สาวน้อยดวงตากลมโต หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารัก “มิว-ลักษณ์นารา เปี้ยทา” นางเอกน้องใหม่วัยทีน ด้วยบุคลิกเด็กสาวแสนซน ทำให้เธอถูกเลือกเป็นนางเอกละครรีเมกยอดฮิตอย่าง “วนาลี” ซึ่งไม่ว่าจะนำกลับทำใหม่กี่ครั้งก็ทำเอาแฟนๆ ละครติดกันงอมแงม ช่วงนี้หลายคนคงตั้งตารอเสือมืดจอมโหด (ป๋อ-ณัฐวุฒิ สะกิดใจ) กับน้องวิชชุดาที่แสนจะน่ารัก เด็กสาวคนนี้อาจจะไม่ใช่ประเภทเห็นปุ๊บรักปั๊บ เสน่ห์ของเธอไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตาภายนอก หรือการแสดง แต่เสน่ห์ของเธอคือบุคลิกที่ดูเป็นธรรมชาติ น่ารักสมวัย มีความชัดเจนกับความคิดตัวเอง พูดจาตรงไปตรงมา จริงใจ แบบไม่เสแสร้ง ที่สำคัญด้วยวัยเพียง 16 ปี เธอยังทำงานเป็นกำลังหลักสำคัญของครอบครัวอีกด้วย
หลังจากปิดกล้องละครวนาลีแล้ว เธอก็เรียนพิเศษช่วงซัมเมอร์ต่อทันที เพราะกำลังจะขึ้น ม.4 สายศิลป์ -ญี่ปุ่น ที่โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ M-Lite นัดพบกับเธอที่ร้าน A'Rea ร้านเสื้อผ้าแนวเกาหลีของ "เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร" ผู้จัดการดารามือทอง ย่านโรงเรียนบดินทรเดชา วันนี้เธอสวมชุดลำลอง สบายๆ ปราศจากเครื่องสำอาง โชว์ผิวหน้าเนียนใส สาวน้อยเอ่ยทักทายกับเราว่า “ปกติไม่ได้แต่งหน้าเลย เพราะหน้ามิวแพ้เครื่องสำอาง ผดจะขึ้น” เมื่อช่างแต่งหน้าบรรจงแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า และจับเธอแต่งชุดสีชมพูหวาน คาดผมด้วยดอกไม้หลากสี จากเด็กมัธยมหน้าใสๆ ที่เราเห็นเมื่อสักครู่ ก็กลายเป็นสาวสวยดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
แจ้งเกิดเพราะยิมนาสติก
ถ้าจะบอกว่าเธอได้เป็นนางเอกเพราะยิมนาสติกก็คงไม่ผิดนัก เพราะหลังจากที่เอ-ศุภชัย เห็นแววของสาวน้อยคนนี้จากโฆษณานมไทยเดนมาร์ก ก็ชักชวนเธอมาเซ็นสัญญา และได้ส่งเทปตอนเธอโชว์ทักษะการเล่นยิมนาสติก ตีลังกา โยนริบบิ้น ให้ทางผู้ใหญ่ของทางช่อง 3 ดู ปรากฏว่าเธอได้รับความสนใจ ด้วยวัยที่เหมาะสม คาแร็กเตอร์ที่แตกต่างจากคนอื่น จึงถูกเรียกให้เข้ามาแคสติ้งละครวนาลี และได้รับบทนางเอกในที่สุด
“จริงๆ มิวเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบแล้วค่ะ เคยถ่ายโฆษณามาก่อน มิวไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มาเป็นดารา เพราะอยู่ในวงการโฆษณามาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะก้าวกระโดดไปอีกขั้น แต่มีโฆษณาตัวหนึ่งของนมไทยเดนมาร์ก ทางพี่เอเห็นมิวแล้วเขาชอบก็เลยเรียกมิวให้เข้าไปดูตัว แล้วก็ให้มาเซ็นสัญญา พอรู้ว่าจะได้มาเล่นละคร ตอนแรกมิวก็ลังเล ปรึกษากับคุณแม่ว่าจะเล่นดีไหม เพราะต้องเรียนด้วย เรียนอยู่ช่วง ม.3 พอดี กำลังจะขึ้น ม.4 เรื่องการทำงานมันมีผลกระทบต่อการเลือกสาย ถ้าเกรดไม่ดี มันก็จะเลือกสายวิทย์-คณิตไม่ได้ ช่วงนั้นมิวก็เลยเครียด แต่ก็คิดว่าเมื่อเราได้รับโอกาส และน้อยคนที่เป็นเด็กใหม่แล้วได้เป็นนางเอก แถมยังได้เล่นคู่กับพี่ป๋อ มิวก็เลยตัดสินใจเล่น
ถ้าถามเรื่องความชอบ มิวก็ชอบทำงานในวงการบันเทิงค่ะ มิวเป็นคนชอบเรื่องการแสดงตั้งแต่เด็ก เวลาโรงเรียนมีกิจกรรมก็จะชอบไปทำ ชอบเรื่องการแต่งหน้า แต่งตัว
