เวียนมาบรรจบอีกครั้งกับงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ แม้ไม่ใช่นักศึกษาจากสองสถาบัน แต่คนทั่วไปก็ให้ความสนใจกิจกรรมนี้ทุกปี โดยเฉพาะการเปิดตัวหนุ่มหล่อสาวสวย เจ้าของตำแหน่งสำคัญภายในงาน ขณะที่หลายคนกำลังเพ่งความสนใจไปที่เชียร์ลีดเดอร์ วันนี้ “มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ” อยากชวนให้หันมามองตำแหน่งคทากรสาวอย่างเธอบ้าง แล้วจะรู้ว่าดรัมเมเยอร์จากรั้วจามจุรีปีนี้ก็ฮอตไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ครั้งแรกที่ได้เจอกัน “มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ” ไม่ได้ใส่ชุดแซกสีสันสดใสอย่างที่เห็นในภาพ แต่เธอสวมเสื้อยืดธรรมดาๆ กับกางเกงกีฬา กวัดแกว่งคทาไปมาตามเสียงเพลง พร้อมกับเพื่อนดรัมเมเยอร์ทั้งชายและหญิงอีก 10 ชีวิตที่กำลังซุ่มซ้อมอย่างหนักเพื่องานบอลฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากยืนสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ เราจึงแสดงตัวตามเวลานัดหมาย แต่การพูดคุยกับเหล่าสต๊าฟกลับทำให้ได้ข้อมูลที่น่าตกใจ หญิงสาวที่ทีมงานตั้งใจจะพูดคุยด้วยในวันนี้ ไม่รู้มาก่อนว่าเรานัดกัน!
ไม่รู้ว่าการประสานงานผิดพลาดตรงจุดไหน แต่วินาทีนั้นทีมงานนึกถอดใจแล้วว่างานนี้ชวดแน่ๆ ในขณะที่แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลง คทากรสาวกลับช่วยให้เราใจชื้นขึ้นมาได้ มายด์รีบควานหาชุดที่ใส่มาเมื่อเช้า พร้อมกับฉวยเครื่องสำอางอีกไม่กี่ชิ้นเข้าห้องน้ำ ก่อนสวมส้นสูง กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังโลเกชันที่ทีมงานเลือกเอาไว้ แอ็กชันถ่ายรูปอย่างไม่อิดออด กระทั่งได้ภาพที่น่าพึงพอใจก่อนตะวันตกดิน “เหลือสัมภาษณ์ใช่มั้ย คุยกันตรงนี้ก็ได้ค่ะ” มายด์ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วค่อยๆ นั่งลงบนม้านั่งกลางลานซีเมนต์ ก่อนบทสนทนาจะเริ่มต้นขึ้น เรารู้ทันทีว่าได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้ว
แค่เด็กเรียนคนหนึ่ง
“มายด์ อุทัยทิพย์” คือชื่อเรียกสั้นๆ ที่รู้กันว่าหมายถึง “มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ” เพราะเธอแจ้งเกิดในวงการด้วยตำแหน่งมิสอุทัยทิพย์ เฟรชชี่ ไอดอลปี 2008 เวทีเดียวกับรุ่นพี่อย่าง “เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ” แต่นั่นไม่ใช่เวทีแรกของเธอ มายด์เคยประกวด S Club และชนะคะแนนป็อปปูลาร์โหวตมาก่อน ถ้าคิดว่ามายด์คือวัยรุ่นอีกหนึ่งคนที่ล่าฝันล่ารางวัลจนเจนเวที ต้องบอกให้รู้ว่าเธอไม่เคยชอบการประกวด ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นดารา แต่เป็นแค่เด็กเรียนคนหนึ่งเท่านั้นเอง
“เมื่อก่อนมายด์ก็เป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง ชอบเรียนแล้วก็ทำกิจกรรมโรงเรียนมาตั้งแต่อนุบาลแล้วค่ะ เป็นนางรำบ้าง เต้นแจ๊ซบ้าง เคยถูกส่งไปประกวดเต้นแอโรบิกตามห้างฯ ด้วย เป็นขาแดนซ์ค่ะ แล้วตอนมัธยมฯ ก็แอบเรียนเก่ง สอบได้ที่ 1 ประจำ ผิดกับตอนนี้ (หัวเราะ) เวลามีแข่งวิชาการทีไร คุณครูก็จะส่งไป ทั้งวิชาคณิตฯ วิทย์ สสวท. ทำกิจกรรมเยอะมาตลอดค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะได้ทำเยอะจนกลายเป็นอาชีพอย่างตอนนี้ (ยิ้มเรียบๆ)”
“ที่ไปประกวด S Club ก็เพราะพี่ที่รู้จักชวนค่ะ พอดีตอนนั้นเป็นช่วงติวสอบเข้า ม.4 ของเตรียมฯ (ร.ร.เตรียมอุดมฯ) เลยเข้ามาเรียนพิเศษแถวสยามฯ ประจำ เห็นว่ามีเวิร์กชอปด้วย น่าสนุกดี ก็เลยสมัครดู อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ค่ะ เพราะตอนเรียนอยู่ที่ชลบุรีไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ชอบการแข่งขันด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าได้ป็อปปูลาร์โหวต หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนติดต่อให้ไปแคสต์งานโฆษณา ถ่ายนิตยสาร เล่นเอ็มวีบ้าง แล้วโมเดลลิ่งที่รู้จักก็ชวนให้ไปประกวดอุทัยทิพย์ พอได้ตำแหน่งเลยได้เซ็นสัญญากับแกรมมี่ค่ะ” มายด์ลำดับภาพชีวิตให้ฟังคร่าวๆ
