จุฑามาศ วิชัย

ชื่อเล่นและชื่อเรียกบนเวที : จอย

วันเกิด : 27 กรกฎาคม พ.ศ.2533

ส่วนสูง : 165 เซนติเมตร

น้ำหนัก : 45 กิโลกรัม

ภาษาที่สามารถพูดได้ : ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อังกฤษ

ผลงาน

- เข้ารอบ 15 คนสุดท้ายในการออดิชั่นคัดเลือกสมาชิกชาวไทยของวงเบบี้ว็อกซ์ นิว เจเนอเรชั่น
- โฆษณาเอเวอร์เซนส์โคโลญจน์ ร่วมกับ 5 หนุ่มวงบิ๊กแบง
- 1 ใน 7 สมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ปวงราเนีย (Rania)
 
ภาพโดย  พงศ์ศักดิ์  ขวัญเนตร
ข่าวโดย ทีมข่าว Manager Lite/ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์



ลีลาการเต้นในลุคเซกซี่
จอยและเพื่อนๆ วงราเนีย กับการมาเยือนเมืองไทย

กำลังโหลดความคิดเห็น