หนุ่มหล่อหน้าใส หมอก้อง หรือ สรวิชญ์ สุบุญ พระเอกละครช่อง 3 ที่ตอนนี้คิวงานเต็มเอี๊ยดครบ 7 วัน ทีมงาน m-open จึงต้องขอแทรกเวลางานจับมานั่งพูดคุยกันแบบประชิดตัวถึงหน่วยแพทย์ ที่ทำงานของหมอก้องนั่นเอง วันนี้คุณหมอหนุ่มมาในชุดเสื้อกาวน์สีขาวแขนสั้น พร้อมปฏิบัติหน้าที่แพทย์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่ในชุดไหนก็ดูดีไปหมด ความเป็น “หมอก้อง” วันนี้ เหมือนเอาสองบุคลิกมาอยู่รวมกันในร่างเดียว ในมุมหนึ่งก็ดูเนี้ยบ น่าเชื่อถือ ส่วนอีกมุมหนึ่งก็ดูเท่ สมาร์ท ตามแบบฉบับหนุ่มหล่อ อารมณ์ดีฟอร์มพระเอกละครไทย
หลายคนคงอยากรู้จักตัวตนเบื้องลึกของหมอก้องกันแล้วใช่ไหม? วันนี้ทีมงาน m-open จะพาคุณมาสัมผัสในอีกมุมหนึ่งของคุณหมอนักแสดง อะไรกันนะ? ที่ทำให้คนมีความสามารถอย่างหมอก้องที่ทั้งเก่งและหล่ออย่างนี้ มายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ แต่ขอคอนเฟิร์มก่อนเลยว่า คนคนนี้มีอะไรมากกว่าเป็นหมอแน่ๆ
เก่งแต่เด็ก
หมอก้องถือได้ว่าเป็นดาราที่ติดอันดับเรียนเก่งอีกคนหนึ่งในวงการบันเทิง ด้วยการคว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้าฯ เกรดเฉลี่ย 3.51 แค่นี้ก็การันตีเลยว่า หมอก้องคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หมอก้องมีแววเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก และทางครอบครัวปลูกฝังอยู่เสมอว่า โตขึ้นจะต้องเป็นหมอ
“พฤติกรรมตอนเด็ก ทั้งแซบ ซน ซึ่งเราเป็นเด็กต่างจังหวัด มาจากจังหวัดลพบุรี วิถีชีวิตของเด็กต่างจังหวัด มันไม่ได้เร่งรีบอะไรมากนักเหมือนเด็กกรุงเทพฯ ไม่ต้องเป๊ะเรื่องเวลามาก ก็ทำให้มีเวลาเล่นกับเพื่อนฝูงเยอะ แต่ตอนเด็กเรื่องเรียนนี้ที่บ้านปลูกฝังอยู่แล้วว่าจะต้องตั้งใจ เล่นส่วนเล่น แต่เรื่องเรียนนี้ต้องเต็มที่ ตอนเด็กเหมือนกับว่า เราถูกกรอกหูว่าโตมาจะต้องเป็นหมอ หรือไม่ก็วิศวะ ซึ่งเป็นค่านิยมของคนต่างจังหวัดที่ว่าอยากให้ลูกเป็นหมอ ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้มีความคิดอยากเป็นหมอตั้งแต่แรก เพิ่งมาคิดเมื่อตอนโตแล้ว”