ถ้ายังไม่เชื่อว่าเธอคือเด็กเรียนจริงๆ มายด์พร้อมจะสาธยายช่วงเวลาที่อ่านหนังสือหนักที่สุดให้ฟัง “ช่วงนั้นขยันมาก (ลากเสียง) เรียนพิเศษทุกวัน เลิกเรียน 2 ทุ่ม กลับบ้านก็เข้านอนเลย ทีวีไม่ได้ดู แล้วก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสืออีกทีตอนตี 2 เพราะถ้าอ่านดึกๆ จะไม่รู้เรื่อง พอ 8 โมงก็ออกมาเรียนพิเศษใหม่ ทำแบบนี้จันทร์ถึงศุกร์เป็นกิจวัตรเลย แต่สุดท้ายก็สอบติดเตรียมฯ ดีใจมากค่ะ (ยิ้ม)”
ในฐานะที่มายด์เรียนพิเศษเป็นกิจวัตรมาตั้งแต่เด็กๆ ถามว่าคิดเห็นอย่างไรที่การกวดวิชากลายเป็นค่านิยมสำหรับเด็กไทยไปแล้ว หญิงสาววัย 20 ก็ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา “ต้องยอมรับว่าเรียนพิเศษแล้วได้เทคนิกลัด ช่วยให้แข่งกับคนอื่นได้ แต่การเรียนในห้องมันทำให้ได้พื้นฐานติดตัว ทำให้พัฒนาได้เร็วกว่าคนอื่นค่ะ แต่จะให้มายด์บอกให้น้องๆ เลิกเรียนพิเศษ คงไม่ได้ สังคมไทยไม่ได้สอนให้เราใช้ชีวิตเหมือนเด็กเมืองนอก เราวัดกันที่ผลการเรียน คิดแค่เรื่องเอนท์ติดไม่ติดมากกว่า เหมือนระบบการศึกษาของเราไม่ได้สอนให้เด็กหัดใช้ชีวิตจริงๆ บางคนเก่งแค่ในตำรา พอมาเจอโลกภายนอกไม่รู้อะไรเลยก็มี”
“พิเศษ” จนน่าหมั่นไส้
อย่างที่ยืนยันไปว่ามายด์เป็นเด็กเรียน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะเป็นขวัญใจของอาจารย์หลายๆ ท่าน และมักได้สิทธิพิเศษเป็นรายแรกๆ หลายต่อหลายครั้ง มองเผินๆ แล้วชีวิตของเธออาจดูน่าอิจฉา แต่ถ้าเลือกได้ มายด์บอกว่าขอมีชีวิตแบบปกติ ไม่ต้องถูกใครอิจฉาเลยจะดีกว่า
“ตอนนั้นอยู่ ม.3 ค่ะ ยังเรียนอยู่โรงเรียนเก่า สาธิตม.บูฯ มีงานกีฬาสี เขาคัดดรัมเมเยอร์กัน ปกติทุกปีจะให้พี่ม.5 เป็นดรัมฯ แต่ปรากฏว่าปีนั้นครูมาเลือกเรา ซวยเลยค่ะ โดนรุ่นพี่ด่ายับ บอกว่าเป็นเด็กเส้น หาว่าแม่เราเอาเงินไปยัดใต้โต๊ะให้ได้เป็น ประท้วงกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต จนสุดท้ายครูก็ให้รุ่นพี่ ม.5 กับ ม.6 เป็นไม้ 2 ไม้ 3 เลยกลายเป็นปีแรกที่มีดรัมฯ 3 คน จากเหตุการณ์นั้นมายด์เลยถูกเกลียดขี้หน้าเยอะเลย” เธอขยายความต่อ
“แล้วช่วงนั้นมีจุลสารโรงเรียนออกมา ปกติหน้าปกจะลงภาพตึกภาพสิ่งก่อสร้าง แต่ปีนั้นเป็นปีแรกที่คุณครูอยากเปลี่ยนเป็นนักเรียนลงปก แล้วมายด์ก็ถูกเลือกให้มาลงปกอีก คนอื่นเลยยิ่งมองว่าเราเป็นเด็กเส้นใหญ่เลย มายด์โดนด่าเยอะจริงๆ ค่ะ ถ้าไปถามโรงเรียนเก่าดู จะไม่มีใครชอบมายด์เลย ตอนแรกที่โดนว่า มายด์ร้องไห้เลยนะ เครียดมาก เรารู้ว่าเราไม่ได้มีเส้น ไม่ได้เอาเงินไปยัดใต้โต๊ะซะหน่อย แต่หลังๆ เริ่มทำใจได้เลยปลงๆ ค่ะ เพราะคิดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น” มายด์เล่าความหลังด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่คำครหาว่าเธอเป็นเด็กเส้นไม่ได้หมดลงเพียงเท่านั้น แม้ว่ามายด์จะย้ายมาเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แต่เธอก็ยังต้องเผชิญกับคำสบประมาทแบบเดิมๆ จนต้องตัดสินใจเข้าโครงการ Gifted โครงการสำหรับกลุ่มเด็กที่สามารถเรียนรู้ได้ไวกว่าคนอื่นๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์
