xs
xsm
sm
md
lg

สาวซ่า...น่าปิ๊ง “วนิดา โกลเทน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
หลายคนอาจจะคุ้นหน้าดีเจสาวหน้าสวยลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ “นิดา-วนิดา โกลเทน” จากบทบาท “จินตะหรา” เมียรักของเจ้าชายอิเหนา (สเตฟาน) ในละคร “สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา” ซึ่งเธอกำลังเป็นนางเอกน้องใหม่ของค่ายกันตนา คาแร็กเตอร์เจ้าหญิงแสนอ่อนหวาน เจ้าน้ำตาในละครอาจจะยังไม่ทำให้เธอฮอตหรือดังเปรี้ยงปร้างเท่ากับในชีวิตจริงเธอดูจะเป็นสาวฮอตซะมากกว่า และมีไลฟ์สไตล์น่าสนใจ เธอเป็นดีเจสุดชิคแห่งคลื่น Pynk 98 FM. หรือปิ๊งค์เรดิโอ คลื่นวิทยุที่ว่ากันว่าคัดแต่ดีเจสวยๆ หน้าตาอินเทรนด์ เธอเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวแม่ เสื้อ ผ้า หน้าผมต้องเป๊ะตลอด แต่กลับชอบเล่นกีฬามันๆ แบบผู้ชาย อย่างเวคบอร์ด มวยไทย โกคาร์ท ฯลฯ เกริ่นมาขนาดนี้แล้วคงเริ่มอยากทำความรู้จักกับเธอกันแล้วล่ะสิ

วันที่เรานัดคุยกับดีเจสาว เธอไม่ได้แต่งตัวแบบจัดเต็มเช่นทุกครั้ง เธอแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ มองแล้วสบายตาด้วยเมกอัพบางเบา ปล่อยผมยาวสยาย สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยีนส์สกินนีรัดรูปโชว์ช่วงขาเรียวสวย เพียงเท่านี้เธอก็ดูเป็นสาวเท่ สไตล์เก๋ ยิ่งพอถึงเวลาถ่ายภาพ เธอสวมวิญญาณนางแบบ โพสท่าน่ารักๆ อย่างกระตือรือร้น ด้วยบุคลิกที่แตกต่าง แววตาขี้เล่นซุกซน ทำให้เธอมีเสน่ห์ชวนมอง และน่าค้นหา เมื่อเอ่ยถามถึงผลงานที่ทำอยู่ในขณะนี้ เธอยิ้มกว้างพลางเล่าให้ฟังว่าเธอหลงรักงานในวงการบันเทิง ชอบการแสดง ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก และรอโอกาสมาตลอด เมื่อมีโอกาสได้เข้ามาสู่โลกในฝันที่เธอรัก เธอยิ่งมีความสุข และใช้ชีวิตทุกวันทำในสิ่งที่ตนเองรักอย่างจริงใจ

สองวัฒนธรรม นอร์เวย์ - อีสาน
การเลี้ยงดูจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่าง ของการเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ อาจจะเป็นส่วนที่ทำให้ตัวนิดามีบุคลิกที่แตกต่างจากคนอื่น เรียกว่ามีอะไรหลายๆ อย่างรวมอยู่ในตัวเธอ ทั้งความมั่นใจ กล้าคิด กล้าทำแบบฝรั่ง บางมุมก็มีความสบายๆ แบบไทยๆ เธอฟังภาษาอีสานได้ดี เพราะคุณแม่ปลูกฝังให้ฟังภาษาบ้านเกิดมาตั้งแต่เด็ก แต่แอบบอกว่าได้ฟังบ่อยกว่าได้พูด ก็เลยเว้าได้แค่นิดหน่อย

นิดาเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ พ่อเป็นชาวนอร์เวย์ ทำงานเป็นวิศวกร อยู่บริษัทที่กรุงเทพฯ แม่เป็นคนไทย ตอนนี้ทำรีสอร์ตที่อุดรฯ ก็เลยต้องอยู่ที่นั่นตลอด ช่วงนี้นิดาทำงานด้วยก็เลยแยกออกมาอยู่คอนโดฯคนเดียว เวลาคุยกับแม่เขาจะชอบพูดอีสาน บางทีนิดาก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง แม่ก็บอกว่าพูดบ่อยๆ ไงจะได้ฟังรู้เรื่อง เป็นภาษาแม่ นิดาก็เลยตั้งใจฟังหน่อย ก็เลยฟังภาษาอีสานรู้เรื่อง ใครเมาท์อะไร เรารู้เรื่องหมด แต่เว้าไม่ค่อยได้ เวลาไปงานอะไรที่อุดรฯ ได้ยินคนเมาท์นิดาแหลก เราก็แบบฉันฟังรู้เรื่องนะ พูดอะไรกัน จริงๆ นิดาเกิดและโตที่กรุงเทพฯค่ะ แต่ก็ไปอุดรฯ ปีละครั้ง สองครั้ง ก็มีซึมซับความเป็นอีสานมา อย่างท่านั่ง ยกเข่าขึ้นมา ท่าสบายๆ อาหารอีสานกินได้หมด ชอบกินส้มตำ ปลาร้า ชอบซุปหน่อไม้

