“คนเราถ้าคิดดี ทำดีสังคมมันก็จะไม่มีปัญหาเหมือนทุกวันนี้ แต่ถ้าคิดแย่ประเทศไทยเรามันก็จะไม่พัฒนา อยู่ที่จิตใจคนเรา” นี่คือคำพูดของ "อุ๊-ขวัญนภา เรืองศรี" หรือที่หลายคนเรียกจนชินว่า “ลาล่า” สาวโปงลางสุดซ่า หน้าทะเล้น แต่ยามที่ไม่ได้อยู่ในชุดสาวโปงลาง ไม่มีดอกไม้ใหญ่ๆ ข้างหู แต่สวมชุดเฟมินิน ปล่อยผมยาวเรียบตรง ดูเธอเป็นสาวเรียบร้อยมากๆ แถมเธอยังมีมุมมองธรรมะ น่ารักๆ มีเวลาว่างเมื่อไหร่มักจะไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อนในวง กินเจสัปดาห์ละ 1 วัน แถมยังขยันสวดมนต์ และทำบุญอยู่เสมอ เรียกว่าผลจากการคิดดี ทำดี ส่งให้เธอประสบความสำเร็จ และมีชื่อเสียงยาวนานทุกวันนี้ก็เป็นได้
จากสิ่งดีๆ ที่เธอได้รับจากสังคมมาตลอดส่งให้เธอเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียง มีเงินทองอย่างทุกวันนี้ เธอจึงพร้อมที่จะตอบแทนสิ่งดีๆ ให้แก่สังคมทุกเมื่อ อย่างที่เห็นว่ามีงานกิจกรรมทางศาสนาเมื่อไหร่ มักจะเห็นสาวลาล่าเธอไปช่วยงานอย่างแข็งขันเสมอ จนล่าสุดเธอได้รับรางวัล “ศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา” ซึ่งเป็นรางวัลที่เธอภูมิใจมาก และเป็นกำลังใจให้เธอทำกิจกรรมดีๆ เพื่อสังคมต่อไป
มุมธรรมะของสาวทะเล้น
เห็นภายนอกเป็นสาวตลกโปกฮาแบบนี้ แต่ด้วยความที่ชอบทำกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนา เข้าวัด ทำบุญอยู่บ่อยๆ จึงมีผู้ใหญ่เห็น และมอบรางวัล “ศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา 2554” จากสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมให้แก่เธอ สำหรับรางวัลนี้ตัวลาล่ามีความภูมิใจที่ได้รับรางวัลมาก แต่คนรอบข้างกลับแปลกใจ เพราะน้อยคนนักที่จะสัมผัสตัวตนของลาล่าผ่านเรื่องของธรรมะ
“เราภูมิใจนะที่ผู้ใหญ่มองเห็นความสำคัญในตัวเรา ในส่วนของการส่งเสริมด้านวัฒนธรรม คือลาล่า ลูลู่ พี่อี๊ด วงโปงลางสะออน เราทำเต็มที่อยู่แล้ว เราพยายามเผยแพร่ทางด้านวัฒนธรรมให้คนได้รู้ ส่วนทางด้านพุทธศาสนาก็คือเราพยายามนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน ในการเดินทาง บำบัดจิตใจเราไปด้วยในการทำงาน
ถ้ามองตามคาแร็กเตอร์ของลาล่า เป็นคนที่ดื้อมาก ถ้าเป็นคนภายนอกมอง ได้รางวัลพุทธศาสนาด้วยเหรอ ได้ได้ไง เราก็เลยรู้สึกดีใจที่ผู้ใหญ่มองเห็นตัวเรา เห็นในสิ่งที่เราปฏิบัติ เห็นว่าเราเป็นเด็กดีช่วยเหลือสังคม ใครให้ไปร่วมทำบุญ ทำงาน เราไปด้วยความเต็มใจ ก็อยากจะขอบคุณผู้ใหญ่ที่มองเห็นเราในส่วนนี้ คือในส่วนนี้ก็อาจจะไม่ใช่ลาล่าได้คนเดียว ถ้าไม่มีพี่อี๊ด พี่ๆ วงโปงลางฯ ที่ช่วยดูแลเรา นำทางเรามาทางนี้ ลาล่าก็อาจจะไม่ได้ คนรอบข้างเซอร์ไพรส์ โห! ได้ได้ไง เห็นเราดื้อๆ ซนๆ บางมุมเราก็เป็นเด็กดีบ้าง” (หัวเราะ)