“ตอนนั้นโรงเรียนมีโครงการ Gifted ภาษาไทย ก็เลยไปสอบดูค่ะ เป็นคนชอบวิชาภาษาไทยมากอยู่แล้วก็เลยสอบติด อยู่ในโครงการจะได้เรียนภาษาไทยล่วงหน้าเพื่อนไป 1 ปี คือตอน ม.4 จะได้เรียนหลักสูตรของ ม.5 แล้วตอนม.6 จะได้เรียนหลักสูตรภาษาไทยของจุฬาฯ ก็ถือว่าการเข้าโครงการ Gifted ช่วยลบคำครหาได้ค่ะ เพราะเป็นที่รู้กันว่าคนที่จะเข้าได้ต้องผ่านการสอบจริงๆ เด็กฝากเข้าไม่ได้แน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนชอบมองว่าเป็นเด็กเส้น ตอนนั้นยังไม่ได้เข้าวงการด้วย แล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้มีฐานะอะไรมากมายนะคะ อาจจะเพราะหน้าตามายด์ดูไม่เป็นเด็กเรียนมั้ง” มายด์ปิดประโยคด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
ฆ่าตัวตายเพราะหลงเสน่ห์เธอ
“คงไม่ใช่เพราะเรื่องเรียนอย่างเดียวมั้งที่ทำให้คนอื่นเขาไม่ชอบหน้าเรา เรื่องหนุ่มๆ ด้วยหรือเปล่า?” เราถามออกไปเพราะเดาว่าเด็กเรียนดีกิจกรรมเด่นอย่างเธอ ต้องเนื้อหอมในโรงเรียนอย่างแน่นอน “แสดงว่ามีคนมาจีบเยอะ จนสาวๆ อิจฉา” เรายังคงยิงคำถามกระตุ้นให้ตอบ และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะได้ผล มายด์ชักสีหน้าลังเลเล็กๆ ก่อนถอนหายใจและให้คำตอบว่า “ก็คุยกับทุกคนที่เข้ามาค่ะ แต่ไม่ได้คบทุกคนนะ (ยิ้ม) จะชอบลองคุยดูก่อน พอไม่อยากคุยก็เลิกติดต่อ คิดว่าเป็นสิทธิ์ที่เราเลือกได้ค่ะ คนอื่นอาจจะมองว่าแย่ มองว่าเจ้าชู้หรือเปล่า แต่มายด์ไม่ค่อยชอบคบใครง่ายๆ เท่าไหร่ ให้คุยก็คุยได้นะ แต่ถ้าจะให้คบ คงต้องคิดอีกนาน”
คนที่เคยเข้ามาจีบมายด์มีหลายแบบ ต่างสไตล์กันไป แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่อกหักจนต้องประชดด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง และรุ่นพี่สาวหล่ออีกรายที่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งในทะเล เพราะแอบรักมายด์ “มีมารับหน้าโรงเรียนบ้าง รับไปกินข้าวกลางวัน ส่งดอกไม้มาให้ ที่เข้ามาแบบแปลกๆ ก็มีเหมือนกันค่ะ คุยกันเป็นเพื่อนอยู่ดีๆ พอเขามาขอเป็นแฟน มายด์ปฏิเสธไป เขาก็ไปกรีดข้อมือตัวเอง ตอนเขากรีดเราไม่รู้ค่ะ มารู้อีกทีมีคนบอก แล้วที่ข้อมือของเขาก็เห็นว่าเป็นรอยแผลจริงๆ แอบกลัวอยู่เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าเขาผิดปกติหรือเปล่า”
“อีกคนเป็นรุ่นพี่ที่เป็นทอม ไม่รู้เราไปทำอะไรให้เขาเสียใจ วันหนึ่งเขาหายตัวไปจากบ้านเลย ไม่ติดต่อกับเพื่อนหลายวัน ไปนั่งริมทะเลคนเดียว จนเพื่อนเขาต้องออกตามหา ช่วยกันลากกลับมา กลัวว่าเขาจะโดดทะเลไปจริงๆ” มายด์เท้าความให้ฟัง ส่วนคนในวงการที่มีข่าวว่าเคยคบกันอย่างพระเอกหนุ่ม “สน ยุกต์ ส่งไพศาล” นั้น มายด์ขอแก้ข่าวว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่าเคยคบกับหนุ่มในวงการจริง
“พี่สนเคยมาจีบตอนอยู่ม.ปลาย แต่ไม่ได้คบกันค่ะ แค่คุยกัน แต่ทุกคนจะคิดว่าเราคบกัน คนที่เคยคบจริงๆ มีอยู่คนหนึ่ง เป็นแฟนคนแรกด้วย (ยิ้มแบบเขินๆ) ตอนนั้นอยู่ ม.4-ม.5 ได้ ถ่ายโฆษณาแดนซ์โคโลญจ์ด้วยกัน เขาจะเป็นคนเจ้าชู้นิดๆ แอบไปมีกิ๊ก เลยทะเลาะกัน คบได้ 2 ปีแล้วก็เลิกกันค่ะ สำหรับมายด์ การคุยกับคนอื่นหลายๆ คนเป็นเรื่องปกตินะ เพราะเราคงไม่สามารถตัดสินใครจากหน้าตาได้ คุยกันวัน 2 วันก็อาจจะยังไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง ต้องลองคุยไปนานๆ แต่ถ้าคุยแล้วรู้สึกว่าเขาโอเค เราก็ควรจะหยุดคุยกับคนอื่น เพื่อจะจริงจังกับเขาคนนั้นคนเดียว จะมาคบเผื่อเลือก มีกิ๊กไปเรื่อยนี่ ไม่ไหวนะ” เธอพูดอย่างเปิดอก
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจีบผู้หญิงคนนี้แต่ไม่กล้า เพราะคิดว่าเธอเลือกคบเฉพาะหนุ่มในวงการเท่านั้น มายด์ฝากบอกว่า “จริงๆ แล้วมายด์ชอบคนธรรมดามากกว่านะ ไม่ต้องหล่อไม่ต้องเนี้ยบมากก็ได้ แค่ดูดีบ้าง มีความคิด ตั้งใจเรียน แล้วก็มีมาดนิดหนึ่ง มายด์ไม่ค่อยชอบคนที่เข้ามาจีบแบบจงใจ อยากให้เข้ามาแบบเนียนๆ มากกว่า ที่สำคัญคือถ้าคบกัน อยากให้ต่างคนต่างมีเวลาให้กัน แต่ก็ยังมีสังคมของตัวเองอยู่ ไม่ใช่ตัวติดกันตลอดเวลาค่ะ” บอกสเป็กไว้ชัดเจนขนาดนี้ หนุ่มๆ ทั้งหลายทราบแล้วปฏิบัติ
ดังได้เพราะเป็นเด็กจุฬาฯ?
