กว่า 9 แสนคำค้นในเสิร์ชเอนจิ้น กลายเป็นกระแสที่ทำให้รู้ว่าใครๆ ก็อยากรู้จักกับ “อาคีโกะ โอเซกิ” สาวลูกครึ่ง ไทย-ญี่ปุ่นคนนี้ ย้อนกลับไปไม่นานเธอแจ้งเกิดในบทบาทของนักท่องเที่ยวสาวในภาพยนตร์ 5 แพร่ง ในตอน Backpacker และล่าสุดกับงานวีเจน้องใหม่แห่ง MTV แต่ความฮอตไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อเธอตกเป็นข่าวว่าหนุ่มแดนเป็นป๋าดันด้วยการให้มาเป็นนางเอกมิวสิควิดีโอเพลงใหม่ล่าสุด... ไม่ว่าข่าวนี้จะจริงหรือไม่ สาวญี่ปุ่นหัวใจไทยคนนี้ มีคำตอบให้คุณหลงรัก
---------------------------------------
“อาคีโกะ โอเซกิ” สาวหน้าหวาน นัยน์ตาหยีคนนี้ ที่มาพร้อมกับทรงผมหน้าม้าประบ่าสีทองระเรื่อเหลือบน้ำตาล ผิวขาวปนกับรอยยิ้มแสนน่ารัก อย่างที่เธอกำลัง ยิ้มทักทาย M-Lite พร้อมเอ่ยทักทายด้วยสำเนียงไทยปนญี่ปุ่นเล็กน้อย ต้องอยากจะเข้าไปอยู่ในห้องหัวใจทั้งสี่ของเธออย่างแน่นอน...
พลาดงานแรก เพราะเหล็กดัดฟัน
หลายคนคงจำภาพของ นักท่องเที่ยวสาวญี่ปุ่นที่กำลังโบกรถกับชายหนุ่มในภาพยนตร์เรื่อง ห้าแพร่ง ตอน แบ็กแพ็กเกอร์ ได้ กับความน่ารัก และบทบาทที่ได้รับทำให้ใครต่อใครอยากทำความรู้จักกับเธอ
ใช่, อาคีโกะ โอเซกิ ชื่อนี้ใครๆ ก็อยากรู้จักเธอหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ทว่าก้าวแรกที่ทำให้เธอเข้ามาสู่วงการบันเทิงด้วยผลงานโฆษณาโดนัทยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งทำให้เธอได้รับงานเป็นครั้งแรก เธอเล่าว่าตอนนั้นเธอกำลังเดินเล่นอยู่แถวสยาม ก็มีโมเดลลิ่งมาขอเบอร์โทรศัพท์ หลังจากนั้นไม่นาน โมเดลลิ่งจึงชักชวนให้เธอได้เข้าไปแคสต์งานโฆษณาชิ้นแรกแต่ก็ไม่ได้รับคัดเลือก
“’ตอนนั้นที่เข้าไปแคสต์งานครั้งแรกก็จำไม่ได้เหมือนกันนะค่ะว่าเป็นงานอะไร แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราดัดฟันอยู่ มีหลายงานเหมือนกันค่ะที่ไปแคสต์ แต่เขาไม่ได้อยากได้คนที่ใส่เหล็กดัดฟันมาเล่นโฆษณาเขา เราเองก็เลยไม่ได้งานนี้”
หลังจากแคสต์งานกว่าสิบครั้งและพลาดงาน จึงทำให้เธอได้หยุดพักรอจนกว่าจะถอดเหล็กดัดฟัน และงานโฆษณาชิ้นแรกที่ทำให้อาคิโกะก้าวสู่วงการบันเทิงคืองานโฆษณาโดนัทยี่ห้อหนึ่ง
“หลังจากพลาดงานชิ้นแรกก็เลยหยุดไปค่ะ แล้วพอเราถอดเหล็กดัดฟันออกก็ได้เลยค่ะ เป็นโฆษณาที่เค้าต้องการคนญี่ปุ่นมาเล่นด้วย ก็เลยได้งานนี้ค่ะ”
หลังจากภาพยนตร์โฆษณาชิ้นแรกได้ผ่านไป เธอจึงได้มีโอกาสเข้าไปแคสต์ภาพยนตร์หลอนอย่าง ห้าแพร่ง ในตอน Backpacker ด้วยความบังเอิญที่มีชายหนุ่มชักชวนเข้าไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือหวานใจของเธอเอง ความรักจึงก่อตัวขึ้นในงานโฆษณาชิ้นแรก