ช่วงนี้ละครออนแอร์แล้วตื่นเต้นมากค่ะ มิวก็ได้รับคำติชมจากทุกคนมามาก ทางเลขาฯ ของพี่ยุ้ย (อรอุมา มาลีนนท์) บอกว่าได้ดูละครแล้วนะ สนุกดี เล่นดีนะ มิวก็รู้สึกดีค่ะเพราะว่าเป็นเรื่องแรก เราก็อยากจะให้ออกมาดีที่สุด แต่สำหรับมิวยังคิดว่ายังทำไม่ได้ดีที่สุด เราสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้อีก มิวประเมินตัวเองสำหรับละครเรื่องแรกก็คงดีระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ดีมาก และยังไม่ดีที่สุด มันยังพัฒนาได้อีก ถ้าเต็ม 5 ดาว มิวให้ตัวเอง 2 ดาวครึ่ง มิวอยากให้แฟนละครติดตามชม เพราะเป็นละครที่สนุกมาก ทุ่มทุนสร้าง เชื่อว่าละครเรื่องนี้ให้ความสุขแก่คนดูได้”
“วิชชุดา” นี่แหละตัวเธอ
แม้ว่าจะเป็นละครเรื่องแรก แถมยังไม่ค่อยได้มีเวลาเรียนแอ็กติ้ง แต่ด้วยคาแร็กเตอร์เด็กสาว แก่นๆ ซนๆ ของวิชชุดาในละครที่ใกล้เคียงกับตัวจริงมาก เธอจึงทำได้ดี ถึงขนาดมีกลุ่มที่ชื่นชอบตั้งเว็บไซต์แฟนคลับ และได้รับคำชมว่าเล่นได้น่ารัก และเป็นธรรมชาติมาก
“คาแร็กเตอร์ในเรื่อง วิชชุดาจะเป็นเด็กที่ซนๆ แก่นๆ หัวดื้อไม่ค่อยยอมใคร ด้วยความที่มีพี่ชายเป็นตำรวจ 2 คน เขาจะบ้าๆ บิ่นๆ ก็เลยเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยยอมใคร แต่ถ้าอยู่กับผู้ใหญ่ก็จะให้ความเคารพค่ะ ซึ่งมิวคิดว่าคาแร็กเตอร์ดูทะโมนๆ แก่นๆ มิวถึงได้เลือกให้มาเล่น เพราะวันที่ไปแคสฯ ก็เจอคนเยอะมาก แต่มิวก็เล่นของมิวไป สงสัยว่าเขาคงได้ยินมิวพูดกับแม่ว่าเดี๋ยวกลับบ้านไปเล่นน้ำ ก็คงเห็นว่าเราใกล้เคียงกับคาแร็กเตอร์ พอเข้าไปแคสฯ ก็เลยได้
ก่อนที่จะออกกอง 1-2 วันก็จะมีการไปเวิร์กชอป เพื่อที่จะเข้าใจบทมากขึ้น ดูว่าคิวนี้เราต้องถ่ายฉากไหนบ้าง แล้วก็อ่านบททั้งหมดอีกทีหนึ่ง แต่พอกลับบ้านมิวจะทิ้งทุกอย่าง เพราะบ้านก็คือบ้าน ส่วนใหญ่การทำการบ้านของมิวก็จะอ่านบท กับเวิร์กชอป ไม่ค่อยมีเวลาไปเรียนแอ็กติ้งแล้วก็ พยายามศึกษาจากเวอร์ชันเก่า
อ่านในบทวิชชุดาจะเป็นเด็กแก่นๆ เราก็จินตนาการว่าคงจะเป็นเด็กซนๆ บทเขาจะเขียนไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าวิชชุดาเป็นคนยังไงก็เลยทำให้เราตีความไม่ยากเท่าไหร่ เราอ่านแล้วมองเห็นตัวเราในบทนั้น คิดว่าตรงกับคาแร็กเตอร์เรามากๆ มากถึงมากที่สุด เวลามิวอยู่บ้านก็จะเล่นกับเด็กตัวเล็กๆ อย่างริชาร์ดอยู่แล้ว อยู่บ้านมิวจะซนไปเรื่อย ที่บ้านมีต้นไม้ต้นใหญ่ๆ มิวก็จะปีนขึ้นไป บางทีก็ปีนไปเก็บลูกมะม่วงที่มันอยู่สูงๆ เห็นมันน่ากินก็เลยปีนขึ้นไปเก็บ” สาวน้อยเล่าวีรกรรมซนๆ ด้วยรอยยิ้ม
จะเห็นว่าในละครเธอเป็นเด็กสาวคนเดียว ท่ามกลางกลุ่มนักแสดงชายล้วนๆ แถมยังต้องถ่ายทำอยู่ในป่าตลอด ซึ่งสาวมิวเปิดใจว่าตอนแรกก็รู้สึกเกร็ง และกลัว แต่พอได้ทำความรู้จักกับดารารุ่นพี่ก็ทำให้สนิทกัน และทำงานได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะหนุ่มป๋อเป็นพี่ชายที่สนิทที่สุดของมิวไปเลยตอนนี้
“เจอพี่ป๋อตอนแรกเกร็งมากค่ะ เราดูละครของพี่เขาตั้งแต่เรายังเด็กอยู่เลย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตนี้จะได้มาเล่นกับพี่ป๋อ
แล้วพอได้มาเล่นด้วยกัน ก็ได้รู้ว่าจริงๆ พี่เขาเป็นคนตลก เป็นคนน่ารัก ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเขาก็บอกให้เราเล่นไปเลย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเกร็งหรอก ก็ทำให้มิวรู้สึกสบายใจมากขึ้น
