เมื่อพูดถึงสัตว์เลี้ยงแสนรัก เจ้าของที่รักและผูกพันกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรดมานานแสนนาน เป็นทั้งเพื่อนเล่น เป็นที่พักพิงให้ความอบอุ่น คลายเหงา เหมือนกับสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว แต่เมื่อเวลาได้พรากเพื่อนรักแสนรู้นั้นจากไป หลายคนคงอาลัยและอยากทำอะไรให้ในวาระสุดท้าย เช่นเดียวกับ คุณบัว ชมน์ศมนต์ กาญจนาพัชร์ เจ้าของร้าน dog did doc ไอเดียสุดเจ๋ง กล่องโลงสัตว์แฟนซี เริ่มจากความรักและผูกพันกับเจ้าปุ๋ยสุนัขตัวโปรด จนเมื่อจากไปจึงได้ทำบ้านหลังสุดท้ายให้ด้วยความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยงตัวนี้
“สุนัขที่ตัวเองเลี้ยง ชื่อปุ๋ย เลี้ยงเขาไว้ตั้งแต่รุ่นนางงามพรทิพย์ นาคหิรัญกนก ซึ่งตอนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่และก็เลี้ยงไปด้วย จึงเป็นตัวแรกที่เลี้ยง เป็นพันธุ์สปริทผสมหมาไทยธรรมดา คุณบัว เล่าถึงเจ้าปุ๋ยด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาออกไปเล่นข้างนอกแล้วจะเข้าห้องแต่เข้าไม่ได้ เลยใช้หางเคาะประตูแทน เป็นหมาที่ฉลาดมาก มันสามารถเปิดประตูบ้านก็ได้ มันจะใช้เท้าเกี่ยวที่เปิดประตูเหล็กแล้วผลักออก แต่ปิดไม่เป็นนะ เปิดได้อย่างเดียว เขารู้วิธีว่าถ้าใช้มือเกี่ยวปุ๊บ ประตูจะเปิดทันที และมีอยู่ครั้งหนึ่งรถที่บ้านเสีย เขาก็มาช่วยเข็น คือเขาเห็นคนมาเข็น เขาก็เอาเท้าพาดไว้ท้ายรถแล้วช่วยเข็น คนแถวนั้นเห็นแล้วเขาก็หัวเราะกันใหญ่เลย และถ้ามีร้านไอติมมา เขาก็จะวิ่งไปกินไอติมแล้วให้เจ้าของบ้านตามไปจ่ายตังค์ มันเป็นหมาที่ฉลาดมาก จึงเกิดเป็นความรู้สึกที่ประทับใจกับเจ้าปุ๋ยสุนัขแสนรักตัวนี้”
จุดเริ่มต้น “โลงศพแฟนซี”
เมื่อวันหนึ่งเจ้าปุ๋ย สุนัขตัวโปรดได้จากไป คุณบัวจึงเกิดความคิดที่จะทำกล่องใส่ร่างไร้วิญญาณให้แก่สัตว์เลี้ยงเพื่อนรักในวาระสุดท้าย ประกอบกับที่บ้านได้ทำตกแต่งภายในอยู่แล้ว จึงเกิดไอเดียที่จะทำสิ่งนี้ให้ด้วยความรัก จึงเป็นจุดเริ่มต้น และต่อมาได้ขยับขยายการทำกล่องโลงศพแฟนซีแสนสวยที่เห็นแบบนี้ขึ้นมา
“พอวันหนึ่งปุ๋ยตายไป จึงได้ทำกล่องใส่ตัวเขาให้ แต่ไม่มีสีแบบนี้นะ เป็นไม้ธรรมดา ก็นำมาตอกประกอบกัน ตรงนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มทำ พอจบการศึกษาก็มาทำงานตามปกติ จนกระทั่งปี 2546 มีโอกาสกลับมาช่วยงานที่บ้าน ช่วงนั้นหลังจากที่กลับมาทำงานที่บ้านจึงทำให้มีเวลาคิด ซึ่งตอนนั้นมีเพื่อนเปิดร้านอาบน้ำ ตัดขนหมาอยู่ จึงได้คุยกับเพื่อนด้วยว่าสนใจทำโลงหมาไหม? พอเราคุยกันก็เลยหาข้อมูล คือจะทำยังไงให้มันแตกต่างจากโลงคน ซึ่งมันจะมีสีเดิมๆ คือสีขาว สีดำ สีต่างๆ ที่เป็นลายเทพพนม คิดว่าจะทำยังไงให้มันแหวกแนวแตกต่างออกไปจากธรรมดา”