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้เพราะแฟนเราเป็นคนชวนเข้าไปแคสต์ ตอนนั้นยูกิเขาต้องแคสต์ติ้งเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนที่ไปเขาเองก็ต้องแคสต์งานคู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น แต่ตอนนั้นเธอกลับญี่ปุ่นไปแล้ว ยูกิก็เลยบอกพี่ๆ เขาว่าเขาจะพาเราไปด้วย แล้วทีมงานเองก็กำลังต้องการผู้หญิงญี่ปุ่นอยู่พอดี เราก็โชคดีได้รับบทนั้นไปเลย”
ผลงานที่หลายคนอยากรู้จัก
ผลงานที่ทำให้เธอเป็นที่สนใจมากขึ้นก็คือภาพยนตร์จากเรื่อง ห้าแพร่ง ที่เธอบอกว่าเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทั้งสนุก เหนื่อย และมีความกลัวซ่อนอยู่ภายใน
“ตื่นเต้น ดีใจค่ะ เพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เราไปแคสต์แบบไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน ตามๆ เขาไปพอได้เลือกให้เล่นเรื่องนี้ ก็ได้เข้าเวิร์กชอป เรียนการแสดงบ้างค่ะ เขาก็สอนเหมือนว่าจะให้เรารู้สึกไปตามตัวละครนั้นๆ จริงๆ มีทั้งเกม มีแอ็กติ้งให้ทำ”
จากนั้นก็มีผลงานโฆษณาตามมาเรื่อยๆ ทั้งงานโฆษณารถยนตร์ยี่ห้อหนึ่ง ที่เล่นคู่กับพระเอกมาดเข้มอย่าง ป๋อ ณัฐวุฒิ สะกิดใจ, โฆษณา Mister Donut (Saku Saku), Pizza Company, True Move ล่าสุดกับผลงานนางเอกมิวสิกวิดีโอครั้งแรกกับ เพลง “ทดเวลาบาดเจ็บ” ของหนุ่มแดน วรเวช ดานุวงศ์
“งานเอ็มวีตัวนี้ของพี่แดนเป็นเอ็มวีตัวแรกและต้องเล่นเป็นคนตายอีกแล้วค่ะ แต่ก็สนุกดีนะ แต่พอเราต้องมาเล่นนอนตาย มันต้องใช้เลือด เหนียวตัวมากเลยค่ะ มีฉากซ้อนมอเตอร์ไซค์ด้วย ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ค่ะเพราะว่าเราชิน ตอนเด็กๆไปโรงเรียนก็ต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์แถวบ้านไปโรงเรียนค่ะ”
รักวงการบันเทิง
ในวัยเด็กสาวคนนี้มีความฝันที่วาดเอาไว้หลายอย่าง แต่สิ่งที่ยังคงเป็นความฝันและกำลังจะเดินอยู่นั้นคือ การทำงานในวงการบันเทิงเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้มาตั้งแต่เด็ก
อาคิโกะเข้าสู่วงการบันเทิง เธอบอกว่าการได้ทำงานในวงการบันเทิงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับตัวเธอ และยังรู้สึกสนุกอยู่กับมันได้ตลอดเวลา
“การทำงานวงการบันเทิงมันสนุกและดูท้าทายดี ทำให้เรามีความรับผิดชอบมากขึ้นกว่าเดิม เจอผู้คนหลากหลายแบบ งานแรกที่ได้ทำ เราเองก็ได้เงินมาเป็นน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เป็นเงินก้อนแรกที่เราหามาได้ด้วยตัวเอง ”
“เข้ามาในวงการบันเทิงคุณแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ยังไงก็ต้องให้เรื่องเรียนมาก่อน เพราะคุณแม่เป็นห่วงค่ะ ทำงานได้แต่อย่าเสียการเรียน”
วงการบันเทิงสอนให้เธอมีความรับผิดชอบมากขึ้น ต้องรู้จักแบ่งเวลาให้เป็นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ให้รู้ว่าควรวางตัวยังไงและต้องตรงต่อเวลา
ความต่างของการเรียนนานาชาติ
ส่วนเรื่องของการเรียนช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของอาคีโกะ ที่เธอกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 ของการเรียนในคณะวารสารศาสตร์ ภาคอินเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอมค่ะ บางวิชาที่เป็นวิชาคณะเราไม่เคยเรียนก็ยากมาก เราเองก็ไม่เคยเรียนมาก่อน ต้องใช้เวลาปรับตัวค่ะ”
เพราะเธอเองบอกว่าตั้งแต่เด็ก เรียนโรงเรียนญี่ปุ่นในเมืองไทยมา จากนั้นโตขึ้นมาหน่อยก็เรียนโรงเรียนไทยอินเตอร์ ซึ่งในแต่ละโรงเรียนจะมีเรื่องของวัฒนธรรมเข้ามา
“ตอนเรียนอนุบาลเรียนโรงเรียนญี่ปุ่นค่ะ ที่โรงเรียนก็จะคอยสอนเน้นวิชาภาษาญี่ปุ่นกับภาษาอังกฤษ เวลามีงานเทศกาลของญี่ปุ่นเราก็จะได้เข้าร่วมตลอดและพอถึงเทศกาลลอยกระทง ก็จะมีให้แต่งชุดไทยไปโรงเรียนด้วยค่ะ มีงานกิจกรรม รำบนเวที”
ตอนเด็กๆ เป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่งค่ะ จะไม่เอาเลยถ้าเป็นวิชาคำนวณ เพราะหัวเราไปไม่ค่อยได้ค่ะ มันเข้าใจยาก ชอบเรียนวิชาที่อะไรเป็นศิลปะได้ปฏิบัติมากกว่าท่องจำ
ความแตกต่างที่ทำให้สาวคนนี้มองเห็นระหว่างเรื่องการสอนของโรงเรียนนานาชาติและโรงเรียนไทยมีการสอนที่แตกต่างกันมาก เพราะการสอนในแบบของระบบการเรียนในไทย จะเน้นทางด้านวิชาการมากกว่า และโรงเรียนญี่ปุ่นเองจะสอนพวกกิจกรรม เล่นดนตรี สอนเย็บปักถักร้อย สอนให้เรียนรู้หลายๆ ด้าน
สำหรับระบบของไทยจะเน้นวิชาการมากกว่าอย่างพวกเย็บปักถักร้อยจะไม่ค่อยได้เรียน เท่ากับญี่ปุ่น ส่วนตัวแล้วเธอชอบการเรียนแบบญี่ปุ่นที่เน้นทางด้านกิจกรรมมากกว่า เพราะตนเองไม่ค่อยชอบวิชาการมากนัก
การปรับตัวในแต่ละโรงเรียนที่มีเพื่อนทั้งไทยและต่างชาติ จึงไม่ค่อยเป็นปัญหามากนักสำหรับเธอ เพราะส่วนใหญ่เป็นเพื่อนคนไทยที่เรียนโรงเรียนนานาชาติมากกว่า
“ถ้าจะมีเรื่องของความแตกต่างก็คงเป็นเรื่องของการเลี้ยงดู ซึ่งในแต่ละครอบครัวก็มีการดูแลที่แตกต่างกันไป คนเราถูกเลี้ยงมาไม่เหมือนกัน มาจากต่างที่ บางไลฟ์สไตล์อาจจะต่างกันบ้าง ก็ไม่ยากเพราะเราเป็นคนปรับตัวเข้ากับคนง่ายค่ะ”
คุณแม่สอนแบบไทย
เค้าโครงหน้าเธอถอดแบบสาวญี่ปุ่น แต่สำเนียงภาษาไทยเธอพูดได้คล่องทีเดียวแม้จะติดสำเนียงแบบญี่ปุ่นมาบ้างก็