ส่วนพ่อก็จะเลี้ยงดูแบบฝรั่งค่ะ ให้อิสระในการคิด การเลือกเส้นทางในการใช้ชีวิต ตอนเด็กพ่อจะเรียกชื่อเล่นนิดาเป็นภาษานอร์เวย์ว่า pistrete” แปลว่าตัวเล็ก เพราะตอนเด็กนิดาตัวเล็กมาก ตอนนี้เขาก็ยังเรียกชื่อนี้อยู่ เขายังเห็นเราเป็นเด็กตัวเล็ก น่าเอ็นดู”

ดันตัวเองเข้าวงการ
สาวสวยเล่าย้อนถึงจินตนาการวัยเด็กตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ให้ฟังว่า ชอบแสดง ชอบร้องเพลง ถึงขนาดทำเวที เปิดคาราโอเกะร้องเพลงเอง ฝันว่าอยากเป็นดารา อยากเป็นนักร้อง พอโตขึ้นมามีคนชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิง เธอตื่นเต้นมาก แต่ก็แอบน้อยใจด้วย เพราะคนคนนั้นไม่ใช่เธอ กลับเป็นน้องชายที่ชื่อวิลเลียม แต่ถึงโอกาสไม่ได้โดนเธอตรงๆ แต่ก็เข้ามาใกล้ขนาดนี้แล้ว เธอไม่ปล่อยให้ความฝันหลุดลอยไป พอสบโอกาสสาวน้อยวัย 16 ก็แอบขอร้องคุณอาให้ช่วยพูดให้เธอได้ลองถ่ายแบบดูบ้าง และเป็นจุดเปลี่ยนให้เธอเดินหน้าเข้าสู่วงการฯ เริ่มจากงานถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ และได้เป็นนักแสดง ได้ร้องเพลง อย่างที่เธอเคยฝันไว้

ตอนเด็กชอบแสดงมาก ชอบแต่งตัว เวลาอยู่บ้านก็ แสดงอยู่คนเดียว แต่ไม่เคยคิดว่าฉันจะเป็นดาราอะไรอย่างนี้ ไม่เคย แต่พอโตขึ้นเราได้รับโอกาส แค่ไปแคสติ้งโฆษณาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก มันเหมือนเรามีสิทธิ์ที่จะได้ไปอยู่ตรงนั้นได้

นิดาเข้าวงการจากโมเดลลิ่งของพี่โก้ (นิรุณ ลิ้มสมวงศ์) แต่ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจเราเลย เขาไปเจอน้องชาย (วิลเลียม-วันชัย โกลเทน) ที่ BTS พี่โก้เขาชอบ น้องชายหล่อ เขาก็โทร.ชวนวิลเลียมให้มาถ่ายรูปหน่อย จะเก็บไว้ส่งงานแคสติ้ง ตอนนั้นเราก็ไปเป็นเพื่อนน้องตลอด มีอาขับรถให้ พอไปถึงก็แอบคิดน้อยใจว่าทำไมไม่สนใจเราเลย ทำไมไม่ใช่เรา วิลเลียมก็ถ่ายรูปไป พอถ่ายเสร็จ เราก็แอบบอกอาให้ช่วยหน่อย อาก็เลยช่วยพูดให้ว่าไม่ถ่ายรูปน้องผู้หญิงไว้บ้างเหรอ เผื่อเอาไว้ พี่โก้เขาก็เลยโอเค ถ่ายก็ได้ เราก็ยิ้มเลย ปรากฏว่าน้องชายหาย เราได้ขึ้นแทน คือน้องชายไม่ค่อยสนใจงานในวงการเท่าไหร่ แต่เราชอบมาก พอเขาเรียกไปแคส เราไปลุยทุกงานเลย เพราะว่าเราอยากทำงานนี้จริงๆ ตั้งใจมาก พยายามเต็มที่

ถึงวันนี้เรียกว่าฝันของเธอได้เป็นความจริง ได้ถ่ายละคร ได้เซ็นสัญญากับค่ายกันตนา และได้ทำงานดีเจ ซึ่งเธอบอกว่าเป็นงานที่ชอบมาก และอยากทำให้ดีทั้งสองอย่าง