ตอนนี้สนิทกับพี่ป๋อ ถึงขั้นสนิทมาก วันแรกที่เจอพี่ป๋อคือวันที่เขาให้มาทำเวิร์กชอปด้วยกัน ก็เริ่มต้นด้วยการทำเอ็กเซอร์ไซส์ แต่เขาบอกว่าให้มิวทำอะไรก็ได้ที่จะสามารถทำให้คนที่อยู่ในห้องออกไปข้างนอกให้หมด มิวก็ไล่ๆ ทุกคนออกไป ก็เหลือพี่ป๋อคนเดียว มิวก็เริ่มคิดแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นรุ่นพี่ และเขาก็เป็นดาราดัง เราก็เลยรู้สึกเกร็งๆ ไม่กล้าไล่พี่เขา แต่ก็ตัดสินใจบิดหูพี่ป๋อแรงมาก บิดจริงๆ พี่ป๋อก็หันมาถามว่าเอาจริงเลยเหรอ แล้วก็เดินออกจากห้องไป (หัวเราะ)
เรื่องประหม่ามีแน่นอน เรื่องนี้ดารารุ่นใหญ่เยอะมาก พี่ป๋อ พี่อ๊อฟ พี่หยวน พี่จ๊อบ พี่เจมส์ แต่ละคนเก่งๆ กันทั้งนั้นเลย แล้วมิวเป็นเด็กใหม่คนเดียวด้วย ก็หนักเลย เจอพี่อ๊อฟก็ไม่คุยกับเขาเลยนะ เวลาเขาเล่าอะไรเราก็ไม่พูด ฟังอย่างเดียว พอเขาถามก็ตอบคำสองคำ ตอนแรกมิวนึกว่าพี่อ๊อฟจะดุไงคะ แต่จริงๆ ไม่ดุเลย พี่อ๊อฟน่ารักมาก เขาสอนมิวเรื่องนู่นเรื่องนี่เยอะแยะไปหมด
เวลาอยู่ในกองมิวจะสนิทกับริชาร์ด เพราะเป็นเด็กเหมือนกัน ก็เล่นของมิวไป พวกพี่ๆ เขาก็อยู่กลุ่มของเขาไป มิวก็ไปเล่นกับทีมบ้าง เวลากินข้าวในกองจะเล่นเสร็จเร็ว ก็ไปเล่นซน ต้นไม้ ไปหยิบไม้ไผ่ที่เขาจะเอาไปเข้าฉากมาฟัน มิวพยายามทำความรู้จักกับคนในกองเยอะๆ ค่ะ ให้สนิทกัน เพราะมิวรู้ตัวว่าถ้ามิวสนิทกับใครมิวจะเล่น เอนเตอร์เทนต์ แต่ถ้าไม่สนิทมิวจะเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ซึ่งมันคงจะไม่นักถ้าอยู่ในกอง ก็สนิทกับทุกคนไว้ดีกว่า พยายามเล่น พยายามทำอะไรไป ขาดไม่ได้ ขนมต้องพกไป มิวชอบกินเยลลี่ ลูกคน ชุกกะจุ๊บ น้องริชาร์ดชอบกินโฟเรลโล”
ฉากกุ๊กกิ๊กยากที่สุด
ความที่ยังเป็นเด็กที่ชอบเล่นซน และยังไม่เคยมีความรักแบบหนุ่มสาวมาก่อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าฉากกุ๊กกิ๊กกับพระเอก ต้องมองตากัน ยิ้มหวานๆ สาวมิวบอกว่าเป็นอะไรที่ยากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้ายังไง ทำอย่างไรถึงจะออกมาดียากกว่าฉากร้องไห้เสียอีก
“ส่วนบทที่ยากสำหรับมิวก็จะเป็นพวกซีนอารมณ์ ซีนร้องไห้ ซึ่งเราก็กลัวว่าจะทำไม่ได้ แต่ช่วงหลังๆ จะเป็นฉากกุ๊กกิ๊กมากกว่า เพราะมิวไม่เคยมีความรักมาก่อน ก็เลยไม่เข้าใจว่าความรักระหว่างชายหญิงมันคืออะไร เวลาเข้าฉากกุ๊กกิ๊กบางทีมันอาจจะต้องมีมองหน้ากันยิ้มๆ หวานๆ กันบ้าง แต่มิวไม่เข้าใจว่าจะแสดงออกมายังไงให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด และตรงกับวิชชุดาด้วย ฉากรักๆ เขินๆ มันยาก แต่ก็ผ่านมาได้ค่ะ โดนแซวหลายรอบเหมือนกัน พี่ป๋อแซวว่า “ตัวแข็งเป็นไม้เลยนะมิว”
มีฉากหนึ่งที่ต้องกอดกับพี่ป๋อ เขาก็จะรั้งตัวมิวมาไว้ใกล้ๆ เราก็เกร็งๆ มิวก็ถามพี่ป๋อว่าจะให้มองพี่ป๋อว่าอะไรดี พี่ป๋อบอกว่ามองเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่พ่อกับลุง งั้นมิวมองเป็นพี่ก็ได้ หลังๆ ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น พี่เขาก็มาถามอีกว่ายังมองในฐานะลุงหรือเปล่า มิวก็บอกว่าเปล่า มองว่าเป็นพี่มาตลอด เขาก็บอก แล้วไปๆ เราก็จินตนาการว่าเหมือนน้องสาวกอดพี่ชาย”