เพราะเธอเองเกิดเติบโตและถูกเลี้ยงดูในเมืองไทย คุณพ่อชาวญี่ปุ่นซึ่งทำงานทางด้านวิศวกรอยู่ที่เมืองไทย และมาพบรักกับคุณแม่ที่มีเชื้อสายจีนในเมืองไทย อาคิโกะจึงถูกเลี้ยงดูตามแบบวัฒนธรรมไทยมาตั้งแต่ยังเด็ก
“เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น อยู่เมืองไทยตลอดค่ะ ถ้าจะกลับไปญี่ปุ่นบ้านคุณพ่อก็แค่ไปเที่ยว สองปีกลับไปครั้งหนึ่งค่ะ แต่ไม่เคยไปอยู่นานๆ สักที พ่อจะพูดญี่ปุ่นกับเราตลอดค่ะเพราะพ่อไม่เคยพูดภาษาไทยเลย พอคุณแม่พูดไทย เราก็จะปรับตัวยากหน่อย แต่ส่วนใหญ่คุณพ่อไม่ค่อยอยู่บ้านค่ะ จะอยู่กับคุณแม่มากกว่า”
"พออยู่กับคุณแม่ก็จะสอนให้เรารู้จักเคารพผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ ส่วนคุณพ่อเองจะเป็นคนมีระเบียบมาก ต้องสะอาด ต้องเรียบร้อย ห้องนอนห้ามรก หนูเป็นลูกคนเดียวบางทีก็เหงานะค่ะ อยากจะมีพี่ชายแบบคนอื่นๆ เค้าบ้าง เพราะเราอยู่คนเดียวก็ต้องดูแลตัวเอง อยากมีคนมาดูแลเราบ้างค่ะ”
การเลี้ยงดูในแบบญี่ปุ่นและไทยมีความแตกต่างกัน คนไทยจะมีความเข้มงวดมากกว่า คนญี่ปุ่นเองก็จะเลี้ยงลูกแบบปล่อยๆ ถ้ารู้ว่าลูกตัวเองเป็นวัยรุ่นก็จะปล่อยแล้ว เขาจะให้ลูกทำงานพาร์ทไทม์ ให้หาค่าใช้จ่ายไปโรงเรียนเอง แต่คนไทยพ่อแม่จะหาให้ให้ลูกๆ อยู่บ้าน คนญี่ปุ่นจะช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งๆ ที่คนไทยไม่เคยออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกบ้านบ้างเลย
ญี่ปุ่นในมุมมองเธอ
อาคีโกะใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เด็ก นานๆ ทีเธอจะได้กลับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศของคุณพ่อที่เมืองฟูกูโอกะ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น
หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นโดนภัยธรรมชาติสึนามิเข้า คุณพ่อเองก็ยังไม่ได้กลับไปที่ประเทศญี่ปุ่น ในมุมหนึ่งคุณพ่ออาจจะเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศ แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกให้รู้ว่ารู้สึกอย่างไร
“เพราะฟูกูโอะที่คุณพ่ออยู่ ไม่โดนมั้งค่ะ แต่ว่าคุณพ่ออาจจะเสียใจอยู่ลึกๆ แต่ท่านก็คงเก็บอาการ ในมุมหนึ่งท่านก็คงเสียใจแทน หนูเองก็ไม่คิดว่าจะโดนรุนแรงแบบนั้น แล้วช่วงนั้นเองก็เป็นช่วงที่ภัยธรรมชาติเยอะมาก เหมือนโลกคงประกาศว่า เราไม่ไหวแล้วนะ ”
“เห็นได้ชัดระหว่างคนไทยคนญี่ปุ่นนะค่ะว่าเวลาเกิดเรื่องร้ายๆ ก็จะเป็นระเบียบมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ทำตามกฎของเขา ถ้าเป็นที่อื่น คนอาจจะคิดถึงตัวเองก่อน แต่ญี่ปุ่นจะคิดถึงคนส่วนรวมด้วยค่ะ”
