xs
xsm
sm
md
lg

สาวหวานอมเปรี้ยว "จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปอบ ทไวไลท์ มันทำให้รู้ตัวเองเหมือนกันว่า บทแบบนี้เหมาะกับเรามาก การตอบรับจากคนดูดีที่สุด ละครทุกเรื่องที่จ๊ะได้รับบทบาท บ้าๆ บอๆ จะมีคนพูดถึงและไม่ค่อยเชื่อ หลายคนติดใจ อยากจะบอกมากเลยว่า เราเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ใช่คนเรียบร้อยมือประสานกันตลอดเวลา”

บุคลิกภายนอกที่หลายคนมองว่า จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม เป็นสาวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ หยิ่ง หน้าตาไม่เป็นมิตรกับคนทั่วไป เมื่อ M-Lite ได้มาสัมผัสและพูดคุยกับเธอแล้ว ทำให้ได้รู้ว่าเธอมีลุคลูกเล่นลูกฮา ซุกซน บ้าบอ ตรงไปตรงมา และเป็นคนจริงจังกับการทำงานเมื่อได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง นอกจากบทบาทการแสดงที่เธอสามารถทำให้คนดูได้ซึ้งไปกับละครพีเรียด หรือบทบาทของ ปอบสาว ใน “ปอบทไวไลท์” ที่หลายคนพูดถึงกันอย่างมาก จนหลายคนชื่นชอบและไม่เชื่อว่าเธอจะเล่นบทบาทนั้นได้

1
ประสบการณ์หล่อหลอมการแสดง

เมื่อความสามารถของ “จ๊ะ จิตตาภา แจ่มปฐม” ไม่ได้ฉายแววเพียงแค่ช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น แต่เธอก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 7-8 ปี เริ่มต้นด้วยการถ่ายแบบแฟชั่น และมีงานในวงการมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอเรียนจบมัธยมศึกษาจึงได้เข้ามาเล่นละครอย่างจริงจัง

เรือนรักเรือนทาส เป็นละครเรื่องแรกที่ทำให้เธอได้ก้าวเข้ามาสู่บทบาทการแสดงอย่างจริงจัง และเป็นละครพีเรียดที่ยากมากสำหรับสาวที่มีหน้าตาหวาน ดูภายนอกบุคลิกเรียบร้อย แต่เต็มไปด้วยความแก่นซนอยู่ภายใน

“เรือนรักเรือนทาส เป็นละครพีเรียด เรื่องแรก ใส่สไบ ใส่ชุดไทยเดิน จ๊ะเป็นคนซน ก็จะคิดในใจว่า ทำไมฉันต้องเรียบร้อยอย่างนี้ แต่ว่าโชคดีมาก ได้เจอนักแสดงรุ่นใหญ่เลยทำให้เราได้ประสบการณ์เยอะ แล้วก็ได้ดูวิธีการแสดงของนักแสดงแต่ละท่าน ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก”

ความรู้สึกครั้งแรกกับการเล่นละครเรื่องแรกคงไม่ต่างจากนักแสดงหน้าใหม่ทั่วไป ที่ต้องรับบทกับดารารุ่นใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มามากมาย

จ๊ะบอกว่าในตอนแรกเธอรู้สึกเกร็ง เนื่องจากนักแสดงแต่ละคนมีความสามารถ ทว่าเธอเองไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน พอได้มาเล่นเรื่องแรก จึงได้ ป้าแจ๋ว ยุทธนา คอยสอนและมีแอ็กติ้งโค้ช รวมถึงนักแสดงรุ่นใหญ่คอยสอน

“พี่ๆ นักแสดงเก่งๆ ทั้งนั้น ทุกคนเป็นกันเอง ตอนแรกก็งงๆ อ้าว มีกล้องสามตัวแล้วเราจะหมุนตัวยังไงเนี่ย ทุกอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หล่อหลอมให้เราเป็น”

2
สาวมุทะลุ ดุดัน

ในครอบครัวเธอเป็นลูกสาวคนโตที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกับน้องสาวโดยสิ้นเชิง นิสัยใจเย็น ยืดหยุ่น เรียบร้อยไม่มีให้เห็นในตัวเธอ กลับกลายเป็นความใจร้อน มุทะลุ ไม่ยืดหยุ่น สาวซน ซึ่งหลายคนที่ได้สนิทกับเธออาจจะตกใจเมื่อได้สัมผัสกับตัวตนที่แท้จริง

เพราะเป็นสาวซนมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้คุณพ่อและคุณแม่คอยดุเวลาดื้อ ถึงจะดื้อแต่คุณแม่ก็จะแฟร์กับเธอเสมอ ทันสมัยและคอยสอนในสิ่งที่เหมาะกับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน ซึ่งคุณแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความเคารพนับถือผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ มารยาทที่ถือว่าคนไทยให้ความสำคัญอย่างมาก