ก่อนหน้านี้นิดาเป็นเด็กโมเดลลิงอยู่แล้วปกติ ทำงานมาเรื่อยๆ ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบ เล่นเอ็มวี แล้วพอมาเจอพี่ช่างแต่งหน้าที่เคยร่วมงาน เขาก็ทักว่าเราสวยขึ้น แล้วเขาเป็นเพื่อนกับพี่ตุ๊กตา (จิตรลดา กัลย์จาฤก) ไงค่ะ เขาก็บอกว่าพี่ตุ๊กตาหานางเอกใหม่อยู่เราสนใจไหม เราก็บอกว่าอยากเล่นละคร ก็เลยไปแคสติ้งดู แล้วก็ได้เล่นละครเรื่องแรก “สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา” รู้เลยว่าต้องมีผิดเยอะแน่นอน แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ก็แอบกลัวว่าคนดูจะชอบเราไหม แต่ก็คิดว่าแอบมีหละ คนที่ไม่ชอบเรา เพราะเรื่องแรกไง เราไม่รู้ว่าแสดงออกมาแล้วคนจะอินหรือเปล่า เพราะเราเป็นลูกครึ่งด้วยไง สไตล์อาจจะออกฝรั่งหน่อย คนไทยอาจจะคิดว่าอะไรอ่ะ ไม่เก็ต

เรื่องแรกเล่นเป็นจินตะหรา เรียบร้อย อินโนเซ้นต์มาก อันนี้ก็เป็นคาแร็กเตอร์หนึ่ง คือตัวจริงเราเป็นคนนิ่งอยู่แล้ว แต่ในบทต้องนิ่งให้มีแอ็กชัน เวลาเราแสดงละคร เราเล่นเป็นธรรมชาติไง เป็นคนยังไงก็เล่นมาอย่างนั้น แต่พอเวลาคนดู จอมันเล็ก อาจจะไม่เข้าใจ ทำไมหน้าตาออกไม่หมด เวลาคนโกรธแค่นิดหนึ่งก็จะมีเซนส์รู้ได้แล้ว แต่พออยู่ในทีวีเวลาโกรธมันต้องโกรธชัดๆ อย่างนี้นิดาทำไม่เป็น (หัวเราะ) ก็ต้องมาติว หน้าโกรธเบาๆ กับโกรธหน้านิ่งๆ มันต่างกัน ก็จะคอยถามพี่ๆ ว่าหน้าเราได้หรือยัง

ตอนนี้เซ็นสัญญากับกันตนาแล้ว บทบาทจะให้เป็นนางเอกหรือนางร้ายเรื่องต่อไป เราก็ไม่รู้ แต่แล้วแต่เขาจะให้เลย เราไม่ซีเรียสให้เล่นเป็นอะไรก็ได้ แต่อยากได้บทที่ได้เล่นเยอะๆ เพราะอยากไปทำงานทุกวัน”

ตัวตนคืองานดีเจ
ด้วยลุคสาวเก๋ เปรี้ยว ซ่า ทันสมัยทำให้ถูกชักชวนให้มาลองแคสติ้งงานดีเจ ที่คลื่นปิ๊งค์ 98 FM. พีดีเรดิโอ ซึ่งเรียกว่าเป็นคลื่นที่รวมแต่สาวน่ารักๆ พอได้เข้ามาชิมลางงานดีเจเท่านั้นแหละ ถึงกับออกปากว่าหลงรักงานนี้เข้าซะแล้ว เพราะได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้ชัดที่สุด ไม่มีกล้อง ไม่ต้องเขิน และคนฟังก็รักเธอแบบที่เป็นตัวตนของเธอจริงๆ ซึ่งต่างจากงานแสดงที่มีกล้องรายล้อม และคนดูตัดสินเธอจากบทบาทที่แสดง

งานหลักๆ ตอนนี้ก็จะมีจัดรายการวิทยุ เป็นดีเจที่คลื่นปิ๊งค์ 98 FM. รูปแบบรายการจะเน้นคุยโทรศัพท์กับเพื่อน เอาสนุก ประมาณว่าโทรไปหาเพื่อน ทำเสียงตื่นเต้น วันนี้มีอะไรจะเล่าหละ วันนี้มีเรื่องนี้เกิดขึ้น มีงานอีเวนท์อย่างนี้ๆ เพื่อนก็จะตอบว่าจริงเหรอ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ ประมาณนั้น ก็จะจัดรายการแบบคุยกับเพื่อน กันเองๆ ชิลๆ จัดรายการทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ 11 โมงเช้าถึงเที่ยงตรง และวันอาทิตย์ 2 ทุ่มครึ่งถึง 5 ทุ่ม