นอกจากเรื่องของผู้คนแล้ว เรื่องของสภาพแวดล้อมทั่วไป ถ้าเทียบกันระหว่างเมืองไทยกับญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งต้องยอมรับว่า เรื่องของความสะอาด และวินัยจะมาก่อน
“อย่างคนญี่ปุ่นเป็นคนมีระเบียบมาก ตามท้องถนน จะสะอาด ทุกคนทำตามกฎที่กำหนดให้ ถ้าคนไหนพาสุนัขไปเดินเล่น ก็จะตามเก็บอึของสุนัขตัวเองไปด้วย คนไทยเองก็จะปล่อยทิ้งเอาไว้ เรื่องความสะอาดและระเบียบจะไม่เหมือนกัน ที่ญี่ปุ่นจะไม่มีหมาข้างถนนเลยค่ะ”
อยากเที่ยว “ปาย” สักครั้ง
ในวันว่างของสาวหน้าหวานที่เธอบอกว่า ตัวจริงแล้วก็เป็นสาวลุยได้เหมือนกัน หลายคนอาจจะมองว่าภายนอกของเธอดูเป็นสาวหวาน เรียบร้อย ถ้าใครพบเธอแบบนั้นก็ต้องขอบอกว่า จริงๆ แล้ว เธออาจจะยังไม่สนิทกับคนที่เพิ่งรู้จัก จึงทำให้เกิดอาการเขินๆ ไม่ค่อยพูด
“อยู่กับเพื่อนสนิทจะเป็นอีกคนหนึ่งเลยนะค่ะ เป็นคนพูดมากค่ะ อยู่กับเพื่อนจะเล่นๆ เวลาทำงานก็เป็นตัวของตัวเองค่ะ แต่ก็จะพูดน้อยกว่าเดิม ออกเรียบร้อยหน่อย”
กิจกรรมยามว่างของเธอถ้าไม่ได้ออกบ้านไปไหน ก็เป็นการพักผ่อนจากการทำงาน อยู่กับบ้าน นอนดูทีวี ซึ่งดูแล้วอาจจะเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แต่เธอบอกว่าวัยรุ่นไทยกับวัยรุ่นญี่ปุ่นจะมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน
“เรื่องแรกคือการทำงาน วัยรุ่นญี่ปุ่นจะทำงานพาร์ทไทม์กัน ส่วนคนไทยจะมีน้อยมาก วัยรุ่นญี่ปุ่นไม่ค่อยไปดูหนังในโรงกัน เพราะญี่ปุ่นเองมีสถานที่หลายที่ให้ไปมากกว่าจะไปดูหนัง มีกิจกรรมหลายอย่างให้ทำค่ะ ก็เลยไม่ค่อยไปดูหนังกัน คงเพราะตั๋วมันแพงด้วยมั้งค่ะ
แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นญี่ปุ่นในเมืองไทย เขาก็ดูหนังกันนะค่ะ แต่ก็ไม่เยอะเท่าคนไทยที่ไปดูหนังในโรงกัน กิจกรรมของวัยรุ่นญี่ปุ่นก็จะไปสวนสนุก คงเพราะการคมนาคมของญี่ปุ่นเขาไปได้ทั่วถึง สามารถไปต่างจังหวัดใกล้ๆ ได้รวดเร็ว อยู่กรุงเทพฯ จะไปไหนก็รถติดแล้วค่ะ”
ในเมืองไทยมีหลายสถานที่ที่เธอเคยไปเที่ยวแล้วรู้สึกประทับใจมาก ทั้งเกาะพีพี เชียงใหม่ พัทยา และที่ที่อยากไปมากที่สุดก็คือ เมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
“บางทีก็ไปเที่ยวกับเพื่อนกับครอบครัวบ้าง หนูชอบไปเที่ยวทะเล ภูเขา ธรรมชาติมากๆ ชอบทะเลสวยๆ อย่างเกาะพีพี น้ำสวยมาก มองลงไปเห็นปลา ที่ญี่ปุ่นก็มีทะเลนะค่ะ แต่ก็ไม่สวยเท่าที่ไทยเลยค่ะ น้ำไม่ได้ใสเหมือนที่นี่
ตอนนี้อยากไปเที่ยวปายมากเลยค่ะ ยังไม่เคยไป ฟังเขาเล่ากันมาแล้วดูโรแมนติกจังค่ะ แล้วที่เชียงดาวที่เคยไปกับโรงเรียนก็สวยค่ะ ตอนกลางคืนเห็นดาวเต็มเลย”
หนุ่มญี่ปุ่นครองใจ