ดังนั้น คุณบัวจึงเกิดความคิดว่า ทำโดยใช้สีและแบบของลายเป็นตัวกำหนด เพื่อให้มันดูไม่เหมือนโลง เวลาคนที่มีสุนัขและวันหนึ่งสุนัขได้ตายไป คนเป็นเจ้าของก็เสียใจ แล้วมาเจออะไรที่เศร้าอีก มาเห็นโลงสีทึมๆก็ยิ่งทำให้หม่นหมองเข้าไปใหญ่ แต่พอมาเจอแบบและลายของเราที่ทำไว้อาจจะลดความเศร้า ความหม่นหมองลงได้ อันนี้จึงเป็นไอเดียเริ่มต้นที่คิดทำตรงนี้ขึ้นมา
ที่มาของ “บ้านหลังสุดท้ายของสุนัขตัวโปรด”
เมื่อได้ทำกล่องโลงแฟนซีขึ้นมาภายใต้สโลแกนประโยคหนึ่งของร้าน dog did doc ที่ว่า “บ้านหลังสุดท้ายของสุนัขตัวโปรด” ที่คุณบัว เจ้าของร้านได้ให้คำอธิบายว่า เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่าโลงศพ เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าใช้คำว่าโลง คนจะรู้สึกกลัว และถ้าใช้คำว่าบ้านหลังสุดท้ายจะดูซอฟต์ลงกว่า ดูอบอุ่น เพื่อให้ความรู้สึกที่ไม่น่ากลัวเกินไป
ส่วนที่มาของชื่อร้านนั้น แต่ก่อนได้ใช้ชื่อร้านว่า do did dog ผันเหมือนกิริยา 3 ช่อง do did done แต่ยังไม่ลงตัวก็เปลี่ยนเป็น dog did done เมื่อสรุปแล้วก็ลงความเห็นที่คำว่า dog did doc ซึ่งให้ความหมายในแต่ละคำว่า dog ก็คือสุนัข did คือทำ ส่วน doc มาจาก คำว่า doctor แปลว่า คนที่ทำเกี่ยวกับสุนัข ซึ่งคุณบัว บอกว่าเป็นคำทับศัพท์มากกว่า จากนั้นเลยกลายมาเป็น dog did doc จนถึงทุกวันนี้
จากการเริ่มต้นทำตอนนั้นของคุณบัว ซึ่งเป็นการทดลองทำดู เพราะเนื่องจากว่าทางบ้านได้รับทำเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งภายในอยู่แล้ว เครื่องมือเครื่องไม้ที่ใช้ทำจึงมีพร้อมและสามารถทำได้เลย ดังนั้นจึงไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย มีแค่การลงทุนเรื่องของไม้อัดที่ต้องสั่งซื้อเข้ามาใหม่เพื่อนำมาทำโลงสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ และเรื่องการโฆษณาที่ต้องทำในระยะแรกของการเริ่มต้นเปิดร้าน dog did doc ไม่ว่าจะเป็นค่าจัดทำเว็บไซต์ โฆษณา และโบรชัวร์ต่างๆ
“ช่วงแรกที่ลองทำ ก็ไม่คิดว่ามันจะมีผลตอบรับกลับมาที่ดีเหมือนกัน หลังจากที่เราทำอะไรเรียบร้อยแล้ว ในเรื่องของวัสดุสินค้า จากนั้นก็ไปโพสต์ในเว็บไซต์ขาย และมีเสียงตอบรับกลับมาที่ค่อนข้างจะโอเคนะ ซึ่งตอนแรกอาจจะยังไม่มีคนสั่งแต่มีคนให้ความสนใจ และที่ร้านของเพื่อนซึ่งเป็นร้านที่เกี่ยวกับสุนัข ให้บริการสำหรับสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว เราก็ฝากโบรชัวร์โฆษณาเขาไว้ด้วย”
ไอเดีย สี-แบบ-ราคาสินค้า
คุณบัว ซึ่งพื้นฐานเป็นคนชอบเรื่องเกี่ยวกับศิลปะอยู่แล้ว จึงมีความคิดและไอเดียใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ปรับเปลี่ยนแบบลายนู้นลายนี้ หยิบสิ่งนั้นมาผสมแบบนี้เพื่อให้ลงตัว และให้ได้แบบที่สวยงามและดีที่สุด เนื่องจากเป็นคนพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ผลงานที่ออกมาจึงเนี้ยบในทุกชิ้นงาน และทำด้วยใจรักจริงๆจึงไม่แปลกที่งานทุกชิ้นที่ผ่านมือคุณบัวจะเก็บรายละเอียดเรียบร้อย สวยงาม และมีคุณภาพ