หากลองสังเกตดูจะพบว่าดาราหลายคนที่ดังในระยะหลังๆ มานี้ มักมีดีกรีสูงๆ จบจากสถาบันการศึกษาชื่อดังกันทั้งนั้น อาจกล่าวได้ว่าอาชีพดาราไม่ต่างจากการสมัครงานทั่วๆ ไป คัดคนจากชื่อมหาวิทยาลัยและให้ความสำคัญกับฐานะทางสังคมมาก่อน ในฐานะที่มายด์เป็นดาราอีกหนึ่งคนซึ่งพ่วงตำแหน่งนิสิตจุฬาฯ เอาไว้ด้วย เธอจึงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้
“มายด์ว่าการเรียนในสถาบันดีๆ ก็มีส่วนเป็นใบเบิกทางในวงการอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ที่มายด์ได้อุทัยทิพย์ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเรียนที่เตรียมฯ ด้วย คิดว่าชื่อสถาบันมีส่วนช่วยให้แยกแยะคนได้ง่ายขึ้นเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวนี้คนหน้าตาดีมีเยอะ มีหลายอย่างช่วยให้ทุกคนสวยได้ แต่เรื่องสมอง ความคิดภายใน มันวัดกันยาก คนทั่วไปเลยจะมองแค่โปรไฟล์ที่ฉาบไว้ก่อน ทำให้คนที่อยู่มหาวิทยาลัยดังๆ มีโอกาสเข้าวงการมากกว่า มีชื่อเสียงได้ง่ายกว่า แต่ถ้าลองมีเวลาได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจริงๆ จะรู้ว่าชื่อมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นเลยค่ะ”
งานฟุตบอลประเพณีฯ คือบทพิสูจน์ที่ดีอีกข้อสำหรับทฤษฎีนี้ ทุกปีจะมีโมเดลลิ่งเข้ามาทาบทามเชียร์ลีดเดอร์และดรัมเมเยอร์ของงานเพื่อชักพาให้เข้าวงการ ทำให้ได้เห็นดาราหน้าใหม่จากรั้วจุฬาฯ และธรรมศาสตร์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้บางคนรู้สึกหงุดหงิด คิดว่าเลือกคนเข้าวงการจากชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาเป็นหลัก มายด์ขอร้องให้เปิดใจและมองว่าเป็นเพียงโอกาสดีๆ ครั้งหนึ่งสำหรับคนที่อยากเข้าวงการเท่านั้นเอง
“คนที่ได้เข้ามาทำกิจกรรมคือคนที่ถูกคัดมาแล้วค่ะ อย่างเชียร์ลีดเดอร์หรือคทากร ก็เป็นคนที่คัดมาแล้ว แมวมองคงคิดว่าคนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วคือคนที่มีคุณภาพในระดับหนึ่ง เลยทำให้เขาชอบเข้ามาตามงานแบบนี้ อย่างบางคนสวยจริง แต่ถ้าไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย ก็คงไม่มีใครสามารถเข้าไปเห็นได้ โมเดลลิ่งคงไม่มานั่งมองหาตามคลาสเรียนของแต่ละคณะหรอกเนอะ มายด์ว่านะ ก็ไม่อยากให้มองว่าดารามีแต่จุฬาฯ ธรรมศาสตร์เต็มไปหมดค่ะ เพราะจริงๆ ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น เพียงแค่ช่วงนี้เป็นกระแสเลยมีคนหันมาสนใจมากกว่า” มายด์อธิบายจากประสบการณ์
วงการเฟกๆ ไม่ขออยู่ดีกว่า
พ่อแม่ส่งเสียให้เรียนเปียโนตั้งแต่ยังเด็ก ไปไหนมาไหนมีคนคอยรับ-ส่งตลอดเวลา โตขึ้นมาอีกหน่อยเริ่มเรียนพิเศษ ติวเข้มจนสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ได้ กระทั่งปัจจุบันเรียนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมๆ กับทำงานในวงการไปด้วย พิจารณาจากที่เล่ามาทั้งหมด เรียกได้ว่ามายด์มีชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบมาโดยตลอด เป็นไปตามแบบแผนที่ครอบครัววางไว้ทุกกระเบียดนิ้ว มองเผินๆ เธออาจจะดูเหมือนลูกคุณหนูที่ถูกตามใจ แต่ความจริงแล้วมายด์รู้จักคิดรู้จักดูแลตัวเองมากกว่าวัยรุ่นหลายคนเสียอีก