ถามถึงหัวใจสาวคนนี้ ถึงออกตัวมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า ที่เธอได้เล่นภาพยนตร์เรื่อง ห้าแพร่ง เพราะแฟนของเธอเป็นคนชักชวนให้เข้าไปลองแคสต์ แล้วก็ได้รับบทเป็นนักท่องเที่ยวทันที
หนุ่มผู้โชคดีคนนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็นชายหนุ่มที่เล่นคู่กับเธอในภาพยนตร์เรื่องห้าแพร่ง “ยูกิ ทานากะ” หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นที่กุมหัวใจเธอมากว่า 2 ปีแล้ว
“เราเจอกันตอนแล่นโฆษณาชิ้นแรกค่ะ มาถ่ายงานด้วยกัน พอถ่ายงานเสร็จ ยูกิเขาก็ขอเบอร์ไป ถ้าถามว่าญี่ปุ่นเขาจีบกันยังไง เราเองก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจีบกันยังไง แต่สำหรับหนู ช่วงแรกๆ ก็เมสเสจคุยกันก่อน จากนั้นถึงจะเริ่มโทรหากันค่ะ”
“เดตแรกที่ไปด้วยกัน ก่อนที่จะตกลงว่าเป็นแฟนกัน เราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่ไปดูหนัง จำได้เลยค่ะว่าไปดูเรื่อง โปรแกรมหน้าฯ น่ากลัวมาก เป็นคนชอบดูหนังแนวแบบนี้อยู่แล้วค่ะ แล้วก็สืบสวนสอบสวน”
ช่วงนี้ความรักยังคงเป็นไปได้อย่างดี ยูกิเองมีอายุห่างจากเธอกว่า 6 ปี ความแตกต่างระหว่างอายุ ไม่ใช่อุปสรรคในเรื่องของความเข้าใจซึ่งกันและกัน
“เหมือนพี่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ สามารถให้คำปรึกษาเราได้ เราก็เข้าใจกันนะค่ะ บางทีพี่เขาก็มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวด้วย พอจะเป็นผู้ใหญ่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มาก เวลาเจอเพื่อนๆ ก็ไม่ได้ซีเรียสมาก มีความเป็นกันเองค่ะ ชอบตรงที่พี่เขาเป็นคนเทกแคร์ ดูแลเอาใจใส่เราดี เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนแบบนี้”
ตอนนี้ยูกิเองก็ใกล้จะเรียนจบ อาจจะยุ่งกับการเรียน และช่วงนี้เธอเองก็อยู่ในช่วงปิดเทอมที่ทุ่มเทให้แก่งานอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรทั้งสองก็ยังคงมีเวลาเติมเต็มความให้กันได้ตลอดเวลา
“ถ้าจะเจอกันก็เป็นเสาร์ อาทิตย์ค่ะ ถ้าวันธรรมดาก็แค่ไปกินข้าวแล้วก็กลับบ้าน วันไหนที่หนูมีงานพี่เขาก็จะตามไปค่ะ”
เมื่อถามถึงหนุ่มไทยในสายตาสาวลูกครึ่งอย่างเธอบ้าง เธอบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วแตกต่างกับหนุ่มญี่ปุ่นยังไง เพราะช่วงที่มีหนุ่มไทยมาจีบก็เพียงแค่คุยๆ เป็นเพื่อนกัน ไม่ได้ตัดสินใจเป็นแฟน
“การเรียกว่าแฟนนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินใจเป็นแฟนกันตอนไหน ส่วนใหญ่หนูว่าก็แล้วแต่คนนะ บางคนอาจจะนานหน่อยกว่าจะเรียกว่าเป็นแฟนกัน หรือบางคนอาจจะแค่คุยแป๊บๆ ก็รู้สึกว่าคนนี้ไม่ใช่เลย เวลาในการตัดสินใจไม่เหมือนกันค่ะก็แล้วแต่คนมากกว่าค่ะ”