ความกดดันของนางเอกวนาลี
ละครยอดฮิตอย่างวนาลีเวอร์ชันก่อนๆ ถูกเล่นไว้โดยนางเอกดัง หน้าสวยอย่าง “หมิว-ลลิตา” และ “มาช่า วัฒนพานิช” ทำให้โดนจับตาเป็นพิเศษ และพอได้มาเล่นละครอย่างเต็มตัว สิ่งที่เธอเคยกังวลไว้ เรื่องการเรียนก็มีผลจริงๆ จากที่เคยคิดจะเรียนต่อสายวิทย์ ก็เลือกเรียนสายศิลป์ และยังต้องแบ่งเวลาให้การเรียน การทำงาน ซึ่งเธอพยายามที่จะทำให้ได้ดีทั้งสองอย่าง แถมยังต้องใช้ความอดทนฝ่าความกดดันทั้งจากตัวเอง และคนรอบข้าง ตลอดถึงคำวิจารณ์ที่มีทั้งชอบและไม่ชอบ
“ตอนนี้กำลังจะขึ้น ม. 4 มิวเลือกเรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่น เพราะถ้าเรียนวิทย์-คณิตมิวตายแน่ๆ เรียนหนักด้วยบวกกับหยุดเรียนบ่อย ถ้าเรียนวิทย์หยุดไปวันเดียวมันจะไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าเรียนศิลป์ภาษา หยุดไปยังพอถามเพื่อนได้ คิดว่าเรียนศิลป์ภาษามันได้ใช้ประโยชน์มากกว่าวิทย์ คณิต ภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาเลือกที่เรียนมาตั้งแต่ ม. 2 แล้ว ก็เลยคิดว่าเรียนต่อไปก็คงไม่เสียหาย มิวชอบคำพูดค่ะ น่ารัก ดูเป็นคนสุภาพ ตอน ม.ต้น เรียนอักษรฮิรางานะ พอขึ้น ม.ปลายก็เริ่มเรียนตัวคันจิ มีเขียนอะไรก็ไม่รู้ยึกๆ ยือๆ ไปหมด ขีดผิดตัวเดียวก็ความหมายเปลี่ยน แล้วก็ คาตาคานะ ไม่ยากเท่าไหร่ แต่คันจิยากมาก ก็เลยเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดหรือเปล่าที่เรียนสายนี้
ช่วงแรกที่เล่นละคร มีผลกับมิวมากค่ะ เครียดมากเลย เพราะว่ามีคิวถ่ายช่วงหนึ่งที่ตรงกับวันสอบพอดี แล้วมันทำให้มิวไม่มีสมาธิในการทำงาน ช่วงแรกๆ แก้ไม่ได้เลย จนต้องระบายกับแม่ว่า ไม่ไหวแล้วนะ คือเหนื่อยมาก ต้องตื่นแต่เช้า พอถ่ายเสร็จอีกวันต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ก็บอกแม่ว่าไม่อยากเล่นละครแล้ว ช่วงนั้นมิวโดนกดดันเยอะด้วย ด้วยความที่เราเป็นนางเอกใหม่ ก็จะโดนกดดันว่าจะเล่นได้เหรอ จะเล่นได้ดีไหม จะทำให้ละครเสียหรือเปล่า เวอร์ชันเก่าๆ เขาทำไว้ดีมากเลยนะคนติดกันงอมแงม
พอมันโดนกดดันมากๆ แล้วเราก็จำๆ มา มิวเป็นคนที่เก็บอารมณ์อยู่แล้ว ก็เก็บมาเรื่อยๆ แต่พอถึงจุดที่มันระเบิด ก็ บู้ม! ออกมา คุณแม่ก็ระเบิดเหมือนกัน เพราะแม่ก็ได้รับความกดดันมาเยอะเหมือนกัน ต่างคนต่างได้ระบาย พอถึงจุดที่เราเปิดใจคุยกันทุกเรื่องทุกราว มันก็ทำให้ดีขึ้น มิวก็พยายามทำความเข้าใจว่ามันเป็นงาน เมื่อรับปากเขาไปแล้วว่าเราจะทำ เราก็ต้องทำให้จบ
ตอนแรกมิวไม่เคยดูวนาลีเวอร์ชันเก่า แต่เคยได้ฟังจากคุณแม่บ้าง แม่บอกว่าพี่หมิวเล่นดีมาก น่ารักมาก คนติดกันงอมแงมเลย เราเป็นหน้าใหม่ แม่ก็แนะนำให้เราศึกษา แล้วลองดูสิว่าทำยังไงมันถึงจะเป็นคาแร็กเตอร์ของเรา ยอมรับว่าช่วงแรกๆ อาจจะคิดว่ามันน่าเบื่อบ้าง แต่พอหลังๆ ก็เริ่มสนุกกับงาน เริ่มเข้าใจในตัววิชชุดาจริงๆ เริ่มเข้าใจในงานละคร เริ่มสนิทกับทีมงาน แล้วทุกอย่างมันก็ดีขึ้น เป็นแง่บวกมากขึ้น”
เรียนยิมนาสติกเพราะชุดสวย
ชุดรัดรูปสีสวยปักเลื่อมระยิบระยับ ทำให้สาวน้อยวัย 9 ขวบ เกิดความหลงไหล และตัดสินใจที่บอกที่บ้านว่าอยากจะเรียนยิมนาสติก แต่ด้วยความที่โตกว่าคนอื่น จึงไม่ง่าย ไม่สวยหรูเหมือนอย่างที่คิด เธอต้องทนความเจ็บจากการดัดตัวอยู่นาน ผ่านช่วงซ้อมหนักหน่วง แต่ก็ทำได้ดี ถึงขั้นเป็นนักกีฬาเขตสมุทรปราการ ได้ลงแข่งอยู่หลายครั้ง เรียกว่าทำความฝันวัยเด็กสำเร็จไปหนึ่งแล้วอย่าง