“ไอเดียที่นำมาทำแต่ละชิ้นงานจะพยายามเน้นอะไรที่เราชอบ ซึ่งเป็นคนชอบสีหวานๆอยู่แล้ว และก็พอดีมีเพื่อนที่ทำกราฟฟิกดีไซน์ด้วย จึงไปขอคำแนะนำจากเขาด้วย งานที่ออกมาจึงเป็นสีที่ให้ความรู้สึกไม่ร้อนเกินไปและไม่เย็นเกินไป เป็นแบบกลางๆมากกว่า ซึ่งทำมาตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปี 2549 จนถึงทุกวันนี้เข้าปีที่ 4 แล้ว”
แบบของกล่องโลงแฟนซีที่ทำนั้น มีอยู่ 2 แบบหลัก คือแบบเหลี่ยมและแบบฝรั่ง ซึ่งแบบเหลี่ยมธรรมดานั้นลูกค้าจะเลือกมีลายหรือไม่มีลายก็ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ส่วนราคาก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละชิ้นงาน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและลวดลายที่เพนต์ลงบนกล่องโลงในแต่ละแบบ และขึ้นอยู่กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
แบบเหลี่ยมไม่มีลาย มีทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กสุดสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กน้ำหนัก 5-10 กิโลกรัม ราคา 1,000 บาท น้ำหนัก 10-25 กิโลกรัม ราคา 1,500 บาท และน้ำหนัก 25-50 กิโลกรัม ราคา 2,500 บาท
แบบเหลี่ยมมีลาย มีทั้งหมด 5 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กสุด มีน้ำหนัก 0-5 กิโลกรัม ราคา 1,300 บาท น้ำหนัก 5-10 กิโลกรัม ราคา 1,600 บาท น้ำหนัก 10-25 กิโลกรัม ราคา 2,600 บาท น้ำหนัก 25-50 กิโลกรัม ราคา 3,600 บาท และน้ำหนัก 50 กิโลกรัมขึ้นไป ราคา 4,600 บาท สำหรับสุนัขพันธุ์ใหญ่ อย่างเช่นโกลเด้น รีทรีฟเวอร์, เซนต์เบอร์นาร์ด และอัลเซเชียน เป็นต้น
แบบฝรั่ง มีทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กสุด มีน้ำหนัก 0-5 กิโลกรัม ราคา 1,600 บาท น้ำหนัก 5-10 กิโลกรัม ราคา 2,200 บาท และน้ำหนัก 10-25 กิโลกรัม ราคา 2,800 บาท ส่วนขนาดที่ใหญ่ขึ้นมานอกจากนี้ทางร้านไม่ได้ทำไว้ แต่ถ้าลูกค้าต้องการสามารถสั่งทำได้
และสีทั้งหมดที่ใช้ทำตัวสินค้า มีให้เลือก 7 สีด้วยกัน ได้แก่ สีชมพู (Pink) สีครีม (Cream) สีส้ม (Orange) สีมัสตาร์ด (Mustard) สีเขียว (Lime) สีเทอร์ควอยส์ (Turquoise) และก็สีน้ำเงิน (Blue) ส่วนเรื่องลวดลายนั้นมีการออกแบบ โดยการเอาเท้าสุนัขมาวาดลงบนหน้ากล่องโลงเพื่อให้ดูสดใส น่ารัก สวยงาม ซึ่งตอนนี้มีอยู่เพียงลายเดียว ดังนั้น ตามที่ลูกค้าสั่งจึงมีเปลี่ยนแค่เรื่องของสีเท่านั้น ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
มากกว่ากล่องโลงศพ
ในชุดหนึ่งจะมีแถมหมอนและพวงหรีดให้ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อกล่องโลงขนาดใดก็แล้วแต่จะมีแถมให้ไปด้วย คุณบัว เจ้าของร้าน บอกว่า สามขนาดแรกจะขายดีกว่าสองขนาดที่ใหญ่ขึ้นมา ซึ่งจะขายคละๆกันไป ราคาที่เราตั้งไว้นั้น ตามคุณภาพชิ้นงาน เพราะงานของเราจะเรียบร้อย และให้ความรู้สึกเหมือนกล่องใส่ของมากกว่าโลงศพ