“แม่เป็นคนแฟร์ๆ ทันสมัยในเรื่องที่ต้องทันสมัย เข้าใจอะไรง่าย เหมือนมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ไปหาแม่ แล้วเราอยากจะเล่าบางเรื่องให้ฟัง เราก็คิดว่ากลัวแม่ดุจัง แต่พอเล่าไปแม่ก็ ไม่มีการดุ มีแต่คำแนะนำ จะให้กำลังใจมากกว่า ”

“ส่วนใหญ่ คุณแม่สอนถ้าเป็นการใช้ชีวิตแม่ไม่ได้สอนให้ทันสมัยนะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำว่าซีเนียร์ ความเคารพต่อผู้ใหญ่ แล้วก็มารยาท คือเป็นคนไทย ปกติ แต่เรื่องที่ทันสมัน แม่ไม่ได้มาฟิกซ์ เข้มงวด กะชีวิตเรามาก ไม่เคยมากะเกณฑ์ อะไร ไม่เคยบังคับ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ทำ แล้วมีอะไรก็มาปรึกษา มาแชร์กัน ไม่ได้เลี้ยงลูกแบบบังคับ เราจะมีอะไรปรึกษาแม่หมดทุกเรื่อง มีอะไรจ๊ะก็จะฟ้องแม่หมด บอกทุกอย่าง บางทีเราคิดอะไร ก็พยายามปรึกษาแม่ เพราะบางทีมุมมองของแม่บางทีแม่มองอะไรเราก็อาจจะมองไม่ถึง เพราะแม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว”

3
หน้านิ่งๆ ไม่ได้หยิ่งเสมอไป

การก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิง มีหลากหลายสิ่งที่คุณแม่ยงัคงเป็นห่วงและคอยเตือนเธออยู่เสมอถึงเรื่องการวางตัวไม่ว่าจะกับผู้ใหญ่หรือเพื่อนๆ รวมถึงแฟนคลับด้วย

จ๊ะเล่าให้ฟังว่า คุณแม่ของเธอรู้ว่านิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไร ซึ่งแม่เองก็ค่อนข้างเป็นห่วงในเรื่องของการวางตัว เนื่องจากเธอเป็นคนค่อนข้างสนิทกับคนยาก นิ่งๆ แล้ว หลายคนจะมองว่าเธอคนดุ และหยิ่งอยู่ตลอดเวลา

“เพราะว่าจ๊ะรู้สึกว่า ถ้าจะไม่รู้จัก หรือไม่สนิทกับใคร ก็จะเป็นคนนิ่งมาก เหมือนเรารอดูท่าที ก่อน ไม่ใช่ไม่เฟรนด์ลี่นะ แต่เป็นคนที่เราไม่กล้าเข้าไปคุยก่อน เพราะไม่รู้ว่าเขาอยากคุยกับเราหรือป่าว ก็จะเป็นคนระวัง ระวังมากเกินไปก็จะถูกมองว่าเราหยิ่ง เราเป็นคนที่เมื่อไหร่ไม่ยิ้มปุ๊บ ปากจะคว่ำเลย หน้าดุ ทำให้แม่ห่วงตรงนั้นเพราะเวลาจ๊ะไปไหนก็จะเตือนตลอดให้ยิ้มบ้าง ไปไหนก็จะคอยมีคนเตือนตลอด จะรู้สึกว่าเราก็เดินของเราอยู่ดีดีแต่ทำไมมองเราแบบนี้ ”

ตัวจริงแล้วจ๊ะเป็นคนสดใสร่าเริง คนจะมองเราแบบไม่สนิทบ่อยครั้ง มีคนบอกว่าแรกๆ เห็นหยิ่งๆ แต่เมื่อมาได้รู้จักกันจริง จ๊ะจะเป็นคนที่มีลูกบ้าเยอะ เคยเดินกับเพื่อนที่สยาม ตอนนั้นก็เข้าวงการบันเทิงแล้ว พอได้ยินเสียงเพลงที่สยาม อยู่ดีดี เราก็เต้นขึ้นมากลางสยาม เพื่อนๆ บอกว่าเบาๆ บ้างก็ได้ บางทีเราเองก็ลืมตัวไปบ้างเหมือนกัน

4
ฝันอยากอยู่บนบอร์ดเวย์

ตั้งแต่เด็กจ๊ะถือได้ว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยง จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย จึงทำให้เธอเลือกเรียนเกี่ยวกับทางด้านการเต้นเนื่องจากพ่อและแม่เป็นคนปลูกฝังเรื่องการเต้นให้เธอมาตั้งแต่เด็ก