“วีเจ” งานใหม่ที่ท้าทาย
ช่วงนี้ถ้าหากใครอยากติดตามผลงานของสาวสวย อาคีโกะ โอเซกิ คนนี้ ตอนนี้เธอรับหน้าที่เป็นวีเจหน้าใหม่ ของทาง MTV ซึ่งจะเริ่มออกอากาศไปแล้วในวันที่ 6 กรกฎาคม นี้ ถือว่าเป็นงานใหม่ที่เธอเองต้องใช้ความพยายามและฝึกฝนอย่างหนัก
“’รายการนี้เป็นรายการสดค่ะ เพิ่งไปแคสต์งานแล้วได้มาค่ะเป็นรายการที่ถ่ายทำในสตูดิโอ ตื่นเต้นมากๆ เพราะต้องจัดรายการสดทุกวัน แล้วมันต้องใช้ไหวพริบในการทำงานค่ะ บางครั้งนึกคำที่ต้องใช้ไม่ทันค่ะ เพราะตื่นเต้นด้วย มีแอบเครียดนิดนึงแต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ค่ะ”
“ในแต่ละวันจะมีหัวข้อให้พูดคุยไม่เหมือนกันค่ะ เป็นรายการที่ให้วัยรุ่นออกมาแสดงความคิดเห็นในแต่ละหัวข้อของวัน มาแชร์ประสบการณ์เรื่องเพลงกัน และก็ยังมีช่วงที่ให้คำปรึกษาด้วยค่ะ อยากให้เราทำอะไรก็ทำให้ค่ะ เป็นประสบการณ์ครั้งใหม่จริงๆ”
“การทำงานในวงการบันเทิง ถ้ายังมีงานให้ทำอยู่เรื่อยๆ ก็ยังคงอยู่ทางนี้ค่ะ แต่ถ้าไม่มีงานก็คงต้องไปทำงานเบื้องหลัง เพราะหนูชอบงานวงการบันเทิงค่ะ อยากจะทำอะไรเราก็ควรจะทำให้เต็มที่ไปเลย ทำให้เต็มความสามารถของตัวเอง แล้วจะไม่ต้องมาเสียใจว่าตัวเองยังไม่ได้ทำค่ะ ถ้าทำไม่เต็มทีแล้วมันจะรู้สึกหงุดหงิด”
ได้รู้จักกับสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นไปแล้ว ก็อย่าลืมติดตามผลงานและเป็นกำลังใจให้ด้วยล่ะ
***************************************
ประวัติส่วนตัว
ชื่อจริง - อาคีโกะ โอเซกิ
วัน / เดือน / ปี เกิด - 8 สิงหาคม พ.ศ. 2534
ส่วนสูง - 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก - 42 กิโลกรัม
การศึกษา - New International School of Thailand (Years 13)
ดนตรีที่ชอบ - Pop, Hip Hop
ภาพยนตร์ที่ชอบ - ห้าแพร่ง, ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น, แฟนฉัน, A Cinderella Story, Enchanted
กีฬาที่ชอบ - เต้น Girls Hip Hop
งานอดิเรก - เต้น, ฟังเพลง, ดูหนัง, ร้องคาราโอเกะ, ถ่ายรูป, ชอปปิ้ง
สถานที่ท่องเที่ยว - โตเกียวกับฟูกุโอกะ
ดอกไม้ที่ชอบ - ดอกลิลลี กับดอกกุหลาบ
ผลงานที่ผ่านมา - โฆษณา Mister Donut (Saku Saku), Pizza Company, True Move, ภาพยนตร์เรื่องห้าแพร่ง
ผู้ชายในฝัน - น่ารัก, มีความเป็นผู้นำ(โตกว่านิดหน่อย), ไม่โกหก, จริงใจ และดูแลเอาใจใส่ดี
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
ข่าวโดย Manager Lite /ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ขอบคุณร้าน Vanilla Garden เอกมัย ซอย 12 เอื้อเฟื้อสถานที่
ขอบคุณภาพประกอบจาก fanpage Akiko Ozeki