“ป่าป๊าหม่าม้าจะสนับสนุนหมดทุกอย่างเลยค่ะ อยากได้อะไรส่วนใหญ่จะซื้อให้ถ้าเรามีเหตุผลที่ดีพอ แต่พอทำงานแล้ว เราก็จะรู้สึกเองว่าเงินหายาก หาเงินมาซื้อได้มากขึ้นก็จริง แต่จะคิดมากขึ้นก่อนซื้อ เทียบกับตอนเด็กๆ ไม่ได้อะไรก็จะร้องไห้โวยวาย อยากเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยๆ อยากได้ตุ๊กตาเต็มไปหมด ตอนนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ของบางอย่างที่มายด์ใช้ คนอื่นอาจจะมองว่าแพง สงสัยว่ามีได้ยังไง ที่จริงแล้วส่วนใหญ่จะเป็นของคุณแม่ค่ะ เขาชอบแต่งตัว พอไม่ใช้แล้วก็ให้เราใช้ต่อ ส่วนของแบรนด์เนมก็มีซื้อบ้างเหมือนกัน แต่ต้องเปรียบเทียบระหว่างราคา คุณภาพ แล้วก็ฐานะของเราด้วย ถ้าซื้อแล้วคุ้ม ใช้แล้วมันช่วยเสริมบุคลิกจริงๆ ก็โอเคค่ะ”
ตกลงแล้วมายด์เป็นคนแบบไหน? เราตั้งคำถามเพราะอยากรู้จักเธอให้มากกว่าคำว่า “ลูกคุณหนู” แต่กลับได้คำตอบที่ลึกกว่าที่คิดไว้เสียอีก “เป็นคนสนุกค่ะ ชอบอยู่กับเพื่อน ชอบสังคม แต่ไม่ชอบเข้าสังคมในวงการนะ รู้สึกว่ามันเฟก บางคนเรารู้สึกได้ถึงความไม่จริงใจ ต่อหน้าดี พยายามเข้าหาเราเต็มที่ แต่พอลับหลังมีคนมาบอกว่าเขาไปด่าเราให้คนอื่นฟัง เพื่อนในวงการมายด์ก็มีเหมือนกันนะ แต่จะไม่ใช่อย่างที่บอก เพื่อนแบบนั้นคุยแบบผ่านๆ ก็พอค่ะ” มายด์พูดอย่างตรงไปตรงมา ก่อนขยายความต่อ
“หรือพวกงานอีเวนต์ มายด์ก็ไม่ค่อยชอบ ต้องไปเจอไปคุยกับคนที่ไม่รู้จัก เหมือนต้องพยายามเข้าไปแนะนำตัวกับคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา มายด์ชอบอยู่เฉยๆ มากกว่าค่ะ ไม่ชอบประจบใคร แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วจำเป็นกับการเป็นดาราคงจะเลือกไม่ทำดีกว่า มายด์ไม่ได้อยากอยู่ในวงการขนาดนั้นอยู่แล้ว อยากอยู่เบื้องหลังมากกว่าด้วยซ้ำ งานส่วนมากที่ทำก็ทำเพราะชอบตัวงาน ไม่ได้ทำเพราะคิดว่าเป็นงานที่มีชื่อเสียง แค่ทำเพราะมันสนุก อย่างตอนนี้ที่ชอบที่สุดคงเป็นงานพิธีกรค่ะ ได้พูดสิ่งที่อยากพูด ได้เป็นตัวเอง รู้สึกสนุกดี”
“แบ๊ว” แบบไม่ต้อง “แอ๊บ”
หลังจากนั่งคุยกันมานานเกือบชั่วโมง เราชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าคือคนเดียวกับในภาพที่โพสต์ในอินเทอร์เน็ต เพราะมายด์คนที่เรารู้จักก่อนเจอตัวจริง ดูแอ๊บแบ๊วกว่าคนที่กำลังนั่งคุยอยู่หลายเท่า เราจึงถามออกไปตรงๆ ด้วยความสงสัย ส่วนมายด์ก็ให้คำตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ ทำไมคนชอบมองว่าเราแอ๊บแบ๊ว จริงๆ แล้วถึงมายด์จะแอ๊บไปก็ไม่เกิดนะ หน้ากลมๆ แบบนี้ มีแก้มด้วย (หัวเราะ) คิดว่าน่าจะเป็นเพราะสไตล์ถ่ายรูปของเรามากกว่าที่อาจจะดูแอ๊บแบ๊ว บางทีทำท่าธรรมดาๆ พี่ๆ ช่างภาพจะไม่ชอบ ขอให้เราทำท่าแบ๊วๆ ทำตาโตๆ ตลอด ก็ต้องทำค่ะ เหมือนเขาวางคอนเซ็ปต์เอาไว้ว่ามายด์ต้องแอ๊บแบ๊ว แล้วกลายเป็นว่าถ่ายแบบทุกเล่ม เขาก็ขอให้แอ๊บทุกเล่ม ภาพที่ออกไปส่วนใหญ่เลยกลายเป็นแบบนั้น”
“อีกอย่างคงเป็นเพราะเสียงด้วยมั้งคะ เป็นคนเสียงง้องแง้ง บุคลิกก็งงๆ คนเลยอาจจะมองว่าเราเป็นคนแอ๊บแบ๊ว แต่ถ้าถามเพื่อนดูจะรู้ว่ามายด์ออกแนวรั่วๆ บ๊องๆ มากกว่า เพื่อนที่สนิทๆ จะชอบบอกว่าแกไม่ได้แอ๊บหรอก แต่แกแบ๊วธรรมชาติ (หัวเราะ)” เราได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เพราะถ้าตัดน้ำเสียงออกไป แล้ววัดจากทัศนคติหลายๆ อย่างแล้ว ถือว่ามายด์เป็นคนจริงใจอย่างมากคนหนึ่งเลยทีเดียว ไม่เห็นว่าเธอจะต้องคอยเม้มต้องแอ๊บให้เหนื่อยเลย