“มิวเรียนยิมนาสติกลีลา ใช้อุปกรณ์ ใช้ความอ่อนช้อย อ่อนตัว มีริบบิ้น บอล คฑา ห่วง เชือก ต้องเล่นให้ได้ครบทุกอุปกรณ์ เรียนตั้งแต่ 9 ขวบ เรียนเพราะชุดค่ะ ปักเลื่อม วิ้งๆ แว้บๆ มันดูเด่นๆ ก็ชอบ ก็เลยไปเรียน ตอนนั้นตัวไม่อ่อนเลย โดนดัดตัวทีก็ร้องไห้ เจ็บมาก เรียนมาได้ประมาณ 4-5 ปี ถึงเราจะชอบ แต่ยอมรับว่าหนัก ต้องคุมน้ำหนักตลอดเวลา กินช็อกโกแลตไม่ได้ กินของที่เราชอบไม่ได้ แล้วยังต้องดัดตัวอีก
เคยเป็นนักกีฬาเขตสมุทรปราการ แต่ตอนนี้ไม่ได้เล่นแล้ว เลิกไปเมื่อปีที่แล้ว เพราะถ้าเรียนยิมฯ ด้วย เรียนหนังสือด้วย ถ่ายละครด้วย ไม่ไหวค่ะ เพราะเรียนยิมฯ 4 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม ตื่นเช้าไปเรียน และมีถ่ายละครด้วย ก็ต้องเลือกสักอย่างดีกว่า มิวไม่ได้เก่งมาก เพราะมิวมาเรียนช้าด้วย ตอน 9 ขวบ คนอื่นเรียนตั้งแต่เด็ก ตัวอ่อน เป็นหนอน ดึ้บๆ ได้ แต่มิวจะตัวแข็งๆ เพราะ 9 ขวบกระดูกมันก็เต็มแล้ว เคยได้แต่เกียรติบัตร ยังไม่เคยได้เหรียญ เคยติดที่ 5-6
ถึงช่วงนี้จะไม่ได้เล่นยิมฯ แล้ว อยู่บ้านมิวก็จะกระโดดเชือก ยืดตัวตลอด เพราะถ้าไม่ยืดตัวจะเมื่อย ด้วยความที่เราตัวอ่อนมาก ถ้าไม่ได้ยืดนานๆ ตัวจะเมื่อยมาก ตอนนี้ไม่ได้เล่นก็คิดถึงค่ะ เพื่อนที่เรียนยิมฯ ด้วยกันมาก็เยอะเหมือนกัน เพื่อนที่เคยแข่งด้วยกันบ่อยๆ ก็คิดถึง นานๆ ทีก็จะไปเยี่ยมที่ยิม น้องๆ ก็จะเข้ามากอด ก็รู้สึกเสียดายที่ต้องเลิก”
การเล่นยิมนาสติกอาจจะเป็นความชอบ เป็นกิจกรรมวัยเด็ก แต่ความฝันจริงๆ ของมิวคืออยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะชอบเรื่องของภาษามาก มีเวลาว่างเธอก็จะชอบฟังเพลงฝรั่ง แต่ก็อีกหนึ่งความฝันที่อยากเป็นเพราะชอบกินขนมหวานมาก ก็เลยอยากเป็นเชฟ
“ตอนเด็กมิวเป็นคนชอบภาษาอยู่แล้ว ชอบดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ ยังเคยคิดเลยว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตส เพราะแอร์ได้ใช้ภาษาเยอะได้ขึ้นเครื่องบิน ใส่ชุดสวยๆ แต่พอโตมาก็เริ่มเปลี่ยนความคิด ตอนนี้อยากเป็นเชฟ เพราะว่ามิวชอบทำขนม น่ากิน”
อยู่โรงเรียนเป็นสาวติ๋ม
ชีวิตในโรงเรียนของมิวก็เหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป มีกลุ่มเพื่อน เรียน เล่น ทำกิจกรรม แต่พอมีคนเริ่มรู้จักว่าเธอเป็นดารา ก็เริ่มมีคนเข้ามาหามาทักมากขึ้น บางคนถึงขนาดขอเป็นแฟนคลับตั้งแต่ต้นกันเลยทีเดียว
“ตอนประถมเป็นสหฯ พอขึ้น ม. ปลายจะเป็นหญิงล้วน สังคมหญิงล้วนมันก็ต่างจากสหฯ แต่ด้วยความที่มิวเป็นคนลุยๆ ก็จะชอบเล่นกับเพื่อนผู้ชายมากกว่า เพราะรู้สึกว่าเขามีความจริงใจมากกว่า อยู่โรงเรียนมิวจะเป็นคนที่เรียบร้อย ติ๋มๆ เงียบๆ เหมือนเด็กเรียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ (หัวเราะ) จะไม่ทำผิดกฎโรงเรียน เพราะว่าเราได้สิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ถ้าทำตัวผิดระเบียบมันจะดูเหมือนเราแรงแล้ว เหมือนคิดว่าเป็นดาราแล้วทำได้ทุกอย่างเหรอ มันก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา ทางโรงเรียนก็มีกฎ ให้หยุดได้ไม่เกิน 40 ครั้ง ซึ่งก็เกินแล้ว เขาจะดูเกรดเราตลอด ถึงเกรดจะตกบ้าง แต่ก็ไม่เคยต่ำกว่า 2.5 ก็อยู่ในเกณฑ์ 3 กว่าๆ 3.5 ยิ่งขึ้น ม.ปลายก็ต้องตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะต้องใช้เกรดเฉลี่ย ม.4-6 เพื่อไปสอบเข้ามหา'ลัย คือมันต้องทำให้ดีตั้งแต่ต้น เดี๋ยวนี้มหาลัยรับยากมาก ก็เลยตั้งใจเรียนดีกว่า