เพิ่งเป็นดีเจมาได้ประมาณ 4-5 เดือนค่ะ พอโมเดลลิงมาบอกให้แคสงานดีเจ เราก็คิดว่ามันน่าลองนะ มันเป็นงานใหม่ก็อยากทำให้ดีที่สุด มีอะไรก็ปล่อยออกมาหมดเลย ตอนแรกคัดออกก่อนเหลือ 30 คน แล้วก็น้อยลงมาเรื่อยๆ จนเราต้องถามว่านี่เรายังได้อยู่หรือเปล่าเนี่ย เขาก็บอกว่าเราได้แล้วหละ เราก็แฮปปี้มาก อยากทำงานนี้

แรกๆ เรายังพูดไม่ชัดเลย ถือว่าโชคดีที่ได้มาเป็นดีเจก่อนที่จะเล่นละคร เพราะการเป็นดีเจ ก่อนอื่นเลยเราพูดอะไรไปคนฟังต้องรู้เรื่อง เราพูดไม่ชัดก็ต้องทำการบ้าน นั่งอ่านจริงจัง ได้ซ้อมสัก 3 เดือน การพูดก็ดีขึ้น ภาษาไทยก็ดี พอไปเล่นละครมันก็โอเค คือเราเป็นคนพูดแล้วงง ภาษาไทย-อังกฤษจะสลับกัน เรียงคำไม่ค่อยถูก อย่างภาษาอังกฤษ you go to /what where when คนไทยพูด “คุณจะไปไหน” มันฟังแล้วพริ้วไง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษมันจะเรียงไม่ถูก อย่างเนี้ยเป็นปัญหาหนึ่ง”

กลายเป็นว่าคาแร็กเตอร์แบบพูดไม่ชัด พูดผิดๆ ถูกๆ ทำให้คนฟังก็จะคอยส่งข้อความมาแซวเวลาเธอพูดผิด กลายเป็นเสน่ห์ และเป็นเอกลักษณ์ในการจัดรายการของเธอ

สไตล์ของเราก็จะโก๊ะๆ เปิ่นๆ เวลาคนฟังจะคิดว่าดีเจคนนี้แปลก พูดผิดบ้าง อะไรบ้าง ภาษาไทยไม่แข็งแรง คนฟังก็จะงงว่าเราพูดอะไร แต่แทนที่จะน่ารำคาญก็กลายเป็นว่าคนฟังขำ เวลาที่เราพูดผิด เหมือนคนฟังก็จะเริ่มจับผิดว่าวันนี้จะพูดอะไรผิดอีก แล้วก็มีส่งข้อความมาแซวใน twitter ว่าวันนี้จัดรายการตลก วันนี้พูดเร็วมากเลย เราก็ อุ๊ย! จริงเหรอ ขอโทษ เขาก็บอกไม่เป็นไร ดีแล้ว ตลกดี เราจะอ่านข้อความใน twitter ตลอด วันหนึ่งเราทำอะไรจะทวิตบอกหมดเลย คนที่เขาเป็นแฟนคลับเราก็คงอยากรู้ว่าเราทำอะไร เพราะเราไม่มีเวลาไปเจอเขาบ่อยๆ ก็ใช้วิธีทวิต

จะมีแฟนคลับ 3-4 คนที่ทุกๆ เช้าจะส่งข้อความมา Good morning นะคะ วันนี้เดินทางมาจัดรายการปลอดภัยนะคะ รอฟังอยู่ โอโห! เราก็รีบแต่งตัวแล้ว ไปทำงานดีกว่า (ยิ้มหวาน) พอจัดรายการเสร็จ ก็ส่งข้อความอย่าลืมทานข้าวนะคะ Good afternoon อย่างเนี้ย นอนหลับฝันดีนะ ทุกวันหนะ เรามีแฟนคลับแค่คนเดียว เราก็อยากไปทำงานแล้ว แค่คนเดียวชอบเรา เราก็อยากทำเต็มที่ ไม่ต้องเป็นร้อย เป็นพันก็ได้ แต่ถ้ามีแฟนคลับเยอะ เราอาจจะแอบกลัวว่า เราอาจจะดูแลไม่ทั่วถึง

ใจชอบทำงานในวงการฯทุกอย่างเลย แต่เน้นทีละอย่าง อย่างตอนนี้แฮปปี้กับงานจัดรายการวิทยุ และงานแสดง แต่เราก็ยังไม่โปรทั้งสองอย่าง ให้เวลากับการทำสองอย่างนี้ พัฒนาสองอย่างนี้ แต่งานดีเจมันเน้นเป็นตัวเรา งานละครเราต้องเป็นคนอื่น แต่เราก็ชอบ”