นอกจากเรื่องแอ๊บแบ๊วแล้ว เธอยังถูกเข้าใจผิดมาตลอดว่าเป็นพวกเกาหลี-ญี่ปุ่นฟีเวอร์ตัวแม่ เพราะการแต่งตัวของมายด์ส่วนใหญ่มักเป็นไปในโทนนั้น มายด์จึงถือโอกาสออกตัวไว้ตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ และในฐานะที่เป็นเด็กไทยคนหนึ่ง เธอขอพูดถึงประเด็นนี้เอาไว้ด้วย
“ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองชอบได้ แต่จะชอบอะไรก็อาจจะต้องมีขอบเขต อย่ามากจนเกินไป มันโอเคที่เราจะชื่นชอบศิลปินคนไหน หรือเลือกใครเป็นไอดอลของเรา แต่ก็ต้องรู้จักขอบเขตค่ะ อย่างคนที่ชอบศิลปินเกาหลี จะชอบก็ได้นะคะ แต่ไม่ใช่ว่าต้องซื้อตั๋วเข้าไปดูทุกรอบ ถ้ายังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง ยังต้องขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ อาจจะต้องมานั่งคิดกันอีกทีว่ามันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือเปล่า”
“ส่วนที่เห็นว่าเด็กสมัยนี้อยากเรียนเต้นคัฟเวอร์มากกว่าเรียนรำไทย อันนี้ก็เข้าใจค่ะ เพราะมันสนุกกว่าจริงๆ อันนี้พูดตรงๆ ถ้าอยากให้เด็กไทยหันมาสนใจวัฒนธรรมบ้านเรามากกว่านี้ มายด์ว่าคงต้องลองเอาวิชารำมาประยุกต์ให้ดูสนุก อาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ค่ะ”
ไม่กลัวไส้แห้ง
งานในวงการ ถึงจะเป็นอาชีพที่หาเงินได้คราวละมากๆ ก็จริง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย มายด์เองเข้าใจความจริงข้อนี้ดี จึงวางแผนชีวิตเอาไว้คร่าวๆ บ้างเหมือนกัน หลายคนอาจนึกสงสัยว่าคนเบื้องหน้าอย่างเธอจะเลือกเรียนวารสารไปเพื่ออะไร แต่สำหรับมายด์เธอมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
“คิดไว้ว่าถ้าสมมติวันหนึ่งมายด์จนมากๆ ขึ้นมา งานเขียนก็ยังเป็นสิ่งที่มายด์ทำได้ แต่ถ้าเลือกเรียนหนังหรือโฆษณา อย่างน้อยๆ เราต้องมีเงินทุนก่อนถึงจะสร้างหนัง เช่ากล้องวิดีโอได้ แต่เรียนวารสาร มายด์สามารถถ่ายทอดความคิดของตัวเองออกมาได้เลย แค่มายด์เขียน แล้วมันก็เป็นสื่อดั้งเดิม เราไม่จำเป็นต้องมีลูกน้องเป็นสิบเป็นร้อย แค่เรามีไอเดียดีๆ เขียนมันออกมา ก็สามารถทำให้เราอยู่รอดได้แล้วค่ะ อีกอย่างมายด์ว่ามันเป็นอาชีพที่ติดอยู่ในหัวของเรา เกิดจากความคิดของเราเอง ไม่มีใครมาขโมยไปได้”
ดาราหลายคนทำงานในวงการได้โดยไม่จำเป็นต้องจบนิเทศศาสตร์ และบางคนก็ไม่เห็นความสำคัญว่าจะต้องเรียน แต่มายด์กลับมองต่างออกไป เธอเลือกเรียนเพื่อหวังว่าจะช่วยให้เข้าใจงานที่ทำอยู่มากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือความชอบนั่นเอง
“ที่เลือกเรียนเพราะมีโอกาสได้ทำงานในวงการก่อนไงคะ ปกติเวลาอยู่เบื้องหน้า มีคนมาสัมภาษณ์แบบนี้ จะไม่ค่อยได้คิดอะไรเยอะ แค่ตอบคำถามออกไปอย่างเดียว มายด์อยากรู้ว่าเบื้องหลังเขาทำกันยังไง มีวิธีคิดแบบไหน เคยได้ยินเหมือนกันว่าเป็นนักเขียนแล้วไส้แห้ง (ยิ้ม) แต่มายด์ว่าถ้าทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะค่ะ อย่างมายด์ถ้ากลัวจะอดจริงๆ มองไว้ว่าเราอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนอย่างเดียวก็ได้ เราสามารถทำกิจการของตัวเองควบไปด้วย”