“ จ๊ะเรียนศิลปกรรม เป็นการเรียนเต้นทุกประเภท ทั้งแจ๊ซ บัลเลต์ ฮิปฮอป เป็นคนชอบเต้นมาก เริ่มเรียนเต้นมาตั้งแต่เล็กๆ เราชอบเพราะพ่อแม่เป็นคนปลูกฝัง แม่เป็นคนชอบเต้นบัลเลต์มาก ไม่ได้ยัดเยียดให้เราชอบนะ แต่จ๊ะเป็นคนชอบอยู่แล้ว โตขึ้นฝันว่าอยากจะเป็นนักบัลเลต์ พอถึงเวลาที่เราไปเรียนได้ก็จูงมือแม่ไปสมัครกัน

การเรียนเต้นในช่วงวัยเด็กอาจจะเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอ เมื่อได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งการเรียนเต้นจึงทำให้เธอต้องจริงจังและเหนื่อยมากขึ้น

เธอเล่าว่าการเรียนเต้นในมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก เนื่องจากตั้งแต่เด็กที่เธอเต้นไม่ต้องสนใจกับการทำคะแนนให้ดีขึ้น แต่เมื่อได้มาเรียนจริงจัง มีเรื่องของวิชาการเข้ามาเกี่ยวข้องจึงต้องทำให้ตนเองทำคะแนนได้เกรดดีๆ

“ยากเหมือนกันที่เราจะเรียนไปด้วยและทำงานด้วย ต้องหาวิธีเอาตัวรอดไปวันๆ นะ โดยที่จุฬาฯ ขาดเรียนเกินสี่ครั้งไม่ได้ ถ้าเกิน ไม่มีสิทธิ์สอบนะ บางวิชาที่ไม่ซีเรียสก็ให้เข้าไปเรียนพออาจารย์ขานชื่อ ก็ให้น้องขานรับ มาเป็นเราแทน หลังๆ อาจารย์ก็ชักสงสัย ไม่เห็นหน้ามันแต่มีเสียงเอ๊ะยังไง หาวิธีเอาตัวรอดไป”

การเรียนบัลเลต์ เป็นการเต้นที่เธอถนัดที่สุด เพราะช่วยในเรื่องของร่างกายและจิตใจ ทำให้ได้ท่วงท่าที่สง่างาม ในด้านจิตใจช่วยให้รู้จักอดทน เพราะการเรียนบัลเลต์ต้องใช้ความอดทนมาก เป็นท่วงท่าการเต้นที่ไม่ใช่การเต้นที่ปกติ ผิดธรรมชาติ ซึ่งช่วยฝึกในเรื่องความอดทน มีวินัย ตรงเวลา จึงทำให้เธอกลายเป็นคนตรงๆ มาตั้งแต่นั้น

“ไปเรียนเต้นบัลเลต์ครั้งแรก มันท้อ มันเจ็บนะ เราไม่อยากทำอะไรเจ็บๆ แต่อยากเต้นสวยก็ต้องทนเจ็บ ก็โอเค ด้วยแรงที่ผลักเราว่า ก็เราเป็นคนเลือกที่จะเป็นแบบนี้ ก็ต้องทำ ถ้ามาเป็นแล้วมาทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ก็ไม่ต้องเป็นดีกว่า ถ้าจะเป็นก็เป็นให้มันดีไปเลย เป็นคนมุ่งมั่น ”

“เคยมุ่งมั่นแล้วผิดหวังกับเรื่องบัลเลต์เหมือนกัน ก็คืออยากไปให้ได้ไกลที่สุด อยากทำให้ดีที่สุด แต่เรากล้ามเนื้อฉีก ก็เต้นไม่ได้เหมือนเดิม หมอก็บอกว่า เราห้ามฝืนเต้นนะ ไม่งั้นจะใช้ขาไม่ได้ มันฉีกลึกมาก แล้วเป็นแบบทับซ้อนกันมาหลายครั้งแล้ว เป็นมาตอนที่ช่วงอายุ 15 เป็นช่วงที่เราอยากทำท่าที่ยากขึ้น อยากเป็นโปร ก็วอร์มไม่พอ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ ทุกวันนี้อยากกลับไปเรียนเต้นอีกนะ แต่ว่าจ๊ะรู้ว่าจ๊ะได้ไม่เหมือนเดิม ก็เลยตั้งใจหาอย่างอื่นทำ”