เข้าวัดนั่งสวดมนต์ตั้งแต่เด็ก
จากเด็กสาวธรรมดาที่หลงใหลนาฏศิลป์ ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเรียกเธอว่า “ลาล่า โปงลางสะออน” วงดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านเผยแพร่วัฒนธรรมให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าเธอทำงานเยอะจนแทบจะไม่มีเวลาว่าง แต่สิ่งที่เธอปฏิบัติมาตลอด คือเรื่องของการทำบุญ โดยการละเว้นการกินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละ 1 วัน สวดมนต์ใหญ่ทุกวันพฤหัสบดี นอกจากนั้นมีเวลาว่างเมื่อไหร่จะไปเข้าวัดปฏิบัติ เพื่อเตือนสติตัวเองเสมอ
“ในส่วนตัวแล้ว สำหรับลาล่าเรื่องพุทธศาสนาลาล่าว่าคนเราก็มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่แล้ว อย่างตัวลาล่าเอง ก็จะละเว้นไม่กินเนื้อสัตว์ ในทุกวันอาทิตย์เพราะเป็นวันเกิดของตัวเอง เป็นวันที่ลาล่างดเนื้อสัตว์ไปเลย กินเป็นมังสวิรัติแทน อย่างแรกเลยคือเราต้องการทำบุญ มันทำให้เรารู้สึกอิ่มบุญไป 1 อาทิตย์ เพราะเราตั้งใจที่จะทำ อย่างที่สองมันทำให้ร่างกาย ระบบขับถ่ายของเราดีขึ้น รู้สึกเบาตัวขึ้น แล้วก็สบายใจขึ้นค่ะ”
สาวโปงลางเล่าย้อนช่วงเวลาวัยเด็กให้ฟังว่า ด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัด ประกอบกับยายของเธอชอบเข้าวัดสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ เธอจึงมีหน้าที่คอยเอาปิ่นโตไปให้ยาย ก็เลยมีโอกาสนั่งท่อง นะโม ตัสสะฯ ได้สวดมนต์ไปพร้อมๆ กับยายอยู่บ่อยครั้ง
“เราเป็นเด็กต่างจังหวัดไง พอเลิกเรียน พ่อจะพาไปเก็บดอกไม้ ไปบูชาพระพุทธรูป ที่ซุ้มทางเข้าโรงเรียน เราก็ไหว้พระก่อนเข้าโรงเรียนทุกวัน ตอนเด็กลาล่าก็ถือปิ่นโตเอาข้าวไปส่งยาย เดินไปวัดเอง ยายนุ่งขาวห่มขาวนั่งสวดมนต์ เราก็นั่งฟังยายสวดมนต์ แต่ก่อนท่องได้นะ ทำกิจกรรมทุกอย่างเกี่ยวกับศาสนา ไปวัด ใส่บาตร สวดมนต์ เวียนเทียนแต่พอโตขึ้นช่วงที่เข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์กาฬสินธุ์ ก็เป็นช่วงที่เราจะห่างจากวัด”
พบสัจธรรมจากการเดินบิณฑบาต
เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ลาล่าได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมทางศาสนาที่สำนักของแม่ชีมโนรา ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลังจากนั้นเธอก็เกิดความศรัทธา ได้บวชชีพราหมณ์ ได้ปฏิบัติธรรม ถือศีล นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตเธอดีขึ้น และได้พบสัจธรรมหลายๆ อย่างจากการบวชในแต่ละครั้ง