นอกจากงานแสดง และงานดีเจแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เธอชอบมาก นั่นคือการร้องเพลง ถึงจะยังไม่ได้ออกอัลบั้มเต็ม แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ หรือขณะขับรถ เธอก็จะฝึกซ้อมเสียงตลอด ตอนนี้เธอมีผลงานเพลง เป็นฟีตเจอร์ริงอัลบั้มพิเศษ “รวมมิตรโปรเจ็กต์” โดยมี 4 หนุ่ม "วงพริ้ว” และเธอเป็นหนึ่งใน 4 สาว “วงพริ้ง” มีซิงเกิ้ลออกมาชื่อเพลงมนต์รักนักร้อง

งานเพลง เขาให้เราไปออดิชัน เราก็อยากอีก อยากได้หมด อยากทำทุกอย่าง (หัวเราะ) โอกาสมาไงคะ เราก็ไป และอยากทำให้ดีที่สุด เราก็ร้องเพลงได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ดีแบบ เจนนิเฟอร์ คิ้ม แต่ถ้าเราฝึกร้องจริงๆ ต้องไปถึงแบบ รีฮันนาห์ ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งจะเป็นอย่างนั้นให้ได้

ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก อยู่บ้านทำเวที แล้วก็มีไมค์อันหนึ่ง ทำเองเลย เปิดคาราโอเกะเองด้วย แล้วบังคับให้พ่อแม่นั่งดูด้วย (หัวเราะ) เคยเรียนร้องเพลงไปคอร์สหนึ่ง แต่รู้สึกไม่ค่อยชอบ เพราะบางที่เขาสอนให้เราร้องแค่ให้ตรงโทนเสียง เขาไม่ได้สอนให้ใช้พลังยังไงจริงๆ เหมือนที่ฝรั่งเขาร้อง อันนั้นมันคือใช้พลังจริงๆ แต่ที่เคยเรียน เขาสอนให้ร้องให้ตรงกับที่เขาเปิดมาเฉยๆ ก็เลยไม่เรียน
ทุกวันนี้นิดาก็ยังชอบร้องเพลงอยู่ เวลาขับรถ ใครขับผ่านจะเห็นเลยว่าเราหลุดมาก อิน อยู่ในรถ เวลาอยู่ในรถจะเปิดวิทยุฟังเพลง พอเพลงเร็วเราจัดเต็มเลย อิน ซ้อมเสียงไปด้วย”

จากเด็กถูกแกล้งสู่นักกีฬาของโรงเรียน
เห็นเป็นสาวสวยมั่น ลุยๆ แบบนี้ ใครจะรู้ว่าตอนเด็กเธอเป็นเด็กที่ถูกแกล้งมาตลอด ถึงขนาดต้องย้ายโรงเรียนมาแล้วทำให้เธอเป็นเด็กจิตตก ไม่มีความมั่นใจมาตลอด กว่าจะปรับตัวได้ก็ปาเข้าไปประถมปลายแล้ว แต่หลังจากปรับตัวได้ เธอก็ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจขึ้น กล้าแสดงออก มีเพื่อนมากขึ้น แถมยังได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน

ตอนเด็กมีปมด้อยมาก ตอนแรกเรียนโรงเรียนไทย แล้วเพื่อนเป็นคนไทยหมดเลย เราเป็นลูกครึ่งคนเดียวในห้อง โดนแกล้งตลอด แล้วเราเป็นเด็กไม่ค่อยชอบเรียน ชอบทำกิจกรรม ก็โดนหาว่าไม่ฉลาด โง่ อะไรอย่างเนี้ย เราก็ดาวน์ตั้งแต่เด็กแล้ว อนุบาลถึงป. 2 เหมือนเราทำอะไรที่ครูให้ทำไม่ได้ ครูก็ตี กลับบ้านมาร้องไห้ พ่อถามว่าเป็นอะไร เราก็บอกว่าครูตี จริงๆ เราโดนครูตีบ่อยแล้ว แต่วันนั้นทนไม่ไหว เสียใจ ก็เลยบอกพ่อว่าครูตี พ่อก็เลยเขาตีเหรอ เป็นฝรั่ง มาแตะลูกเขาไม่ได้ เขาก็เลยให้ออกเลย

หลังจากนั้นก็เลยมาเข้าโรงเรียนนานาชาติ แต่ขอบอกว่าปีแรกนิดาแย่มาก พูดได้แค่ yes/no สองคำ hello ตอนแรกจิตตก พูดกับใครก็ไม่รู้เรื่อง เรียนแบบงงๆ มาตลอด พอมา ป. 5 เริ่มรู้เรื่องแล้ว ก็เริ่มสบาย เริ่มปรับตัวเอง”