“เราคิดเหมือนกับว่าเป็นคน คนเสียชีวิตไปซื้อโลงราคาเป็นหมื่นเป็นแสนเขาก็ซื้อ และสุนัขเขาก็เป็นเหมือนสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกันกับคนเพียงแต่ว่าเขาพูดไม่ได้เท่านั้นเอง คิดว่าคนที่รักสุนัขมากเหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัว เมื่อถึงเวลาที่เขาเสียไป เจ้าของเขาคงอยากทำอะไรให้เพื่อสุนัขตัวโปรดของเขา ไม่ว่าจะเป็นแมวหรือกระต่ายที่เขารู้สึกผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา วิถีชีวิตในแต่ละวันสัตว์เลี้ยงนั้นคลุกคลีอยู่กับเขา ฉะนั้นเมื่อเวลาสัตว์เลี้ยงตัวโปรดจากไปก็เหมือนกับคนในครอบครัวที่จากไป”
นอกจากนี้สินค้ายังมีกรอบรูปที่ใส่กระดูก และกล่องสำหรับใส่กระดูกแบบธรรมดา หลังจากที่นำสุนัขเผาเสร็จก็เอากระดูกมาใส่ไว้เหมือนกันกับคนที่เอาอัฐิมาเก็บไว้ ซึ่งจะมีให้เลือก 2 แบบคือ กล่องที่สำหรับใส่กระดูกและส่วนด้านหน้าสามารถเอารูปภาพของสุนัขตัวโปรดของคุณเจ้าของมาเสียบไว้ได้
กรอบรูปใส่กระดูก และกล่องใส่กระดูกแบบธรรมดานี้มี 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก ราคาจาก 400 บาท ตอนนี้มี โปรโมชันลดเหลือเพียง 350 บาท และขนาดใหญ่ ราคา 500 บาท (เกรดธรรมดา) ถ้าเป็นเกรดดีพิเศษ ขนาดเล็ก มีราคา 800 บาท และขนาดใหญ่ ราคา 1,200 บาท เนื่องจากสีที่ใช้พ่นมีคุณภาพที่แตกต่างกันกับเกรดธรรมดา จึงทำให้มีราคาไม่เท่ากัน
“สินค้าเกรดพิเศษ เราจะใช้เนื้อสีที่มีคุณภาพมากกว่า และมีเนื้อสีที่ละเอียดกว่า สังเกตจากชิ้นงานที่พ่นสีเรียบร้อยแล้ว จะมีความมันวาวมากกว่าชิ้นงานที่ใช้สีเกรดธรรมดาพ่น ดังนั้นเกรดสีที่ใช้จึงคนละอย่างกัน จึงทำให้ราคาแตกต่างกันด้วย”
ทั้งนี้ขนาดกล่องที่ใส่กระดูกขึ้นอยู่กับจำนวนของกระดูกว่ามากน้อยเท่าใดก็สามารถเลือกซื้อใส่ตามจำนวนที่ต้องการเก็บไว้ “สุนัขพันธุ์เล็กก็ใส่ขนาดเล็ก คือการเก็บกระดูกบางคนก็เก็บไว้ทั้งหมด แต่บางคนก็เก็บไว้เพียงบางส่วน ส่วนหนึ่งอาจเอาไปลอยอังคาร ส่วนหนึ่งเก็บไว้ ส่วนใหญ่จึงทำขนาดเล็กเพราะจะเก็บได้ง่ายกว่าไม่เปลืองเนื้อที่และทางร้านจะขายขนาดเล็กได้ดีกว่าขนาดใหญ่”
เท่านี้ยังไม่พอ ด้วยความที่คุณบัวเป็นคนใส่ใจในทุกรายละเอียดเกี่ยวกับสุนัข สินค้าที่ทำมาจึงสนับสนุนความรู้สึกดีๆที่มีต่อสุนัขตัวโปรดของคนรักสัตว์ ป้ายหน้าหลุมฝังสุนัข จึงได้ทำขึ้นมาสำหรับคนที่ไม่ต้องการเผา ซึ่งแบบและรูปภาพที่ใช้ลูกค้าสามารถสั่งทำได้ ซึ่งทางร้าน dog did doc จะรับเป็นออเดอร์ในแต่ละชิ้นงานเป็นกรณีๆไป
อีกทั้งถ้าลูกค้าคนไหนสะดวกที่จะเผามากกว่าฝัง ทางร้าน dog did doc รับปรึกษาสถานที่เผาด้วย “มีวัดที่รับเผาสุนัขโดยเฉพาะ คือวัดคลองเตยใน อยู่แถวท่าเรือคลองเตย ก็มีลูกค้าโทร.เข้ามาปรึกษาเรื่อยๆ เราก็บอกขั้นตอนการทำไป บางทีเขาไม่รู้เมื่อสุนัขเขากำลังจะตาย ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป อย่างไร เราก็ให้ข้อมูลไปถึงแม้ว่าจะไม่ซื้อสินค้าก็ไม่เป็นไร”
เมก ทู ออเดอร์
ลูกค้าที่เข้ามาสั่งทำสามารถเลือกออกแบบลายเองได้ ซึ่งลูกค้าบางคนอาจชอบทรงแบบฝรั่งก็สามารถเลือกได้หรืออาจจะสั่งทำ เพิ่มเติมแบบและลายส่วนไหนก็สามารถบอกทางร้านได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 3 วัน สินค้าก็จะได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
“ลูกค้าที่เข้ามาซื้อส่วนใหญ่จะรู้จากสื่อทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ที่ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้มาตลอด และจากเว็บไซต์ที่เจ้าของทำขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ขายได้เรื่อยๆเฉลี่ยประมาณ 10 กล่องต่อเดือน พร้อมบริการจัดส่งถึงที่ โดยคิดค่าบริการขึ้นอยู่กับระยะทางที่ส่ง ถ้าเป็นละแวกใกล้ร้าน ประมาณ 100-200 บาท”
ถือได้ว่าเป็นงานประดิษฐ์ด้วยใจรักอย่างหนึ่งที่ทำออกมาเป็นธุรกิจแห่งแรกในไทย ซึ่งคุณบัว บอกว่า มีคนเลียนแบบบ้างแล้ว แต่มีแบบและสีที่ธรรมดาคือเป็นแบบสีขาวๆ ทั้งนี้ทางร้าน dog did doc ได้มีการจดลิขสิทธิ์ไว้แล้วเพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ ซึ่งเจ้าของขอคอนเฟิร์มว่าสินค้าของเราจะทำอะไรที่แหวกแนวไม่เหมือนของคนอื่น จุดขายจึงเป็นสีสันที่ใช้ทาลงบนกล่อง ทำให้ดูแตกต่างจากคนอื่น และอีกอย่างหนึ่งวัสดุที่ใช้ทำสินค้านั้น ทำมาจากเยื่อหรือเศษไม้จากต้นสน ต้นยูคาลิปตัส และชานอ้อย แล้วนำมาย่อยเพื่ออัดเป็นแผ่น ดังนั้นจึงไม่ต่างกับกระดาษ และสามารถรักษามลพิษของโลกได้ ซึ่งทุกอย่างจะทำจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด และวัสดุที่ใช้ทำกล่องโลงศพเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็จะย่อยสลายตามกาลเวลาแม้กระทั่งหมอน ก็ทำมาจากกระดาษด้านในจะใส่ขี้เลื่อยของไม้ ส่วนพวงหรีดทำมาจากไม้หวายดัด ประดับด้วยดอกไม้กระดาษหลากสีสวยงาม
คนรักงานศิลปะอย่างคุณบัว บอกได้เลยว่าต้องทำด้วยใจรักจริงๆ นอกจากจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อวาระสุดท้ายของสัตว์โลกแล้ว จนเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของการทำเป็นธุรกิจนี้ขึ้นมา และตัวสินค้ายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษามลพิษแวดล้อมของโลกอีกด้วย
ร้าน dog did doc ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 559 ซ.อ่อนนุช 17 แยก 16 กรุงเทพฯ ถ้าใครสนใจสินค้าหรือต้องการสอบถามรายละเอียด คุณบัว ยินดีรับปรึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของคุณ สามารถติดต่อได้ที่ dog did doc โทร. 089-222 4426 อีเมล : dogdiddoc689@yahoo.com หรือทางเว็บไซต์ : www.dogdiddoc.com
ข่าวโดย M-lite / ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี / ร้าน dog did doc