เรื่องการเต้นถือเป็นความฝันของเธอมาตั้งแต่เด็ก อยากเต้น อยากเรียนบอร์ดเวย์ ซึ่งเมื่อได้มาทำงานทางด้านละครทีวี แม้ว่าจะเป็นงานคนละศาสตร์แต่ได้ทำแล้วมีความสุข จึงทำให้การเล่นละครเข้ามาเติมเต็มแทนได้

5
เครียดกับสิ่งที่ไม่ได้ทำ

เมื่อการเข้ามาในวงการบันเทิง สิ่งที่ดารานักแสดงหลายคนต้องรับให้ได้นั่นคือ เรื่องของข่าวที่มีทั้งดีและไม่ดี สำหรับเธอ เรื่องของข่าวเป็นเรื่องที่เธอต้องแคร์คนรอบข้างให้มากที่สุด แม้ว่าข่าวไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเธอจะเป็นเรื่องที่เธอไม่ได้ก่อขึ้น จะยิ่งทำให้ให้เครียดนานเป็นเดือนได้

“เรื่องข่าวที่เกี่ยวกับพี่ป๋อ จะย้ายช่องมา ไปให้สัมภาษณ์ว่าพี่เค้าไม่ดี ซึ่งเราไม่เคยพูดเลย ทั้งที่เราก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหลายเล่ม ก็งงว่าทำไมเล่มนั้นออกมาแบบนี้ ทำให้จ๊ะโดนแฟนคลับเค้าว่า ทั้งๆที่เราอยากตะโกนบอกเค้ามากว่าเราไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลย เรารู้ว่า พี่เค้าเป็นนักแสดงมานาน เราเองก็ชื่นชมในผลงาน มันเหมือนว่า จ๊ะจะพูดแบบนั้นทำไม พูดไปก็เหมือนฆ่าตัวตาย ทุกครั้งจะพูดก็คิดอยู่แล้ว ”

ข่าวในวงการบันเทิงไม่ได้ทำให้เธอท้อใจ เพราะคิดสะว่าไม่นานก็คงหายไป แต่สิ่งที่ต้องทำคือ การระวังตัวเองให้มากขึ้น

บางครั้งเรื่องเครียดไม่ว่าจะเรื่องงานหรืออะไรก็ตามที่เข้ามา เธอมีคุณแม่เป็นที่ปรึกษาบ้าง ใช้วิธีการฟังเพลง เต้นและคลายเครียด ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเธอได้ระบายออกมา แม้ว่าจะยังไม่หายเครียด แต่ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง

6
ทำทุกวันให้ดีที่สุด

เห็นภายนอกก็คงคิดว่าเธอเป็นคนใจเย็น เรียบร้อย กลับตรงกันข้าม นิสัย ใจร้อน มุทะลุ ดุดัน ปรี๊ดง่าย เป็นสิ่งที่จ๊ะอยากให้ตนเองอารมณ์เย็นลงมากกว่าเดิม

“ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นกับคนอื่น แต่เราใจร้อนจนพูดอะไรแรงเพียงแค่ตอนนั้นโกรธ พูดอะไรแบบไม่คิด พออารมณ์ซาลงก็มาคิดว่าเราพูดแบบนั้นไปได้ยังไง สิ่งที่เราพูดไปทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ พอคิดได้ก็กลับมานอยด์ตัวเองอีกว่าเป็นแบบนี้อีกแล้ว แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เราต้องบอกตัวเองว่าต้องใจเย็น”

ในชีวิตเธอคิดว่าการได้ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะไม่อยากจะกลับหลังหันไปแก้ไข เพราะถ้าไม่อยากคิดว่าจะกลับไปทำอะไรอีก อยากทุ่มให้มันเต็มที่ ผลออกมาจะดีไม่ดีก็รับมัน เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุดและอยากกลับไปแก้ไข แต่ก็ทำไม่ได้ เธอจึงได้เรียนรู้ว่าควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด

“เหตุการณ์ที่อยากกลับไปแก้ไข คือ คุณตาเสีย ตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกว่าตาจะเสีย ไม่ได้คิดอะไร ตาฝากแม่กับยายมาบอก ให้ไปอ่านหนังสือให้ฟังเราก็ไม่ยอมไปสักที จ๊ะก็จะกลับบ้านตลอด ไม่ไปหาสักที จนสอบเสร็จ คุณตาเสียเป็นอะไรที่รู้สึกผิดแล้วแย่มาก ด่าตัวเองหลายวัน ถ้าเรารู้จักใส่ใจมากกว่านี้ก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจ ถ้ากลับไปได้จะไปนั่งอ่านตั้งแต่เช้ายันเย็นเลย ”

ข่าวโดย  Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย  พงษ์ศักดื์  ขวัญเนตร





กำลังโหลดความคิดเห็น