“มีเวลาว่างลาล่าจะไปร่วมสวดมนต์ที่สำนักของแม่ชีมโนราที่หนองจอก สัก 1-2 ชั่วโมง ไปนั่งสมาธิกับท่าน แล้วแชร์ประสบการณ์ว่าเราปฏิบัติธรรมแล้วเรารู้สึกยังไง เหมือนเป็นวิทยากรช่วยนั่งอยู่ข้างแม่ชี บางทีคนเราเจออะไรหนักๆ มันเหมือนแบกภูเขาไว้บนอก แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันนิ่ง มันเบาขึ้นมาก
ลาล่าได้แจอแม่ชีมาประมาณปีกว่าๆ ค่ะ ตอนนั้นเราไปทำกิจกรรมให้กับสำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีมโนรา พอเราได้อ่านประวัติท่าน มันทำให้เรารู้สึกศรัทธา แล้วเราก็อยากจะปลดปล่อยกับบางสิ่ง เราเป็นคนคิดมาก เราทำงานหนัก เราก็มีความคิดว่าอยากจะรีแลกซ์ด้วยการปฏิบัติธรรม แล้วก็อยากใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง หมายถึงจากที่เราอยู่ในสังคม มีคนรู้จักเรา คนเข้ามาถ่ายรูป เราลองคิดว่ากลับไปเป็นเหมือนเดิมดูสิ หน้าไม่ต้องแต่ง เดินบิณฑบาต ถือศีล 8 กินข้าวแค่มื้อเดียว มันทำให้เรารู้สึกดีจังเลย แต่ 2 วันแรกขอบอกว่าทรมานตัวเองมาก หิวท้องร้อง กินได้แต่นมถั่วเหลือง เราเคยกินข้าว ก็เลยรู้สึกไม่อยู่ท้อง แต่พอมาวันที่ 3-4 ก็เริ่มอยู่ตัวขึ้น ตื่นตี 5 ทำวัตรเช้าเกือบ 2 ชั่วโมง เดินบิณฑบาต 9 โมงทำความสะอาดลานสำนัก 11 โมง กินข้าวรอบเดียว
มีครั้งหนึ่งที่ลาล่าไปบวชชีพราหมณ์กับแม่ชีมโนราที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา แม่ชีให้เราถอดรองเท้าเดินบิณฑบาต เรารู้สึกได้เลยว่าชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน จากจุดที่เราเดินมา ณ วันนี้เราขึ้นมาสูงมาก แต่วันหนึ่งเราถอดรองเท้าเดินบนหิน เราเจ็บ เราก็รู้สึกเจ็บนะ ถึงเราจะยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่เราก็เจ็บได้ ทำให้คิดว่าขึ้นสูงก็ให้ระวัง เราก็สามารถตกลงมาในที่ที่เราเคยอยู่ได้ พระพุทธศาสนาสอนให้เราคิดได้ว่า การวางตัว การรู้จักตัวเองจะทำให้ตัวเองไม่เจ็บ และมีความสุข ประมาณตัวเองให้อยู่ในระดับที่พอดี พอควร ไม่ขึ้น ไม่ต่ำเกินไป อยู่ในสิ่งที่พอดี ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงจึงจะสมดุลที่สุด
สิ่งที่ได้กลับมา เราได้ความใจเย็นขึ้นมาก จากที่เราเป็นคนแว้ดๆๆ ท่านก็จะสอน บางทีพี่อี๊ดด่าเรา ว่าเรา เราก็จะร้องไห้ ท่านก็จะสอนว่านั่นแหละ สิ่งนั้นคือเขารัก ถ้าเขาไม่รักเขาก็ไม่เตือน ให้คิดว่าสิ่งนั้นคือคำที่เตือนเรา อย่าไปคิดว่าเขาด่า อย่างเขาด่าเราอีบ้า แม่ชีก็ถามว่าแล้วเราเป็นไหมล่ะ ถ้าไม่เป็นก็ไม่ต้องไปแคร์ ถ้าเราวางตัวให้เป็นกลางเราก็ไม่ต้องไปรู้สึกเดือดร้อน ไม่ต้องรู้สึกเป็นทุกข์ ซึ่งมันก็จริง เราก็นำไปใช้บนเวที เวลาพี่อี๊ดด่าเรา เราก็ยิ้ม จากแต่ก่อนเราน้ำตาคลอ เรากลับรู้สึกว่าวันนี้โชคดีแล้ว โดนพี่อี๊ดด่า เป็นชีวิตประจำวันปกติของเรา
ถ้าช่วงไหนไม่ค่อยมีเวลาไป ลาล่าจะใช้สวดมนต์ก่อนนอน ชินบัญชรยังสวดไม่ได้ แต่ก็พยายามนั่งอ่าน จะพยายามสวดทุกวันพฤหัสบดี ลาล่ามีความเชื่อส่วนตัวว่าวันพฤหัสบดีเป็นวันครูของเหล่านาฏศิลป์ ทุกครั้งที่ไหว้ครู หรือมีการจัดงาน จะเป็นวันพฤหัสบดี ลาล่าก็เลยมีความเชื่อว่าเป็นวันดีสำหรับลาล่า
ก่อนสวดมนต์เราก็จะมีอธิษฐานขอให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน และยิ่งตัวลาล่าต้องเดินทางบ่อยมาก ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ให้แก่เทวดา สิ่งศักดิ์ที่รักษาเราอยู่ ให้คุ้มครองเราในการทำงาน ในการเดินทาง ให้แคล้วคลาด ส่งเสริมให้วงโปงลางสะออนเป็นที่รู้จัก มีแต่คนรักๆๆ เราแบบนี้ตลอด” ลาล่าเล่าถึงความเชื่อส่วนตัว พร้อมกับยิ้มกว้าง
ใช้สติ เตือนใจก่อนพูด
ด้วยความที่เป็นคนคิดมาก กังวลไปกับทุกเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว บางครั้งก็ทำให้เครียด จนต้องใช้ธรรมะช่วยเตือนใจในเรื่องของการปล่อยวาง และอีกเรื่องที่ถือเป็นข้อเสียที่ลาล่าบอกว่าต้องให้คนคอยเตือนอยู่บ่อยครั้งก็คือการเป็นคนพูดจาโผงผาง เมื่อได้รู้จักธรรมะแล้ว เธอจึงใช้สติในการคิดก่อนพูดมากขึ้น
“ลาล่าจะเป็นคนคิดมาก เรื่องครอบครัวด้วย เรื่องการทำงานด้วย พอไปเจอแม่ชี เหมือนเจอแสงสว่างที่ทำให้เรารู้จักปล่อยวาง แต่ก่อนเรานั่งปรับทุกข์กับลูลู่ อย่างเรื่องงานก็จะถามลูลู่ว่าเราทำอะไรไม่ดีเหรอ พี่เขาไม่ชอบเหรอ หรือว่าเรื่องครอบครัว ก็จะคอยเป็นห่วงครอบครัว คิดถึงน้องว่าปีนี้น้องจะเรียนได้เกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ แล้วเราจะมีงานเยอะไหม ทำไมงานเดือนนี้หนักจังเลย เราก็มาคิด กลายเป็นเราเป็นคนวิตกจริต กังวลเรื่องนั่นเรื่องนี้ แต่ตอนนี้มันดีขึ้น สบายใจขึ้น รู้จักปล่อยวางมากขึ้น
อย่างตอนนี้เราสามารถบอกคนอื่นได้นะ อย่างลูลู่ใจร้อน เราก็จะบอกว่า ลู่ แม่ชีบอกว่ายังไง (หัวเราะ) สาธุ...โชคดี ท่านจะบอกว่าให้เอาความโมโหของเรา ให้คิดเป็นความโชคดีของเราไปซะ กลายเป็นบทเรียนที่สอนเราไปซะ มันก็จะเป็นอย่างนี้ไป เหมือนตอนนี้ลาล่า กับลูลู่จะประคองอารมณ์ของกันและกันไป บางครั้งเราวี้ดขึ้น จะหันมาเตือนกัน เราต้องเย็นลงๆ”