มิวก็ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ความใส่ใจในตัวเองต้องเยอะขึ้น เพราะเรามาทำงานด้านนี้ด้วย ต้องออกกำลังกายให้แข็งแรง หน้าตาก็ต้องดูแลไม่ให้เยิน เรื่องความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา อย่างตอน ม. ต้น จะไปโรงเรียนสายก็ได้ ไม่กลัวเลย แต่พอตอนนี้ต้องไปเช้าๆ เพราะเวลาเรียนเราก็น้อยกว่าคนอื่นก็ต้องรู้จักขวนขวาย
พอขึ้น ม.ปลาย ชุดนักเรียนก็จะเปลี่ยนเป็นใส่ชุดผูกเนกไท กฎของโรงเรียนคือกระโปรงห้ามยาวเหนือเข่า แต่เด็กที่อยากสวยก็จะตัดกระโปรงให้สั้นเหนือเข่า มิวก็อยากทำนะ แต่ไม่เอาดีกว่า เพราะว่าเราเป็นดารา ไม่อยากมีปัญหา แต่งตัวเรียบร้อยดีกว่า ถ้าอยากสวยก็ไปสวยนอกโรงเรียน หรือเวลามีงานโรงเรียนก็แต่งตัวเป็นคนละคน แต่ก็แต่งตัวตามวัยเรา มิวก็ชอบแต่งตัวสบายๆ แต่จะมีลูกเล่น มีดีเทลนิดนึง ที่ขาดไม่ได้เลยคือต่างหู ใส่ตลอดเวลา แล้วก็ชอบซื้อรองเท้ามาก มีเต็มตู้เลย ส้นสูงก็มี แต่มิวชอบใส่ส้นเตี้ยมากกว่า เดินสบาย
แม่จะสอนว่าถ้าจะแต่งตัวแรงๆ แรงให้ถูกเวลา ที่โรงเรียนไม่มีใครดูคุณหรอก แม่มิวจะเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเพื่อน คอยสอน เวลาไปเที่ยวกับเพื่อน แม่ให้แต่งได้ แต่งไปเลย แต่ก็ต้องดูให้เหมาะกับวัยเราด้วย เวลาอยู่กับเพื่อนแม่จะให้เราเต็มที่ แต่เวลาทำงานต้องเต็มที่กับงาน แม่จะสอนว่าเล่นก็เล่นให้เต็ม 100 แต่ถ้าทำงานหรือเรียนก็ให้เต็ม 100 เพราะเขาถือว่าถึงเวลาเล่นให้เราเล่นเต็มที่แล้ว เราก็ต้องตอบแทนเขาด้วยการเรียน การทำงานให้เต็มที่”
ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต
สังเกตจากการพูดคุยดูเธอจะเป็นเด็กที่ชัดเจนในเรื่องของความคิด ความชอบ และตัดสินใจทำอะไรได้ดี ไม่ได้ติดเที่ยวเล่นจนเกินไปเหมือนเด็กวัยเดียวกัน แต่เธอกลับบอกกับเราว่าเธอเป็นคนที่มีหลากหลายอารมณ์มาก นิสัยที่ไม่ดีก็ยังมีอยู่ แต่ก็พยายามปรับตัว แก้ไขนิสัยที่ไม่ดี เพราะต้องเริ่มทำงาน และมีอะไรให้รับผิดชอบมากขึ้น
“ในหนึ่งวันมิวจะมีประมาณ 5 อารมณ์ได้ บางทีก็จะเป็นเด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ บางทีก็เอาแต่ใจตัวเอง ยอมรับว่าเป็นคนนิสัยไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่ ด้วยความที่แม่คอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก เราอยากได้อะไรก็ต้องได้ พอโตมามันไม่ได้ ก็มีงอนๆ แม่นิดนึง เดี๋ยวนี้มิวก็พยายามปรับตัว ก็ไม่ค่อยเป็นแล้ว เพราะคิดว่าถ้าเรานิสัยแบบนี้ต้อไม่มันคงไม่เวิร์กแน่ๆ ก็เลยพยายามปรับตัวเอง เวลาที่มิวอยากได้อะไร แล้วถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็พยายามนึกว่าถ้าเราได้มาแล้วเราจะเอาไปทำอะไร อย่างอยากได้ของที่มันไม่จำเป็น มิวจะเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ชอบเล่นของเล่นมาก เต็มบ้านไปหมด เห็นของเล่นอะไรน่ารักก็จะอยากได้ แม่ก็จะชอบว่าโตอายุจะ 16 อยู่แล้ว ยังเล่นของเล่นอยู่อีก