ธุรกิจส่วนตัวที่มายด์พูดถึงคือการเปิดร้านเบเกอรี่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังทำอาหารไม่เป็น แต่มายด์ตั้งใจไว้ว่าจะลงเรียนอย่างจริงจังถ้ามีเวลาว่าง แต่ถ้าจู่ๆ เธอเกิดกลัวอ้วนขึ้นมา อาจเปลี่ยนมาเปิดร้านเสื้อผ้าแทน ส่วนความฝันที่จะมีกิจการเป็นของตัวเองนั้นคงไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะมายด์มองว่า “ถ้าเราเป็นพนักงานบริษัท เป็นลูกน้องเขา อาจจะมีข้อบังคับมากมาย แต่กิจการของตัวเอง เราใช้ความคิดของตัวเองได้เต็มที่ ไม่ต้องไปเดินตามทางใคร สามารถเติบโตได้ด้วยไอเดียของเราเอง รู้สึกว่ามันน่าสนุก แล้วก็ท้าทายดีค่ะ”
นางฟ้าคทากร
แม้จะเคยมีประสบการณ์เป็นดรัมเมเยอร์มาตั้งแต่สมัยมัธยมฯ แต่เทียบกับความรับผิดชอบในตำแหน่ง “จุฬาฯ คทากร” งานฟุตบอลประเพณีฯ ครั้งนี้แล้ว บอกได้เลยว่ายากและกดดันกว่ากันเยอะ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือก กว่าจะคัดเหลือตัวแทน 11 คนอย่างที่เห็น ต้องผ่านการทดสอบหลายต่อหลายอย่าง ทั้งข้อเขียน สอบสัมภาษณ์เพื่อวัดทัศนคติ ทั้งยังตัดสินจากการให้คะแนนบุคลิกภาพด้วย หลังได้รับตำแหน่งยังต้องฝึกควงคทาทุกวัน และที่ยากที่สุดคือต้องโยนคทาขึ้นฟ้าและรับให้ได้ด้วย
“เคยเป็นดรัมฯ ตอน ม.ต้นก็จริง แต่ตอนนั้นแค่ควงคทานิดหน่อย ไม่ได้ต้องโยนไงคะ แต่นี่จริงจังมาก ตอนแรกๆ ที่เริ่มโยนกลัวมาก ไม่ได้ซ้อมกับไม้กวาดหรืออย่างอื่นก่อนเหมือนในหนังนะ เขาให้ใช้คทาจริงๆ นี่แหละค่ะโยนเลย แต่จะเลือกซ้อมที่พื้นหญ้าก่อน เวลาโยนแล้วรับไม่ได้ ไม้จะได้ไม่พังมาก แต่ก็ยังพังอยู่ดีค่ะ ดูสิ (ชี้ไปที่สกอตเทปใสที่แปะโซ่เส้นเล็กๆ ของคทาเอาไว้) แล้วช่วงแรกๆ ก็โยนหล่นพื้นตลอด ฝึกไปด้วยกลัวไปด้วย เจ็บตัวบ่อยมากค่ะ”
“โยนแล้วรับพลาดไปโดนแขนก็มี หรือแค่ตอนควง มีท่าควงจากหลังไปหน้า หน้าไปหลัง ฟาดโดนตัวโดนขาตลอด ช้ำเลยค่ะ (ชี้รอยซ้ำที่ขาให้ดู) แต่ถึงกลัวยังไงก็ต้องฝึก ต้องทำไปเรื่อยๆ คิดในใจตลอดว่าถ้าเราไม่กล้าก็จะทำไม่ได้ ถ้ามัวแต่กลัวคงทำไม่สำเร็จ ตอนนี้ก็โยนแล้วก็รับได้สบายๆ แล้วค่ะ จะให้ทำให้ดูก็ได้นะ ว่าแต่พี่ช่างภาพจะถ่ายภาพทันหรือเปล่า” มายด์พูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น ก่อนหัวเราะตบท้าย
ถามว่าทำไมถึงไม่สมัครเป็นเชียร์ลีดเดอร์งานบอล ในเมื่อเธอเป็นเชียร์ลีดเดอร์ประจำคณะมาก่อนอยู่แล้ว มายด์ให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมาว่า “เป็นเชียร์ลีดเดอร์ฝึกโหดกว่าค่ะ วิ่งรอบสนามกันเป็น 30-40 รอบ แล้วก็ต้องใช้เวลาฝึกเยอะด้วย ซึ่งมายด์ไม่ไหว ติดถ่ายรายการค่ะ อยู่ตลอดไม่ได้” น้อยใจบ้างมั้ยที่คนส่วนใหญ่อาจจะให้ความสนใจเชียร์ลีดเดอร์มากกว่า? มายด์นิ่งคิดก่อนให้คำตอบ
“มายด์ว่าทุกหน้าที่สำคัญเท่าๆ กันนะ ทุกคนคือสีสันของงาน ถ้าขาดหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งไปงานก็ไม่สมบูรณ์ เลยไม่อยากให้มองว่าใครเด่นกว่าใครค่ะ เพราะรู้ว่าทุกคนอยากทำเพื่อมหาวิทยาลัย ทำเพื่องานบอลเหมือนๆ กัน ทุกคนคือส่วนเติมเต็มของงาน เหมือนกับธีมงานปีนี้ไงคะ FulFill อยากให้มากันเยอะๆ ค่ะ ถึงไม่ใช่เด็กจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์ ก็เข้ามาดูได้ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มาร่วมสนุกกัน แล้วก็เข้ามาดูมายด์ควงคทาด้วย กระแสคทากรปีนี้มาแรงนะจะบอกให้” มายด์ไม่ลืมส่งรอยยิ้มขี้เล่นปิดท้าย ใครที่ใจอ่อนกับคำชวนของเธอคนนี้ เจอกันวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ได้เลย