ด้วยวัยที่ไม่ห่างกันมากนักระหว่างเธอและน้องชาย ทำให้ถูกเลี้ยงดูมาแบบเด็กผู้ชายทั้งคู่ ถูกจับแต่งตัวแบบผู้ชาย ฝึกให้เล่นกีฬาหลายอย่าง ตอนเด็กคุณพ่อยังเคยหวังให้เธอเป็นนักมวย ถึงขนาดให้เธอไปฝึกซ้อม กิน นอนอยู่ที่ค่ายหลายวัน

ตอนเด็กนิดากับน้องจะเหมือนเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ เสื้อผ้าก็แต่งแบบผู้ชาย แต่งแบบคนเล่นกีฬา เคยเรียนมวยไทย อยู่ที่นั่นเลย 10 วัน กินนอนซ้อม พ่อจะให้เป็นนักมวยให้ได้ เราก็ไม่เอา บอกพ่อว่าเดี๋ยวเล่นละครไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่เข้าวงการฯ เลยนะ ก็เลยกลายเป็นว่าเราได้เล่นแต่กีฬาแบบผู้ชายๆ ชอบเล่นโกคาร์ต มวยไทย เวกบอร์ด ไอซ์-ฮอกกี้ วอลเลย์บอล ฟุตบอล นักว่ายน้ำ แต่หลังๆ ไม่ค่อยได้ไป เพราะกิจกรรมที่เราทำส่วนใหญ่ผู้หญิงไม่ค่อยทำกัน เลยหาเพื่อนไปยาก เพื่อนจะไปได้ก็มีแต่ผู้ชาย กีฬาที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นเวคบอร์ด มีบอร์ดของตัวเอง เล่นแถวลำลูกกา บึงไทยเวคปาร์ค แล้วก็วอลเลย์บอล อยากเล่นมาก แต่ไม่มีทีม”

ฉายาดีเจสวยเป๊ะ
ที่มาของฉายาดีเจสวยเป๊ะแห่งคลื่นปิ๊งค์ ได้มาจากบุคลิกน่ารักๆ อย่างการชอบโพสท่านางแบบ บวกกับเรียนแฟชั่นดีไซน์ ทำให้สไตล์การแต่งตัวเสื้อผ้า หน้าผมดูดีตลอด แต่เห็นภายนอกดูเป็นสาวมั่นขนาดนี้ ถ้าไม่รู้จักคงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นสาวโก๊ะ ขี้ลืมถึงขนาดลืมวางโทรศัพท์มือถือไว้บนหลังคารถ หายไปแล้วสองเครื่อง

จริงๆ เราเป็นคนโก๊ะนะ แต่ชอบแต่งตัวเป๊ะ ไปไหนใครก็บอกว่าเราโก๊ะ ครั้งสุดท้ายที่ทำโทรศัพท์มือถือหาย เพราะรีบมาก ของในรถเยอะ ก็รีบจัดๆ ของ แล้วก็วางมือถือไว้บนหลังคารถ เก็บของในรถเสร็จ ออกรถเลย ไม่ใช่เครื่องเดียวนะ สองเครื่อง (หัวเราะ) ไอโฟนไปแล้ว บีบีไปแล้ว บางทีลืมที่ชาร์ตอยู่หลังรถมีคนบีบแตร เราก็รีบออกมาเอา

นิดามองว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยสวย ก็เลยต้องดูแลตัวเองตลอด ถ้าไม่ดูแลตัวเองก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครอยากได้ดอกไม้ที่ดูเหี่ยวเฉา มีแต่คนต้องการดอกไม้ที่สวยที่สุด เราก็พยายาม ถึงรู้ว่าอาจจะไม่ได้สวยที่สุด แต่ก็เชื่อว่าต้องมีคนชอบเรานะ เห็นว่าดอกนี้สวยดี อะไรอย่างเนี้ย

เวลาอยู่กับเพื่อนก็จัดเต็ม เมาท์ แต่บางทีเวลาคนโกรธกัน เราจะนิ่งมาก เป็นคนดูไม่ออก คนก็จะถามว่าเขาโกรธกันเรารู้เรื่องบ้างหรือเปล่า เราก็บอกว่ารู้ แต่ชั้นนิ่ง บางเวลาก็ชอบอยู่สังคมกับเพื่อนนะ แต่ก็มีบางช่วงที่ชอบอยู่คนเดียว หรืออาจจะมีเพื่อนสักคน