ความอยากได้มันก็ยังมีอยู่ แต่พอคิดถึงความจำเป็น ของเล่นเราก็เต็มบ้านอยู่แล้ว พอแม่จะเอาไปบริจาคเราก็ไม่ยอม เพราะมันเป็นของๆ เรา เราก็ยังหวงอยู่ พวกตุ๊กตาเต็มบ้านมาก มิวชอบตุ๊กตากระต่าย ที่มีคำว่าเลิฟบนหัว นิ่มๆ และก็มีตัวที่หน้าตาตลกๆ คุโรมิ เมโรดี้ แต่คิตตี้ไม่ชอบ หวานเกิ๊น ตุ๊กตาบลายธ์ก็ไม่ชอบ คิดว่าน่ากลัว ตามันโตเกินไป ชอบบาร์บี้ที่เอาไว้โชว์ นางแบบ ชุดสวยๆ เลิศๆ ชอบของเล่นเก่าๆ สะสมแฮปปี้มิล มีคอลเล็กชั่นสนูปปี้ รักมากชุดนี้”
วีรกรรมแก่นๆ ซนๆ
พอถามถึงวีรกรรมซนๆ มิวรีบตอบว่าบ่อยค่ะ ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก ถึงจะอายุ 16 แล้ว ก็ยังชอบเล่นซนๆ ปีนต้นไม้ กระโดดน้ำ วิ่งเล่นที่สวนสาธารณะ เธอจึงเป็นเด็กที่มีวีรกรรมเยอะแยะไปหมด แถมบางครั้งเธอยังยอมรับเป็นเด็กดื้อ ซึ่งเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ตอนเด็กๆ จะดื้อ แต่พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยดื้อ แต่จะออกแนวงี่เง่ามากกว่า บางทีตอนเช้าๆ เราเหนื่อยกลับมาจากถ่ายละคร ตี 1-2 ตอนเช้าต้องตื่นไปเรียนอีก ช่วงนั้นมันเหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว แบตฯ หมด ขอแม่หยุดเรียนได้ไหม แม่บอกไม่ได้ เดี๋ยวเรียนไม่ทัน มิวก็งอนแม่ ไปก็ได้ แต่พอแม่โทร.มาก็ไม่รับ งอน
ช่วงที่ถ่ายละคร แม่บอกว่าห้ามเล่นน้ำนะ บ้านมิวติดแม่น้ำเจ้าพระยา มิวไม่ต้องไปหาสระที่ไหนเลย ถ้ามิวอยากเล่นน้ำ มิวก็กระโดดเลย แม่ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย อย่าเล่นนะ แม่หันมาอีกที มิวกระโดดลงไปในน้ำแล้ว แม่ไม่อยากให้ผื่นขึ้น อยากให้หน้าใสๆ แต่อยากจะบอกว่าห้ามเด็กไม่ได้หรอก ไม่สน ตู้ม! วิ่งกระโดลงน้ำเลย
มิวชอบเล่นน้ำในแม่น้ำ เล่นเหมือนเล่นในสระปกติ แต่เป็นสระที่กว้างมาก แต่ก็จะเลือกวัน วันไหนน้ำลงมาจากทางเหนือมันจะเป็นน้ำขุ่นๆ เหมือนน้ำโอวัลตินก็ไม่เล่น บางวันเป็นวันที่เขาระบายน้ำไปหลายวัน ขุ่นๆ มันก็จะหายไป น้ำก็ใส มิวก็จะเล่น สนุกมากเมื่อก่อนน้ำใสมาก แทบจะไม่มีขยะเลย ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไป ก็เลือกวันเล่น น้ำใสๆ คลื่นเยอะๆ
วันหยุดก็จะไปเล่นที่สวนสาธารณะ ใกล้ๆ บ้าน พายเรือ ถีบเรือเล่น ปั่นจักรยาน บางทีก็อยู่บ้านอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูการ์ตูน บางทีก็ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
ถ้ามีเวลาว่างจะชอบอ่านหนังสือมากกว่า บ้าง มิวจะอ่านหนังสือชอบแนวแฟนตาซี ใช้จินตนาการเยอะๆ นวนิยาย ชอบเรื่องผู้เสกทรายเป็นนวนิยายคนไทยเขียน ชอบนักเขียนคนไหนก็ตามอ่าน นี่ก็เพิ่งไปงานสัปดาห์หนังสือมา ชอบนักเขียนที่ชื่อรวิก มิวไม่ค่อยชอบเล่นอินเทอร์เน็ต เข้า face book ไม่ค่อยมีเวลาเข้า แต่ถ้าช่วงไหนหยุดนานๆ ก็จะเล่น แล้วก็ชอบดูการ์ตูน ชอบฟังเพลงฝรั่ง ชอบมารายแครี่ มารูนไฟว์ ชอบที่เขาร้องเพลงเก๋าๆ เจ๋งๆ ฟังเพลงภาษาอังกฤษบางคนอาจจะว่า ฟังรู้เรื่องเหรอ มันแปลว่าอะไร ก็ยอมรับว่าบางประโยคไม่รู้เรื่องเหมือนกัน แต่ชอบฟังเพราะมัน