อีกอย่างที่เปลี่ยนไปชัดเลยก็คือเรื่องของการมีสติ เตือนตัวเอง เพราะลาล่าเป็นคนพูดไม่คิด บางทีพูดไปความหมายมันเป็นอีกแบบหนึ่ง จะเป็นอย่างนี้ตลอด แล้วลูลู่กับพี่อ๋อยจะคอยบอกว่าลาล่าพูดแรงไป เราก็ “จริงเหรอ แต่เข้าใจไหมมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ” ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่เราต้องระวังมากเลย อาจจะดูเป็นคนพูดขวานผ่าซาก แต่ใจไม่ได้คิดอย่างนั้น ยังดีที่ยังมีคนเข้าใจเรา ลูลู่เข้าใจว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้น บางครั้งต้องให้ลูลู่มาอธิบายอีกที มันจะซอฟต์กว่าที่เราพูด บางทีเราพูดไป แล้วเราก็ต้องมาขอโทษ ว่าไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ ต้องมาอธิบายทีหลัง
เรื่องการพูดเนี่ยมีคนเข้าใจผิดตลอด อย่างเวลาประชุม เขาจะบอกลาล่าห้ามพูดนะ เพราะถ้าเราพูดมันจะไปเป็นอีกแนวหนึ่ง บางทีมันอดไม่ได้ ซึ่งเวลาเราพูดก็ ปัง! ได้เรื่องจริงๆ เลย บางทีเราต้องเตือนตัวเองว่า ไม่พูดๆ ถ้าไม่จำเป็นอย่าพูด ถ้าจะพูดก็ไปหาลูลู่ก่อน จะต้องเตือนตัวเองตลอดถ้าอยู่ในคนกลุ่มมาก อย่าพูดอะไรในสิ่งที่ตัวเองคิด”
โปงลางฯ คือความสุข
ลาล่าเล่าถึงความสุขในชีวิต นั่นก็คือการได้เป็นศิลปิน ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในวงโปงลางสะออน ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ เพราะทำให้เธอมีชื่อเสียง มีเงินทอง เป็นที่ยอมรับอย่างทุกวันนี้
“ความสุขของลาล่า คือการที่ได้เป็นโปงลางสะออนอย่างทุกวันนี้ เรามีความรู้สึกว่าได้นอนกอดมันทุกวันน่ะ เราได้กอดทุกคน มันอบอุ่น ยิ่งเวลาเราอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน มันรู้สึกว่ามันคืออีกหนึ่งครอบครัว เวลาไม่เห็นหน้ากันก็คิดถึงกันตลอด อีกอย่างเรามีความสุข ที่ได้ทำให้ครอบครัวเราพ่อแม่ พี่น้องมีความสุข
โปงลางสะออนทำให้ลาล่ามีชื่อเสียง เงินทอง ให้คนได้รู้จักคำว่าลาล่า ซึ่งลาล่าคิดว่าคำนี้ไม่มีวันตายแน่ๆ ถึงแม้ว่าลาล่าจะแก่ไป แต่คนก็จะรู้จักลาล่าคนนี้ที่ดอกใหญ่ๆ (หัวเราะ) คนนี้คือโปงลางสะออน มันให้สิ่งที่เราคิดว่าคนอื่นไม่สามารถเป็นเหมือนเราได้ เราเลยรู้สึกภูมิใจ พอกลับไปบ้าน พ่อแม่ หน้าอย่างกับกระด้ง อยากอวดลูก เราทำให้คนรอบข้างมีความสุขมาก
ลาล่าไม่ยึดติดนะ ใช้ชีวิตปกติ เวลาไปเดินข้างนอกบางทีคนก็จำไม่ได้ เพราะเขาเคยเห็นเราใส่แต่ดอกไม้ใหญ่ๆ ทุกวันนี้ใช้ชีวิตปกติ กินส้มตำ ให้นอนตามวัด ให้อยู่ยังไง เราก็อยู่ได้ เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เรามีเงินใช้มากขึ้น มีชื่อเสียงมากขึ้น ไปไหนคนรู้จัก