อย่างเพื่อนดีเจจะสนิทกับดีเจกิ๊บ (ณิชาภา ธรรมวิไล) เป็นคนที่นิดาคุยด้วยแล้วสบายใจ เขาน่ารัก ไม่ได้ต้องการอะไรจากเรา จริงใจ ตอนเข้ามาเขาบอกว่าเขารู้จักทุกคนเลยนะ ไม่รู้จักนิดาคนเดียว แต่ทำไมพอเข้ามาแล้ว สนิทกับเราแค่คนเดียวเหมือนฟ้าส่งให้เราได้มาเจอกัน เวลาว่างเราก็ไปเที่ยว ปาร์ตี้กันปกติ ชอบแต่งตัวเหมือนกัน แต่คนละสไตล์ กิ๊บจะเป็นคาวาอี้เกิร์ลมาก แต่นิดาจะเป็นแบบ vogue ลุคนางแบบ แฟชั่นจ๋าๆ หน่อย”

หลงรักแฟชั่นและการช็อปปิ้ง
ปัจจุบันนี้เธอเรียนแฟชั่น ที่สถาบันออกแบบและดีไซน์นานาชาติ “ตอนนี้อยู่ ป. 2 (พูดผิด) เอ่อ...ปี 2 นิดาชอบเป็นอย่างเนี้ยประจำ ตอนนี้เรียนอยู่ปี 2 คณะแฟชั่นดีไซน์ ที่ Academy Italiana ทองหล่อ เป็นสถาบันสอนแฟชั่นนานาชาติ ทุกคนจะได้ยินสถาบัน Raffles ที่นี่ก็เหมือน Raffles แต่จะมีสอนการตกแต่งภายใน สถาปัตย์ กราฟฟิกดีไซน์คอมพิวเตอร์ แล้วก็แฟชั่น ที่นิดาเลือกเรียนที่นี่ เพราะตอนอยู่ร่วมฤดี เขาจะมีมาแนะนำสถาบัน ตอนแรกจะเข้ามหิดล แต่ยังไม่รู้จะเข้าคณะอะไร คิดว่าไม่อยากแค่เรียนให้มันจบ แต่อยากทำในสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรียนจบไปต้องได้ใช้แน่นอน
ตอนแรกก็เลือกไปสมัครมหิดลก่อน พอเข้าได้ เราก็ไม่เอา รู้สึกว่ามันไม่มีคณะที่เราต้องการ ก็เลยกลับมาเลือกเรียนแฟชั่นดีกว่า ตรงกับเราที่สุดแล้ว ตั้งใจว่าอยากเปิดร้านเอง แต่พอเรียนไปสักพัก ก็เริ่มไม่ชอบ เขาให้เราเรียนเย็บ ตัดเอง คือก็ทำให้รู้ว่าการจะเป็นเจ้าของร้าน มันก็ต้องเรียนรู้การตัดเย็บก่อน เราก็เลยตั้งใจเรียน แต่พอหลังๆ เราก็คิดว่าเราก็คงรู้ว่ามันทำยังไงเฉยๆ แต่คงไม่ไปนั่งตัดเย็บเองหรอก เราสนใจด้านแมเนจเม้นต์มากกว่า ก็เลยตั้งใจไว้ว่าพอเรียนจบก็อาจจะไปเรียนต่อด้านแมเนจเมนต์ อยากเรียนเป็นเทคคอร์สมากกว่า

สำหรับตัวนิดาคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีใบ หรือจบเอ เกรดดีมาก แค่เรารู้เรื่องว่าทำอะไรอยู่ แล้วมันใช้ได้จริงๆ เราก็โอเค ครอบครัวนิดาก็ไม่ได้ฟิกอะไร แต่พ่อก็ให้คำแนะนำว่างานในวงการมันอยู่ได้ไม่ตลอดหรอก มีปริญญาสักใบหนึ่งก็ดี เผื่อไว้สมัครงาน”

พอถามถึงสิ่งที่เธอทำแล้วแฮปปี้ที่สุด เธอตอบอย่างยิ้มกว้างว่า ความสุขของเธอหนีไม่พ้นเรื่องแฟชั่น นั่นคือการช้อปปิ้ง เธอสามารถมีความสุขในการเลือกซื้อเสื้อผ้า ได้จับเนื้อผ้า ได้ดูงานดีไซน์ เท่านี้ก็เป็นความสุขที่สุดของแฟชั่นนิสต้าอย่างเธอแล้ว

เวลาที่ยิ้มใหญ่ที่สุด คือตอนที่นิดาไปห้าง ไปซื้อของ ยิ้มหน้าบานเลย รักการช้อปปิ้งมาก บ้าทุกอย่าง ซื้อหมด เสื้อผ้า เน้นกระเป๋า กับรองเท้า ส่วนเครื่องประดับกับเสื้อผ้ามาทีหลัง เป็นคนติดช็อปปิ้งมาก เวลาช้อปปิ้งเสร็จกลับมาดูของจะตกใจ เอ๊ะ! ทำไมมันเยอะอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเดินแถวสยาม แพตตินั่มก็ไปนะ ซื้อเลกกิ้งเพราะ ซื้อแบรนด์แพง แล้วก็งี่เง่าหนะ มันเหมือนกัน ความที่เราเรียนแฟชั่น นิดาจะ appreciate กับแฟชั่น รู้ว่ามันทำยากขนาดไหน เวลาเราไปเดินซื้อเสื้อผ้า เราไม่ได้ดูว่าแค่สวยหรือเปล่า เราจับผ้า จับว่าเย็บยังไง จับรูปทรงว่ามีรายละเอียดขนาดไหน นิดาถึงชอบซื้อแบรนด์ แต่ก็ไม่ไดซื้อเยอะแยะ มีปกติ ชอบ Kloset, Disaya สไตล์แฟมินินแบบเท่ ไม่หวือหวานะ”

ความรักที่เป็นทั้งเพื่อนและแฟน
เมื่อถามเรื่องความรัก สาวสวยรีบตอบว่ามีหนุ่มรู้ใจแล้ว พร้อมทั้งเล่าถึงมุมความรักในแบบของเธอว่าความเป็นเพื่อนสำคัญที่สุด ถึงแม้จะเป็นคนรัก แต่ก็ต้องให้ความไว้วางใจ และสามารถรับนิสัยของกันและกันได้ทุกอย่าง เหมือนเป็นทั้งเพื่อนทั้งคนรักในเวลาเดียวกัน ถึงจะคบกันได้ยาวนาน

เรื่องความรักนิดามองว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันสองคนมาเจอกัน ที่อยู่อยู่ดีๆ ก็ชอบ ก็รักกัน แล้วก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน สำหรับนิดา ไม่จำเป็นต้องให้เขาเปลี่ยนอะไรเลย แล้วถ้าเรายังชอบเขา นั่นแหละคือรัก แต่ถ้ามานั่ง ไปสัก 3-4 เดือน ปีหนึ่งเต็มที่ เธอทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องทำอย่างนี้ เขาก็บอกว่าชั้นเป็นของชั้นแบบนี้มารตั้งนานแล้ว ทำไมต้องมาเปลี่ยนชั้น นั่นคือความต้องการส่วนตัวแล้ว เรามองว่าคนสองคนมาอยู่ด้วยกัน ยิ้มให้กันได้ อาจจะมีเรื่องทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ปกติ ตอนนี้มีคนรู้ใจแล้วค่ะ

จริงๆ ไม่ได้มีสเปกอาจจะชอบคนสูง ขาวหน่อย ไม่ชอบคนโกหก เสแสร้ง ไม่ชอบที่เลี่ยนๆ ด้วย ตัวเอง ชอบคนตรงๆ ใช้ชีวิตปกติ เหมือนคนทั่วไป ชอบคนตลกๆ ขำๆ เป็นคนเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ใส่ใจนะ แต่เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ ไปเที่ยวกับเพื่อน แค่โทรบอกเรา เราไม่ห้าม ไม่เรื่องมาก นิดาว่ามันไม่ใช่รักอย่างเดียว เราต้องเป็นเพื่อนกันด้วยถึงจะรู้สึก เหมือนที่เขาบอกว่าเพื่อนจะอยู่ได้นานกว่าแฟน ถ้ามีเพื่อนกับแฟนอยู่ในคนเดียวกันก็คบกนได้นาน อยากให้เขาอยู่กับเราแล้วสบาย ไม่ต้องเครียด แต่ถ้ามีคนอื่นนั่นอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ไม่ได้ ถ้ามีก็ขอให้บอก ก็ให้เขาไปก็ไม่ห้าม เพราะคิดว่าถึงจุดๆ หนึ่งที่เขาต้องการไป”

ชื่อ : วนิดา โกลเทน
ชื่อเล่น : นิดา
วันเดือนปีเกิด : 4 กรกฎาคม 2532
ประวัติการศึกษา : โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย Ruamrudee International School ปีที่จบ 2008, กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัย Academy Italiana คณะ Fashion Design
ประวัติการทำงาน : ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เป็นดีเจคลื่น PYNK 98 FM. PD Creation เป็นนักแสดงในสังกัดกันตนา ผลงานละคร “สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา

ภาพโดย พลภัทร วรรณดี

ขอบคุณภาพจาก facebook/vanida







ฉากเลิฟซีนในละครเรื่องแรก สุดหัวใจเจ้าชายเทวดา
ขณะจัดรายการวิทยุก็ยังคงคอนเซ็ปต์ สวยเป๊ะ

น้องชายสุดหล่อ วิลเลียม






กำลังโหลดความคิดเห็น