เพราะมาก เพลงฝรั่งเขาร้องฟังรู้เรื่อง แต่อย่างเพลงไทยถ้าไม่ใช่เพลงแนวเจ๋งๆ อย่างตูน บอดี้แสลม หรือโปเตโต้ หรือพี่เบิร์ด เพลงสมัยใหม่มันจะร้องงึมงัม”
เข้าวงการฯ เต็มตัว ที่บ้านห่วง
ดูเป็นเด็กสาวห้าวๆ พูดจาตรงไปตรงมาแบบไม่มีแอ๊บ บางครั้งก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัย คงเป็นเพราะการที่พ่อแม่เลี้ยงดูเธอ และพี่สาวอย่างอิสระ ใช้ชีวิตเรียน เล่นเต็มที่ ไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องมีพ่อแม่คอยตามรับ-ส่ง เข้าใจกันด้วยเหตุผล แต่พอเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ความเป็นห่วงของพ่อแม่ก็เริ่มแสดงออกมากขึ้น ซึ่งตัวมิวเองก็เข้าใจดี และพยายามทำตัวให้มีประโยชน์อะไรที่ทำเพื่อครอบครัวได้ เธอยินดีทำเต็มที่แบบไม่มีบ่น
“ก่อนหน้านี้คุณพ่อคุณแม่ทำงานบริษัทถ่ายทำโฆษณา อัปเปอร์คัต ตอนนี้ บริษัทปิดไปแล้ว ทั้งคู่ก็เลยมาทำค้าขายอยู่ที่บ้าน
ที่บ้านมิวจะไม่ได้คอยตามรับ-ส่ง กลับบ้านเองตั้งแต่ ป.2 เพราะโรงเรียนใกล้บ้าน มีรถเยอะที่กลับถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ ก็กลับพร้อมพี่สาวที่อยู่ ป.4 บางทีพี่สาวอยู่กับเพื่อนก็ปล่อยให้เรากลับคนเดียว แต่ถ้าไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดแม่จะไปด้วยทุกครั้ง แต่ถ้าใกล้ๆ ก็ไปเองได้ ที่บ้านจะเลี้ยงแบบอิสระมาก เราก็เลยต้องมีการป้องกันตัวเองบ้าง ระวังไว้บ้าง
แม่มิวจะเลี้ยงแบบปล่อย ถ้าคุณดูแลตัวเองได้ ก็อยู่ไป แต่ถ้าไม่ไหวก็มาหาเราได้ ดูอยู่ห่างๆ แต่ก็มีกฎเกณฑ์ ไปไหนบอกก่อน กลับให้ตรงเวลา ถ้าทำผิดก็อย่าหวังว่าจะได้ไปที่อื่นอีก เราก็ต้องให้ความเชื่อใจกับเขา ที่บ้านก็จะเชื่อใจเรา
ด้วยความที่มิวยังเด็กพอเข้ามาทำงานในวงการฯ ก็มีมุมที่ที่บ้านแอบสงสารบ้าง แต่ไม่เยอะ เขาจะบอกว่าถ้าจะอยู่ในวงการนี้ต้องมีความรับผิดชอบ พยายามให้ดูดารารุ่นพี่เป็นตัวอย่าง พ่อจะมีหวงลูกสาวบ้างเพราะมีลูกสาว 2 คน มิวเป็นคนเล็ก มีพี่สาวชื่อปีบ ม.6 ท่านก็จะห่วง บางทีถ่ายละครเสร็จดึกๆ ท่านก็มานั่งรอหน้าบ้าน โทร. ตาม เมื่อไหร่กลับ เวลาไปเที่ยวต้องขออนุญาตล่วงหน้า รอท่านตัดสินใจว่าจะให้ไปหรือเปล่า เวลาไปไหนก็ต้องบอกว่ากลับกี่โมง ตรงเวลา ส่วนแม่จะเลี้ยงลูกเหมือนเป็นเพื่อน แต่ถ้าเข้มงวดก็เข้มงวด
เอาตรงๆ ตอนนี้มิวเป็นคนที่หาเงินได้เยอะที่สุดในบ้าน มาถ่ายละครก็ได้เงินเป็นก้อนใหญ่ๆ พ่อแม่ทำอาชีพค้าขายก็ได้ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อวัน ซึ่งมันก็ไม่พอแน่ๆ สำหรับเดือนหนึ่งที่จะเลี้ยงคน 4 คน ด้วยความที่เรายังเป็นเด็กอายุแค่นี้ เรายังต้องการได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อยู่ แต่นี่กลายเป็นว่ามิวต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ บางทีเขาก็มานั่งคุย แล้วบอกว่าขอโทษที่ต้องให้ลูกช่วยขนาดนี้ มิวก็บอกว่าไม่ต้องขอโทษเราเลย เราเต็มใจ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องตอบแทนท่านบ้าง เราดีใจมากที่เห็นแม่ยิ้มกับความสำเร็จของเรา”
ชื่อจริง : ลักษณ์นารา เปี้ยทา
ชื่อเล่น : มิว
เกิดวันที่ : 16 สิงหาคม พ.ศ. 2538
อายุ : 16 ปี
การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
(ขอบคุณภาพประกอบจาก facebook วนาลี)