ฝันร้ายในวัยเด็ก
การเรียนเปียโนเป็นเหมือนวัฒนธรรมประจำตระกูลสุรวรรณ มายด์บอกว่าทุกคนในครอบครัวถูกปลูกฝังให้เรียนมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เชื่อกันว่าเป็นวิธีฝึกสมาธิของเด็กที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง และถึงแม้ว่าเธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่ไปเรียน แต่สุดท้ายก็ยังถูกบังคับให้เล่นทั้งน้ำตา
“ทุกคนที่บ้านเล่นเปียโนเป็นหมดค่ะ อากงจะให้เรียนตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ คุณอา รุ่นพี่ๆ ญาติๆ แล้วก็มาถึงรุ่นเรากับน้องสาว มายด์เริ่มเรียนตั้งแต่อยู่อนุบาล 3 ฝึกหนักมาตลอด ที่บ้านบอกว่าเล่นแล้วจะมีสมาธิมากกว่าเด็กคนอื่นๆ ก็คิดว่าน่าจะจริง แต่มายด์ไม่ชอบเลย ถูกบังคับให้ซ้อมทุกวันแล้วก็ร้องไห้ทุกครั้ง ต้องเรียนตัวต่อตัวกับอาจารย์ด้วย เลยทำให้ยิ่งเครียดไปใหญ่ เพิ่งมาหยุดเรียนตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัยนี่เองค่ะ เพราะช่วงนั้นต้องอ่านหนังสือสอบหนักมาก ตอนนี้เรียนถึงเกรด 7 แล้ว เหลือสอบอีกขั้นเดียวจะครบ แต่ช่วงนี้ไม่ได้เรียนแล้ว เลยยังไม่มีโอกาสได้สอบเกรดสุดท้ายค่ะ”
ถ้าถามว่าเกลียดวิชาไหนที่สุดตอนเด็กๆ มายด์คงตอบได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดว่า “เปียโน” ทุกครั้งที่เข้าเรียนจึงเปรียบเสมือนฝันร้ายในชีวิตวัยเด็กของเธอ แต่เมื่อมองกลับไป ตอนนี้มายด์กลับรู้สึกขอบคุณที่ครอบครัวบังคับให้เรียน เพราะถ้าไม่ถูกเคี่ยวเข็ญในวันนั้น คงไม่มีความสามารถพิเศษติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาที่เด็กคนอื่นดูทีวี นั่งเล่น เราต้องมานั่งซ้อมเปียโนอยู่ในห้อง ต้องมานั่งซ้อมสเกลที่ยากมาก เล่นกี่ทีก็ไม่ได้ (เสียงโอดครวญ) เรียนที่โรงเรียนเสร็จต้องเรียนพิเศษต่อ พอกลับบ้านก็ต้องซ้อมเปียโนก่อนนอนทุกคืน เป็นอะไรที่ทรมานมาก แต่ตอนนี้โตขึ้น พอไม่ได้เรียนแล้วก็อยากกลับไปเรียนเหมือนกันนะ รู้สึกว่ามันมีคุณค่า มันเป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีได้ ต้องเกิดจากการฝึกฝนจริงๆ ถ้าเกิดว่าตอนนั้นไม่ได้ถูกบังคับให้เรียน มายด์ก็คงไม่มีความสามารถพิเศษอะไรติดตัว อาจจะได้แค่ร้องเพลงเหมือนคนอื่นๆ คงต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ค่ะที่คอยเคี่ยวเข็ญ”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ
วันเกิด : 16 สิงหาคม 2534
ส่วนสูง : 167 ซม.
น้ำหนัก : 47 กก.
การศึกษา : นิสิตชั้นปีที่ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารสนเทศ
ความสามารถ : เปียโน
ผลงาน : พิธีกรรายการช่อง Bang Channel และ Knock Knock TV มิวสิกวิดีโอเพลง Darling ของศิลปิน B.O.Y. ภาพยนตร์เรื่อง “แต๋วเตะตีนระเบิด” ละครเรื่อง “อุบัติรักข้ามขอบฟ้า 2” และ “โลมากล้าท้าฝัน” ที่มีคิวออนแอร์เร็วๆ นี้
รางวัลที่ได้รับ : ป๊อบปูลาร์โหวตเวที S Club และได้ตำแหน่งอุทัยทิพย์ เฟรชชี่ ไอดอล ปี2008
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์