จากที่เป็นเด็กต่างจังหวัดมาตลอด จนถึงมัธยมปลายได้เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพ ทำให้เขาต้องเรียนรู้กับสังคมใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตการเรียน “ในตอนเด็กที่เรียนในต่างจังหวัด คงเทียบกับเด็กที่เรียนในกรุงเทพไม่ได้ ในต่างจังหวัดเราก็ถือว่าเราแน่ที่สุดแล้ว แต่ด้วยความที่คิดว่าแน่ที่สุดในต่างจังหวัด พอมาเทียบกับในกรุงเทพ มันก็ต้องยอมรับว่าเทียบกันไม่ได้ ถ้าถามว่าตอนนั้นเรียนเก่งไหม ก็สอบได้ที่ 1 หรือไม่ก็ 2 สลับกันมาตลอด ตอนนั้นเรียนประถมและมัธยมต้นที่ จ.ลพบุรี ถึง ม.3 พอ ม.4 ก็มาสอบเข้าเตรียมอุดมฯ เราก็คิดว่าเราเจ๋งมาตั้งแต่แรก พอเรามาสอบที่เตรียมฯ มาครั้งแรกทำให้เรารู้เลยว่า กบอยู่ในกะลามันเป็นยังไง และหลังจากนั้นก็เลยหันมาตั้งใจเรียนอีกครั้งหนึ่ง จนจบ ม.6 ที่เตรียมอุดม ต่อมาเอนทรานซ์เข้าแพทย์พระมงกุฏ และเรียนจบที่นี่ ซึ่งตอนแรกที่เราจบเป็นหน่วยทหารบก แล้วต้องไปเลือกลงว่าต้องลงที่ไหน ปีแรกที่เป็นหมอใช้ทุนไปลงที่ จ.ปราจีนบุรี โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ คือต้องไปโรงพยาบาลที่เป็นค่ายทหาร ไปใช้ทุนอยู่ 1 ปี ก็ย้ายมาหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งขึ้นอยู่กับกองบัญชาการกองทัพไทย”
เริ่มเข้าวงการ
หมอก้องยังไม่ทันเรียนจบแพทย์พระมงกุฏฯ แวดดาราก็ส่องแสงให้ต้องเข้ามาสู่วงการบันเทิงโดยไม่ทันตั้งตัว การประกวด male star challenge ถือได้ว่าเป็นเวทีแรกที่เปิดตัวหมอก้องให้เขาได้ยืนอยู่ในวงการจนถึงทุกวันนี้
“เข้ามาเมื่อตอนเรียนแพทย์ที่พระมงกุฏ ปี 6 ตอนนั้นช่อง 3 เขามีประกวดรับสมัครหานักแสดงชายหน้าใหม่ และมีพี่คนหนึ่งที่รู้จักกัน เขาได้ส่งโปรไฟล์ไปให้ สมัครให้เราเรียบร้อย ซึ่งพี่คนนี้เขาทำงานในวงการด้วย เขาก็พยายามให้เรามาลองงานดู ปรากฎว่าเราได้เข้ารอบ และสอบสัมภาษณ์ก็เข้ารอบ แต่ตอนสุดท้ายงานแข่งไม่เสร็จเพราะเซ็นทรัลเวิร์ลถูกวางระเบิดเสียก่อน ทางทีมที่จัดงานก็เลยยุติการประกวด พอประกวดไม่เสร็จเขาก็เลยรับผิดชอบเรา โดยการมาให้เข้าคลาสเรียนแอ็กติ้ง พอเรียนเสร็จปุ๊บก็ออดิชัน แล้วผ่านเข้ามา จึงได้เซ็นสัญญากับทางช่อง 3
พอเข้าวงการมาก็เริ่มแสดงละครเป็นงานแรก เรื่องพริกไทยกับใบข้าว ตอนนั้นยังได้บทที่ไม่เยอะมาก แสดงเป็นหมอศักดินา ตอนแรกจะรับเป็นงานละครทั้งหมด ต่อมาก็เป็นงานพิธีกรรายการบันเทิงของช่อง 3 และรายการ ทรีฟอร์ยู ซึ่งทำอยู่ช่วงหนึ่ง มาช่วงนี้ไม่ได้ทำเพราะไม่มีเวลา”
ร่วมงานกับหน่วยแพทย์ พอ.สว.
เมื่อได้เข้าวงการในสังกัดช่อง 3 หมอก้องจึงมีโอกาสได้รับงานละคร งานพิธีกร และงานโฆษณา และเมื่อได้เข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาของแบรนด์ เมื่อถามถึงเรื่องนี้ หมอก้องเล่าด้วยรอยยิ้มกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตการทำงานในวงการบันเทิง
“แบรนด์ได้ติดต่อมาให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตอนแรกตกใจเลยว่าเราไปอยู่ในข่ายของคนที่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์เขาได้ยังไง จนนานกว่าที่เราจะตกลงกันได้ว่าจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เขา มีการเรียกเข้าไปคุย ทำโปรไฟล์เสนอหลายรอบมาก เขาเช็กประวัติเราละเอียดยิบมาก โดยเฉพาะเรื่องเรียน และมีเรียกไปคุยกับทางผู้บริหารหลายท่าน จนเราเริ่มรู้สึกว่ามันเยอะเกินไปรึเปล่า เขาคงรู้สึกได้ว่าเรารู้สึกแบบนี้ เขาบอกว่าขอโทษนะคะ แต่มันจำเป็นจริงๆเพื่อภาพลักษณ์องค์กร ครั้งสุดท้ายเราเคยถอดใจเลยว่า ไม่เอาแล้วก็ได้นะ เพราะเราก็รู้สึกว่าถ้ามันเยอะขนาดนี้ เราถอยก็ได้ ไปหาคนอื่นที่เหมาะสมกว่าเราก็ได้ เพราะคนก่อนที่จะเป็นเรา ก็เป็นพี่วนิษา เรซ พี่เขาดูแบบว่าอัจฉริยะตั้งแต่เกิดมาก และก็เป็นพี่เอก ชมะนันท์ เขาก็ดูดีมาก แต่ละคนดูไม่ธรรมดาเลย แล้วเราล่ะจะไปยืนอยู่ตรงนั้นได้เหรอ
พอตอนสุดท้าย เขาก็บอกว่า หมอก้องมั่นใจได้เลยนะว่า หมอก้องไม่ใช่ไม่มีอะไร และเขาก็เอาเล่มโปรไฟล์ที่เราทำไปยื่นมาให้ และบอกว่าจะมีสักกี่คนที่มันหนาขนาดนี้ (หัวเราะ) มันดีอ่ะ ทำได้ยังไง? เราก็บอกว่า แต่ผมไม่เคยรู้สึกเลยนะว่าผมเป็นจีเนียส เขาก็บอกว่ารู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่สน แต่สิ่งที่คนอื่นมอง กับสิ่งที่มันเข้ากับผลิตภัณฑ์ มันไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นจีเนียสเลย แต่ว่าเป็นคนที่เป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้ หรือว่าเป็นคนที่มีความพยายาม มีความคิดที่ดี และเป็นคนที่ดูแลตัวเอง ก็เข้ากับผลิตภัณฑ์ได้แล้ว จากนั้นเราจึงได้ร่วมงานกับแบรนด์
หมอก้องได้รับอะไรจากแบรนด์? อย่างหนึ่งปฏิเสธไม่ได้นั้นคือเรื่องผลตอบแทน คือ จำนวนเงิน แต่ก็ไม่ได้เยอะเลย แต่มันได้ภาพลักษณ์ ได้จริงๆว่ามันทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นว่า ณ วันนี้ เขาเลือกเราแล้ว ไม่ใช่ว่าเราไม่มีอะไร แต่เรามีอะไรนะ แต่สิ่งที่ทำให้เราภาคภูมิใจก็คือ แบรนด์ได้ให้อะไรกับสังคมเยอะมาก จากกิจกรรมที่เราไปร่วมกับเขา เรารู้สึกดีมาก มีโครงการต่างๆของแบรนด์ ที่เราได้ไปเป็นวิทยากร เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ผลิตที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว แต่เขาคืนอะไรดีๆให้กับสังคมด้วย โดยเฉพาะแพทย์อาสา พอ.สว. เขาก็เป็นผู้สนับสนุน และก็ทำให้ผมได้มีส่วนร่วมกับ พอ.สว.ที่เราได้ใฝ่ฝันมาตั้งแต่สมัยเรียนว่า ครั้งหนึ่งนะเราต้องเข้าไปร่วมกับ พอ.สว.ให้ได้ สิ่งนี้จึงทำตามความฝันของเราให้เป็นจริง”
เป็นทั้งหมอและนักแสดง
กว่าจะจองคิวนัดสัมภาษณ์หมอก้องได้ ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนเลยทีเดียว เพราะตารางงานของคุณหมอเต็มทั้ง 7 วัน คือไม่มีวันไหนว่างเลย และเมื่อได้พูดคุยกัน จึงไม่พ้นกับคำถาม ทำงานทุกวันไม่เหนื่อยเหรอค่ะ? “ผมเป็นคนไฮเปอร์ อยู่เฉยไม่ได้ ทำงาน 7 วัน ก็บ่นนะครับ เหนื่อยๆๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ทำ 7 วัน รู้สึกไม่มีอะไรทำ เราต้องหาอะไรทำตลอดเวลา การเป็นนักแสดงกับการเป็นหมอ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมเป็นหมอ 3 วัน ผมก็เบื่อแล้ว ก็ต้องหาอะไรทำ แต่พอเข้ากองถ่าย 3 วันก็เบื่อเหมือนกัน อยากจะกลับมาตรวจ คือมันเป็นหน้าที่ของเราทั้งสองอย่างนะครับ เป็นหมอมันเป็นเราไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ วันหนึ่งที่เราต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจริงๆ เราก็ต้องกลับมาเป็นหมอ เพราะการแสดงมันก็เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่เราสนุก ตอนนี้เรายังสนุกกับการค้นหาศาสตร์แขนงนี้อยู่ และการทำงานด้านนี้อยู่
งาน 2 อย่างนี้ เราให้ความสำคัญ และตั้งใจมาก และพยายามทำให้ดีที่สุด เราจะแยกงานทั้งสองอย่างนี้อย่างชัดเจน มีการแบ่งเวลางานเพื่อไม่ให้ชนกัน แต่ก็มีบ้างโดยเฉพาะช่วงนี้ ที่กองถ่ายขอคิวมาแล้วมันมาทับกับตารางเวรเรา เราก็บอกว่าเราอยู่เวร ออกไม่ได้จริงๆ เราก็พยายามแลกเวรกับเพื่อน กับรุ่นพี่ ซึ่งวันไหนที่ทำไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้ บางทีมันกระทบเพื่อนร่วมงานด้วย รู้สึกว่ามันไม่ดี เหมือนเราเป็นคนไม่รับผิดชอบ จึงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ”
เรียนรู้จาก 2 บทบาทที่แตกต่าง
เห็นได้ว่าทั้งสองอาชีพของหมอก้อง ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่าเป็นคนละบุคลิกกันเลย แต่ในความแตกต่างนั้น ทำให้หมอก้องได้เรียนรู้ในแต่ละอาชีพที่ได้ทำ
“อาชีพแรกที่เราเป็นหมอ แม้ตอนแรกไม่ได้พุ่งเป้าว่าอยากเป็น แต่พอมาเรียนแล้ว มันซึบซับและมันเป็นเราไปแล้ว ทุกอย่าง ทุกความคิดของเราตอนนี้เป็นหมอ แต่การเป็นนักแสดง ตอนแรกมันเป็นความอยาก เหมือนเด็กที่ได้เล่นของเล่นใหม่ แต่พอได้เข้าไปคลาสแอ็กติ้งครั้งแรก มีพี่ดุ๊ก ภาณุเดช สอนเรื่องศาสตร์การแสดง ทำให้เราแยกออกชัดเจนเลย ระหว่างคำว่า ดารา กับ นักแสดง นักแสดงคืออาชีพอีกอาชีพหนึ่งเลย สามารถเลี้ยงชีวิตได้จนวันตาย ถ้าคุณเป็นนักแสดงจริงๆที่ไม่หลงทาง เพราะว่าอาชีพนี้ต้องใช้ความสามารถมาก ใช้ความรู้ระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน ทำให้เราใจเย็น เพราะมันมีการวิเคราะห์ตัวละครในบทสนทนา ซึ่งตัวละครในแต่ละตัวมีปูมหลังที่แตกต่างกันออกไป มันทำให้เราเรียนรู้ไปในตัวเลยว่า คนเราไม่เหมือนกัน ที่มีที่ไปของคนเราไม่เหมือนกัน การที่วันนี้เราไม่พอใจในคำพูดของคนๆนี้ อยู่ๆเขาไม่พูดแบบนี้หรอก แต่มันมีเหตุผลที่ทำให้เขาพูดแบบนี้ เราต้องมาวิเคราะห์ต่อว่ามันคืออะไร คือคนเรามันลึก มันมีมิติ มันมีหลายด้าน มีที่มาที่ไป มีปูมหลัง อะไรที่ทำให้คนทะเลาะกัน คนเรามีเหตุผลตลอด เพียงแต่ว่าสองฝ่ายจะรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งไหม มันจึงเป็นศาสตร์ที่ทำให้เราได้ฝึกสมาธิ และทำให้เราเปลี่ยนตัวเองได้”
เมื่อถามว่าอยากทำงานเบื้องหลังไหม? หมอก้องตอบทันทีเลยว่า ตอนเรียน ม.ปลาย อยากเข้าคณะนิเทศ จริงแล้วอยากทำงานเบื้องหลัง เพราะเราดูละครมาตั้งแต่เด็กๆ จนวันนี้เราเก็บรายละเอียดละครได้เยอะมาก บางคนคิดว่า จำได้ไง? แล้วเรารู้สึกว่าอยากทำละครให้ได้ดี โดยเฉพาะช่วงนี้ ซีรีส์เกาหลีมาแรงเหลือเกิน รู้สึกว่าจริงๆบุคลากรเราไม่แพ้เกาหลีเลยนะ และโปรดักชันที่ทำได้ก็ไม่แพ้นะ แล้วมันอยู่ที่องค์ประกอบอะไรล่ะ? อย่างหนึ่งมันอยู่ที่ตัวเรา เราต้องพยายามแอ็กทีฟ และทำตัวเองให้ดีก่อน คือสินค้าจะดีไม่ได้ถ้าเกิดวัตถุดิบมันไม่ดี วัตถุดิบมันต้องดีก่อน แล้วเรื่องอุตสาหกรรมมันจึงค่อยตามมา คิดว่าวันหนึ่งเราคงมีละครไทยฟีเวอร์ได้บ้าง
มุมมองความรัก
เห็นทำแต่งาน งาน งาน อยากรู้จริงๆ ว่าความรักในแบบฉบับของหมอหนุ่มหล่อคนนี้จะเป็นยังไง คงเป็นคำถามที่ยากสำหรับหมอก้องเพราะต้องใช้เวลานั่งคิด ซึ่งต่างจากคำถามที่ผ่านมา หมอก้องตอบแบบอัตโนมัติทันทีทันใด แต่สุดท้ายแล้วก็ได้ความคิดที่ตกผลึกในมุมมองความรักตามแบบของหมอก้อง
“ความรักมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราอภัยให้กันได้ ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่ถ้าเรามีพื้นฐานในเรื่องความรักมันก็จะสามารถอภัยให้กันได้ และมันก็จะไม่มีปัญหา ไม่มีเรื่อง สังคมสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นสังคมระดับไหนก็ตาม สังคมของคนรักสองคนเมื่ออภัยให้กันก็สงบ ใหญ่ขึ้นมาหน่อยเป็นครอบครัว คนเยอะขึ้นมาอภัยให้กันก็สงบ ใหญ่ระดับประเทศชาติอภัยให้กันก็สงบ แต่มันไม่ใช่ว่าถ้ามีความรักต้องให้อภัย ไม่ให้อภัยแปลว่าคุณไม่รัก มันไม่ใช่ตรรกศาสตร์แบบนั้น ความรักจึงเป็นความรู้สึกที่ดีๆ ต่อกัน ไม่เกลียดกัน เมื่อคนเราไม่เกลียดกัน มันพร้อมที่จะพูดคุย พร้อมที่จะให้เหตุผล พร้อมที่จะรับฟังทุกอย่าง เมื่อคนเราเกลียดกันแล้ว หูก็จะปิด พูดอะไรออกมา มันก็จะไม่รับฟัง
แล้วสเปกของหมอก้องล่ะ? สเปกของผมมันจะเป็นรสนิยมมากกว่า คือชอบผู้หญิงตัวเล็กๆอะไรประมาณนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยแล้ว มันก็หายไป (หัวเราะ) คือถ้าเจอแล้วสะดุด มีแอบมองบ้าง แต่คิดว่าคนที่จะมาอยู่กับเราต้องเข้ากับเราได้ด้วยนิสัยมากกว่า
ประวัติ : รท.นพ.สรวิชญ์ สุบุญ (ก้อง)
วัน/เดือน/ปีเกิด : 8 ธันวาคม 2526
ส่วนสูง-น้ำหนัก : 180 ซม./ 68 กก.
การศึกษา : ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น- ร.ร.สาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี จ.ลพบุรี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย- ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ และจบการศึกษาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฏเกล้า
อาชีพ : เป็นแพทย์ทหารทั่วไป สังกัดกองตรวจโรค หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย, พิธีกร, นักแสดง
ผลงาน : งานพิธีกร- สีสันบันเทิงสด, ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่, ทรีฟอร์ยู ซิตคอม- มหาชนชาวแฟลต, ยมโลกโซไซตี้, น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์, แสนแสบ นักสืบผีสิง, สัมผัสพิศวง งานละคร- ดาวจรัสฟ้า, พริกไทยกับใบข้าว, เทวดา...สาธุ, จำเลยกามเทพ, วิวาห์ว้าวุ่น, วนิดา, 4 หัวใจแห่งขุนเขา, ชื่นชีวานาวี, เจ้าสาวผมไม่ใช่ผี งานโฆษณา-แบรนด์ซุปไก่สกัดชนิดเม็ด, ยาสีฟัน สปาร์คเคิล ไวท์
ข่าวโดย M-lite / ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พงษ์ศักดิ์ ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพจาก
sanook, instyle และ siamdara