เวลาอยู่ในวงลาล่าจะเป็นตัวเองอย่างที่หลายคนเห็น บ้าๆ บอๆ เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น แต่พอเวลาอยู่กับครอบครัว ลาล่าจะซีเรียสกับครอบครัวของลาล่ามาก กลัวเขาไม่มีความสุข กลัวว่าเราส่งเงินให้เขาพอใช้ไหม ด้วยความที่เราต้องดูแลทุกคน เราจะดูเป็นผู้ใหญ่
สิ่งที่ลาล่าพยายามทำก็คือ การทำบุญ การให้ทาน เรามีความรู้สึกว่าการที่เราได้มาอยู่ในจุดนี้ได้ เราเคยลำบากประมาณหนึ่ง แล้วเห็นเด็กที่มาเช็ดกระจก เราก็เลยคิดย้อนลึกลงไปอีกว่า น่าสงสารเขานะ ถ้าเป็นเราจะรู้สึกยังไง มายืนตากแดด ในขณะที่ตอนนี้เรามีศักยภาพที่จะให้เขาได้ เราก็อยากจะทำให้เขามีความสุข”
ความอดทนมาเป็นที่หนึ่ง
ถึงแม้ว่าลาล่า ลูลู่ จะเป็นที่รู้จักมากกว่าคนอื่นในวง แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือการต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เพราะเป็นตัวหลัก ขาดใครไปคนใดคนหนึ่งไม่ได้ แม้ว่าบางครั้งจะเหนื่อยแค่ไหน แม้กระทั่งไม่สบายเธอก็ไม่สามารถหยุดทำงานได้ นั่นคือสิ่งที่เรียนรู้ และปฏิบัติมาตลอดจากผู้ชายชื่อ “อี๊ด-สมพงษ์ คุนาประถม”
“สิ่งสำคัญที่พี่อี๊ดสอนลาล่าอยู่เสมอคืออย่าหลงตัวเอง อย่าเป็นวัวลืมตีน เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องสู้ สิ่งที่เราเห็น ไม่ต้องสอนเลย เวลาเขาไม่สบาย ตัวร้อนมาก เวลาคนอื่นไม่สบายพาไปโรงพยาบาล พักได้ แต่พี่ลูลู่ไม่สบาย ต้องถอดสายน้ำเกลือมาแสดง พี่อี๊ด ลาล่า ลูลู่ ไม่สามารถพักงานได้ นี่คือสิ่งที่เราเห็นเขา คือความอดทน ไม่ต้องบอก แต่เราสัมผัสได้ น้องๆ หลายคน หลายความคิด เขาต้องอดทนกับหลายๆ อย่าง นี่คือสิ่งที่เราเอามาปฏิบัติ ว่าเราต้องอดทนนะ
เวลาลาล่ายิ้ม ลาล่าจริงใจมากเลย แต่ว่าบางทีการจริงใจของเรามันอยู่ใต้ความเหนื่อย บางทีเราเหนื่อย แล้วแฟนๆ เข้ามาหาเรา บางทีเราพยายามยิ้ม แต่ร่างกายมันไม่ไหว เหมือนเราแสยะยิ้ม น้องเขาก็บอก พี่ยิ้มเหมือนไม่เต็มใจยิ้ม เราก็เอากระจกมาดูแล้วลองยิ้ม เออ น่าเกลียดจริง เราก็จะบอกลู่ว่าเตือนกันด้วยนะ ถ้าเกิดยิ้มอย่างนี้อย่าให้ยิ้มนะ ให้ยิ้มดีๆ มันจะกลายเป็นว่าคนที่คาดหวังในตัวเราแล้วมาเห็นเราแบบนี้ กลายเป็นเราไม่น่ารัก เสแสร้ง ทั้งๆ ที่เราเห็นเขามาขอถ่ายรูป อยากให้เขามีความสุข แต่กลายเป็นร่างกายเรายิ้มไม่ไหว อยากจะฝากขอโทษแฟนๆ ถ้าเกิดวันไหนร่างกายไม่ไหว แต่ว่าใจลาล่าตั้งใจยิ้มมาก ถ้าแหกขึ้นได้ (ลากนิ้วถึงหู) ลาล่าก็อยากจะยิ้ม” หัวเราะแบบสาวอารมณ์ดี
ข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร