สาวเซ็กซี่ เปรี้ยว ซ่า ย้อมผมสีทอง ดวงตาคมกริบด้วยอายไลเนอร์สีดำ สวมแจ็กเกตยีนส์ กางเกงรัดรูปลายเสือ รองเท้าส้นสูงปรี๊ด แน่นอนว่าถ้าไม่รู้จักหลายคนต้องคิดว่าเธอแรง แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกับตัวตนของ 'มิวค์กี้ - ธญา ศุภกิจจารักษ์' สาวแสบซ่าเสียงแหบเสน่ห์ แร็ปเปอร์แห่งวง G20 บอกได้คำเดียวว่าตัวตนของเธอนั้นตรงกันข้ามกับภาพที่เห็นอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าเธอจะออกตัวว่าไม่ใช่คนที่ธรรมะจ๋า แบบที่ต้องนั่งสมาธิ หรือเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่เธอมีมุมมองในการใช้ชีวิตที่น่าสนใจ เธอชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญา และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดี เรามารู้จักตัวตนอีกมุมหนึ่งของสาวเปรี้ยวผมทองคนนี้ กับปรัชญาที่ให้ความสุข และทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
'ตัวตน' เป็นสาวคิดบวก
มองภายนอกเธอเป็นสาวเปรี้ยว แรง ซ่า ใช้ชีวิตสนุกสนานเต็มที่แบบสาววัยรุ่นทั่วไป กิน เที่ยว ปาร์ตี้ ดูหนัง ฟังเพลง แต่งตัว บางครั้งเธอยอมรับว่าเธอเป็นคนที่ออกนอกกรอบด้วยซ้ำ แต่เธอต่างจากคนอื่นตรงที่เธอเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิต และไม่ว่าจะเดินออกนอกเส้นอย่างไร เธอจะกลับมาอยู่ในเส้นได้ทุกครั้ง
"บางคนไม่คิดว่าเราจะมีมุมแบบนี้ อาจจะคิดว่าเราดูเป็นวัยรุ่นทั่วไป บางคนก็มองว่าแรง เราก็เป็นเหมือนวัยรุ่นคนหนึ่ง เป็นคนออกนอกกรอบด้วยซ้ำ เพราะเราคิดว่าอายุของเราในวัย 21 อย่างนี้ เราต้องรู้ เราต้องทำ ถ้าเป็นเส้นตรงเราเป็นคนออกนอกลู่ตลอด แต่กลับมาอยู่ในเส้นตลอด เวลาออกรู้ว่าเราออก แต่เราขอแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวเรากลับมา บอกเลยว่าเราไม่ใช่คนดี เรียบร้อย หรืออยู่ในร่องในรอย แต่เราบอกพ่อแม่ทุกอย่าง ว่าเราเป็นยังไง เราใช้ชีวิตอย่างไร พ่อแม่รู้ทุกอย่าง เขาจะคอยดู และเป็นกำลังเสริม
เวลาส่วนใหญ่จะชอบดูหนัง ฟังเพลง เขียนเพลง อ่านหนังสือ อยู่กับเพื่อน หัวเราะกับเพื่อน มีความสุขกับทุกอย่าง พ่อเรียกมิวค์ว่านักเสพความสุข อะไรที่เป็นทุกข์ไม่ทำ พ่อเรียกเราอย่างนี้ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ตอนนี้เรายอมรับแล้ว เพราะเราทำทุกๆ อย่างตั้งแต่ตื่นมา ไม่มีอะไรที่มันขัดแย้งกับตัวเอง หรือมีอะไรที่มันฝืนใจเลย ทุกอย่างมันเป็นความสุข อะไรที่มันผ่านมาให้รู้สึกทุกข์ เปลี่ยนให้มันเป็นโพสซิทิฟแล้วยังคิดให้สุขได้อีก มันก็ไม่มีอะไรทุกข์
ถ้าทั้งปีไม่มีเรื่องอะไรเลยนะ แล้วมีวันหนึ่งมีเรื่องที่แย่สุดๆ แล้วคิดว่าทำไมมันแย่แบบนี้เราจะคิดว่า บ้า! ใครจะไปสุขทั้งปี คนเราก็ต้องมีทุกข์บ้าง อย่างเรื่องทำงานในวงการ กดดัน เครียด เราแค่ปรับมุมคิดนิดหนึ่งบางทีมันหายเลยนะ ถ้าเราเจอเรื่องแย่ๆ เราจะนึกถึงประโยคหนึ่ง God send something for the reason คือพระเจ้าส่งอะไรมาเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง วันนี้เราเจอเรื่องร้ายๆ เราก็คิดว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรล่ะ ถ้าวันพรุ่งนี้เราคิดได้ เราเข้มแข็งขึ้นนั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องนั้น”
ความรักไม่มี 50/50
ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญา ธรรมะ บางครั้งเธอก็นำประโยคดีๆ ที่ได้จากการอ่าน มาปรับแต่งใช้ในการทำงานเพลงด้วย
“เราเป็นคนชอบอ่านโค้ด คำคม ประโยคเด็ดๆ บางประโยคที่อ่านเจอแล้วเรารู้สึกดี ก็เอามาแต่งเป็นเพลงได้ อย่างเช่น ประโยคที่อ่านเจอ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็แปลว่า จะรักก็รัก จะเกลียดก็เกลียด เพราะในความรักมันไม่มี 50/50 หรอก เราก็คิดว่ามันเป็นธีมเพลงได้นะ ฟิฟตี้ ฟิฟตี้ มันเล่นไปได้เรื่อยๆ บางทีเราอ่านหนังสือธรรมะแบบซีเรียสๆ เรากลับได้ไอเดียที่มันสนุก อาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนสนุกๆ เวลาอ่านอะไรซีเรียสเราก็เอามาตีความให้มันสนุก เอามาทำงานเพลง หรือเอามาคิดทำอะไรต่อไปได้ เป็นคนที่ชอบทำอะไรท้าทาย อยู่กับอะไรที่น่าเบื่อไม่ได้
หนังเรื่องไหนดูแล้วประทับใจเราเสิร์ชหาบทเลย แล้วเราจดบทนั้นลงไดอารี่ เพราะเราอินมาก ชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญา เป็นแนวที่สามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ แต่เราไม่ได้อ่านเพราะมีทุกข์ หรือมีปัญหาอะไรถึงเข้าหาธรรมะ แต่เป็นเพราะเราสนใจมากกว่า ชอบอ่านหนังสือของ 'อาจารย์ไดซาขุ อิเคดะ' เป็นนักคิด นักเขียน นักการศึกษา และประธานกิตติมศักดิ์สมาคมสร้างคุณค่า หรือ โซคา งักไก ท่านจะเขียนหนังสือปรัชญาของชาวญี่ปุ่น เป็นแนวชีวิต มีทุกเรื่องเลย มีเรื่องชีวิตวัยรุ่น ผู้หญิง ที่บ้านนับถืออาจารย์มาก เอารูปมาติด
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าเราอ่านหนังแนวปรัชญาเพราะเรามีปัญหา มันไม่ช่วยนะ เหมือนคนมีปัญหาแล้ววิ่งไปสวดมนต์ หรือตักบาตร มันไม่ช่วย มันต้องเป็นไปตามที่เรารู้สึกจริง ที่อยากจะรู้ อยากอ่าน แล้วจึงอยากทำ”
นับถือพุทธนิกายมหายานตามคุณแม่
เนื่องจากที่บ้านนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน คือเป็นนิกายที่ญี่ปุ่นนับถือ เธอจึงนับถือนิกายนี้ตามคุณแม่ มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนแรกเธอไม่สนใจสวดมนต์ หรือทำกิจกรรมเพราะคุณแม่บังคับ แต่พอเธอเริ่มโตขึ้น เริ่มมีเป้าหมายในชีวิต เธอจึงเริ่มสวดมนต์ และเข้ากิจกรรมตามคุณแม่ เริ่มอ่านหนังสือ ศึกษาเพิ่มเติม จึงเห็นประโยชน์ และนำคำสอนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
"หนูนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน เพราะครอบครัวนับถือตั้งแต่แรกแล้ว เป็นพุทธที่เป็นภาษาญี่ปุ่น ตอนเด็กก็รู้แค่นั้น แต่พอโตมาก็มีการศึกษาเพิ่มเติม มีออกไปฟังธรรม อ่านหนังสือ คนไทยจะมีสมาคมชื่อ 'สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย' เป็นสถานที่คล้ายๆ กับไปโบสถ์ มีกิจกรรมร้องเพลง เล่นเกม คุยกัน แยกออกมาเป็นเด็กเล็ก ยุวชน ผู้ใหญ่ แล้วก็แยกชาย หญิง จริงๆ เราต้องเข้ากลุ่มยุวชน แต่เราจะชอบเข้ากลุ่มผู้ใหญ่กับแม่ เพราะรู้สึกว่ายุวชนเด็กเกินไปสำหรับเรา ถ้ามีเวลาว่างก็จะเข้าทุกเช้าวันพุธกับแม่ เขาจะสอนเรื่องการใช้ชีวิตในบ้าน ทั้งการออกไปทำงานและการดูแลที่บ้าน
ตอนแรกเราไม่สนใจเลย เพราะแม่จะบังคับให้สวดมนต์เยอะๆ เจอหน้าปุ๊บก็จะบอกว่าสวดมนต์เยอะๆ นะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น หาหนังสือธรรมะมายัดเยียดให้เราตั้งแต่เด็ก และเราก็ปฏิเสธ เพราะอะไรที่มันยัดเยียดมากเกินไปก็กลายเป็นเราไม่เอา
ช่วงที่เริ่มมาสนใจสวดมนต์ ก็เป็นช่วงที่เราเริ่มเข้าวงการบันเทิง ตอนนั้นมีงานชิ้นแรกคือถ่ายโฆษณา เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันมีเป้าหมาย ในใจเริ่มมีความหวัง มันก็ทำให้เราไปนั่งสวดมนต์เอง เราจะสวด "นัมเมียวโฮเร็งเงเคียว" มาจากคำว่านโมสัทธรรมปุณฑริกสูตร ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า การอุทิศตนให้กับคำสอนที่แท้จริงว่าด้วยเหตุและผล มิวค์จะมีเทพเจ้ากวนอูอยู่ที่ห้อง มีโต๊ะพระ มีพระญี่ปุ่นไดโงะฮันซน บางทีเราขี้เกียจแต่พยายามสวดมนต์ให้ได้ทุกคืน”
ชนะตัวเองด้วยการเขียนเป้าหมาย
สิ่งที่เธอยึดถือ และทำต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายปี ก็คือการวางเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างตื่นขึ้นมาวันนี้ต้องทำอะไร เธอจะเขียนทุกวัน และทำตามเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ
“มิวค์เป็นคนที่เขียนเป้าหมายลงในกระดาษ ไม่งั้นจะลืม เชื่อว่าหลายคนคงเคยสวดมนต์แล้วขอว่าให้เราเป็นคนดี หรือขออะไรก็ตาม แต่พอสองสามวันผ่านไป เราออกไปทำงาน เราจะจำอะไรได้ครบมั้ยว่า ไอ้ที่เราอยากมีอะไรบ้าง แล้วเราสำเร็จหรือยัง เพราะฉะนั้น การที่เราเขียนลงไปมันก็ทำให้เราชัดเจน เรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร แล้วเราเขียนแล้วติ๊กด้วยว่าอันไหนได้ ไม่ได้”
เธอเป็นคนหนึ่งที่เคยมีปัญหาเรื่องการควบคุมน้ำหนักเพราะเป็นคนที่มีความสุขกับการกินมาก ชอบกินขนม เค้ก อาหารอร่อย แต่พอเธอตั้งเป้าหมายที่ลดน้ำหนักอย่างจริงจัง เพียงเวลาไม่นานเธอบอกว่าเธอทำสำเร็จ และเอาชนะใจตัวเองเรื่องนี้ได้แล้ว
“สิ่งที่ยากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือการเอาชนะใจตัวเอง อย่างเรื่องง่ายๆ ที่วัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นกังวลคือเรื่องการลดน้ำหนัก เราสวดมนต์ขอให้เราลดความอ้วนได้ แต่เรื่องอย่างนี้เราก็ต้องใช้ความเข้มแข็งจากข้างในอยู่ดี การที่เราเอาชนะใจตัวเอง อย่างแค่วันนี้บอกว่าจะไม่กิน บางทีวันเดียวยังทำไม่ได้เลยคนเราน่ะ นึกออกไหมค่ะ แล้วถ้าเกิดวันนี้ไม่ชนะ กลับมาบ้านเราจะอ่านสิ่งที่เราเขียนไว้ตอนเช้า จะรู้เลยว่าวันนี้แพ้อีกแล้ว ตอนเช้าก็มาดูใบเดิมที่เขียนเอาไว้ เมื่อวานยังติ๊กไม่ได้เลย ใบที่จะลดความอ้วน อยากแนะนำให้ลองทำดู เขียนเป้าหมาย แล้วแปะในที่ที่จะเห็นได้ทุกวัน และก่อนที่จะออกไปไหน หรือก่อนนอนท่องทวน แล้วมันช่วยได้
ไม่เคยตั้งเป้าอะไรที่มันเกินไป อย่างน้อยมันทำให้ชีวิตเราชัดเจน เรารู้ว่าพรุ่งนี้เราต้องทำตามเป้าหมาย มันเหมือนเกม ตื่นมาเรารู้แล้วว่าเราจะเก็บพอยต์ตัวเอง คนที่ตั้งเป้าหมายทุกวัน ผ่านไปหนึ่งปี ชีวิตมันเปลี่ยนไปเยอะนะ สำหรับเรามันเปลี่ยนไปทุกๆ เรื่อง จากที่ไม่คิดว่าจะเข้ามาทำงานในวงการเลย ตั้งแต่เริ่มถ่ายแมกกาซีน แล้วเราเริ่มตั้งเป้าหมายว่าจะก้าวไปอีกนิดหนึ่ง เราไม่ได้คิดแค่ว่าได้ถ่ายแมกกาซีนก็ดีแล้วน่า ทุกๆ อย่างที่เราทำ เรามีความหวังกับมัน พอเวลาผ่านไปความสำเร็จก็ใหญ่ขึ้น คิดดูว่า 10 ปีผ่านไป เราจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่เรามองตัวเอง เราเห็นกราฟตัวเองเป็นกราฟขึ้น เราก็โอเคแล้ว"
'ศิราณี' ของเพื่อนในวง
แม้ว่าจะเป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่สาวมิวค์ออกตัวว่าไม่ได้เป็นคนดีถึงขนาดคุยเรื่องธรรมะกับคนรอบข้าง แต่เมื่อใดที่เพื่อนๆ มีปัญหา เธอมักจะทำหน้าที่ของเพื่อนแท้ และช่วยแก้ปัญหาให้เพื่อนได้เสมอ
"มิวค์จะเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนๆ ในวง คือปรึกษาเราได้ทุกเรื่อง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอะไร เขาจะชอบมาถามเราก่อนว่าทำอย่างนี้มันดีหรือเปล่า เราไม่ได้คิดว่าเราดีกว่าใครนะ แต่ด้วยความที่เราชอบอ่าน ชอบศึกษาเกี่ยวกับเรื่องปรัชญา เราคิดว่าเราช่วยได้ ถ้าเห็นว่าเขากำลังเดินผิดเราก็จะบอก เวลาที่ใครมาปรึกษา เราไม่ใช่คนที่ช่วยให้เขาหายทุกข์เฉยๆ แต่เราจะช่วยคิดจริงๆ ว่าเขาจะหลุดจากตรงนั้นได้ยังไง อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเขา เราจะคิดถึงปัญหาของคนอื่นเหมือนเป็นของตัวเอง แล้วคนที่มาปรึกษาเราเขาก็รู้สึกได้ว่าเราจริงจัง บางทีเพื่อนบอกเลยว่าเราจริงจังกว่าตัวเขาเองอีก
เพื่อนส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ก็หนีไม่พ้นปัญหาเรื่องความรัก เราจะบอกเขาตลอดว่าเรื่องความรักต้องมองให้เป็นบวก ถ้ามองให้เป็นลบเนี่ย อะไรที่มันไม่ใช่ปัญหามันกลับมาเป็นได้ คำพูดที่มันไม่มีอะไรมันก็เป็นปัญหาได้ถ้าเราไม่มองบวก
คนเราจะรักใครก็แล้วแต่ ต้องรักตัวเองให้เยอะที่สุด ยังไงตัวเองก็ต้องมาอันดับหนึ่ง เพราะวันข้างหน้าเราไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราได้หรือเปล่า แต่คนที่อยู่กับเราแน่ๆ ก็คือตัวเราเอง อย่างเวลาว่างๆ แทนที่จะโทร.หา อยู่ไหน ทำอะไร เราไปเล่นโยคะดีกว่า ไปทำอะไรที่มันดีกับตัวเองดีกว่า มันก็ไม่มีเวลาไปนั่งเสียใจกับอะไรแล้ว คือรักได้ ความรักมันสวยงามมากจริงๆ แต่ว่ารักในจุดที่มันปลอดภัยสำหรับใจของเรา ถึงแม้บางเรื่องที่เราแนะนำไปเขาไม่ทำตาม เราก็บอกว่าไม่เป็นไร ถึงเธอจะเจ็บมายังไงเพื่อนก็อยู่ข้างเธออยู่แล้ว ให้เขาสบายใจว่า เราแนะนำแล้วเขาไม่ฟังก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาเจ็บมาเราก็พร้อมที่จะอยู่กับเขาอยู่ดี
พอเราได้รักเขาทำไมเราเอาอะไรดีๆ ไปให้เขาหมดเลย ลองเปลี่ยนเป็นเอามาให้เราสิ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันก็เข้ามาเอง ถ้าเรารักตัวเอง เราก็ได้เหมือนคนอื่นรักเรา แต่เราได้มากกว่าอีก เพราะข้างในจิตใจเราเข้มแข็งมาก อย่างน้อยถ้ามีคนทำให้เสียใจเราก็กอดตัวเองก่อน อย่างน้อยฉันรักตัวฉันก่อน เอาจิตใจเรากลับมาให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน ถ้าใครหักอกเรา เราจะได้ไม่ไปสนใจว่าทำไมต้องทำกับเราอย่างนั้น แต่เรากลับมาดูตัวเอง จะทำยังไงให้จิตใจเราดี ไปดูหนังไหม ไปกินข้าว ไปหาเพื่อน เราจะช่วยตัวเองก่อน แต่ถ้าเราไม่รักตัวเองนะ ในวันหนึ่งที่ไม่มีใครรัก เราก็จะไม่เหลือใคร แต่ถ้าเรารักตัวเอง เราอยู่ตรงไหนก็ได้จริงๆ เพื่อนหาย แต่ความรักเรายังเต็มอยู่ สุดท้ายก็มีตัวเราที่อยู่กับเราจริงๆ”
รายงานข่าวโดยทีมข่าว M-Lite/ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน