“วิน เอี่ยมอ่อง” หนุ่มไทยผมเปีย บุคลิกแปลก เอกลักษณ์เฉพาะตัว และความสามารถในการอ่านความคิดคน อาจทำให้หลายคนขออยู่ห่างๆ แต่วันนี้ไม่ต้องกลัวเพราะเราจะมาเผยไต๋เทคนิคพิชิตใจให้คุณได้รู้
คุณวินอธิบายว่า “มายาจิต” คือชื่อของศาสตร์การแสดงของเขา ซึ่งเป็นหลักการผสมผสานทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา หลังจากการศึกษาพฤติกรรมและการแสดงออกจากจิตใต้สำนึกของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งบอกได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีพลังจิต และไม่เชื่อในเรื่องพลังจิต แต่นี่คือการแสดง ความบันเทิง บนความคิดและจิตใจของมนุษย์นั่นเอง
“มายาจิตมันคือการสร้างความบันเทิงรูปแบบหนึ่งของผม แต่ทฤษฎีนี้ใครๆ ก็ทำได้ บางคนใช้โดยที่ไม่รู้ตัวก็มี ซึ่งเป็นการโน้มน้าวจิตใจคนหมู่มากให้คล้อยตาม หรือชักจูงใจให้คนเหล่านั้นคิด ทำ ในสิ่งที่ผมต้องการและผลออกมาตามที่คาดไว้ แต่จะไม่แน่นอนอาจจะถูกแค่ 80% เท่านั้น”
คนส่วนใหญ่ที่มาชมการแสดงของเขาจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีพลังจิตแต่เป็นการแสดงที่เล่นกับจิตความคิดคน แม้จะรู้อย่างนั้นแต่ก็ถูกหลอกให้คล้อยตามสำเร็จอยู่เสมอๆ ซึ่งนอกจากจะต้องใช้ทักษะวาทศิลป์แล้ว ยังต้องบริหารความคิดอย่างรวดเร็ดและเด็ดขาดอีกด้วย
ล่อหลอกให้หลงกล
มายาจิตต่างกับมายากลตรงที่มายากลมีความลับเป็นกุญแจ มีกลไกมากมายในตัวผู้เล่น ในขณะที่มายาจิตมาตัวเปล่าใช้เพียงความคิด หลอกล่อชักจูง แล้วพยายามอ่านใจอ่านความคิดเพื่อเฉลยออกมาให้เห็น ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์พอสมควร
หลายคนอาจสงสัยว่าโน้มน้าวใจอย่างไร คุณวินขอยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมติให้วาดรูปสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยากเลี้ยงแล้วเขาจะวาดตามโดยที่ไม่เห็นว่าคุณวาดอะไร แต่คุณวินพูดว่า “อย่านึกถึงแมวดำนะ” ก็จะทำให้เกิดมโนภาพของแมวในใจคุณแล้ว จากนั้นจะตั้งโจทย์ต่างๆ ขึ้นเพื่อจำกัดวงให้แคบลงอย่าง “เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์” เหมือนการขุดร่องให้คิดตาม ซึ่งสุดท้ายแล้วผลของความคิดออกมาจะต้องใกล้เคียงกับสายพันธุ์ของแมวคือเสือหรือสิงโตนั่นเอง
“พฤติกรรมการแสดงออกของคนเราจะไหลออกมาจากจิตใต้สำนึก รูปแบบจะออกมาคล้ายกัน เช่น หากถามอะไรสักอย่างแล้วตาเขามองขึ้นบนไปทางขวาแสดงว่าเขาโกหก ถ้าซ้ายคือพูดจริง หรือหากให้ลองนับเลข 1-6 โดยปกติคนเราจะพยักหน้าเวลานับ แต่เลขที่ผมให้เขาเลือกไว้เขาจะไม่พยักหน้า ตรงนี้ก็สามารถจับจุดได้”
พร้อมกับบอกด้วยว่า เพศชายคือเพศที่สามารถล่อหลอกได้ง่ายที่สุด เพราะมีความมั่นใจในความคิดตัวเองสูงจึงอาจรู้ไม่เท่าทัน รวมทั้งอุปสรรคในการแสดงก็คือความร่วมมือของผู้ชมซึ่งคนไทยจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าคนอังกฤษ จึงต้องใช้เทคนิคการพูดต่างๆ ดึงตัวขึ้นมาร่วมการแสดงให้สามารถไหลลื่นไปได้
รวมทั้งหากเกิดความผิดพลาดในการแสดงอย่างคนที่ขึ้นมาไม่คล้อยตาม ไม่มีสมาธิ หรือกังวลเรื่องอื่นๆ จะทำให้ไม่เป็นไปตามเกมที่วางไว้ คุณวินก็ต้องพลิกแพลงสถานการณ์กลบเกลื่อนหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างรวดเร็ว
มายาจิตลิขิตได้
มายาจิตนับว่าเป็นศาสตร์แบบเหรียญ 2 ด้านในการชักจูงใจคน นักแสดงผู้นี้ยอมรับว่า ผลจะออกมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ใช้ ถ้าประสงค์ดีผลออกมาก็จะเป็นไปในทางบวก ในขณะที่ถ้าประสงค์ร้ายผลออกมาก็ย่อมไม่ดีแน่ๆ อาจเป็นไปตามผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งหากจะนำเทคนิคมายาจิตมาใช้แก้ไขสถานการณ์การเมือง หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ก็อาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็เป็นได้
โดยคุณวินบอกว่า ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองยากที่จะตัดสินใจได้ว่าฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนถูก ซึ่งอาจจะถูกทุกฝ่าย หรือผิดทั้งหมดก็เป็นได้ ไม่สามารถตัดสินได้ตราบใดที่ยังไม่ทราบข้อมูลทุกอย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่สื่อนำเสนอออกมาอาจถูกบิดเบือนไปไม่มากก็น้อย และไม่สามารถรรู้ได้เลยว่าอะไรคือ “ความจริงอันแท้จริง”
“คือผมขอบอกว่าผมไม่สนับสนุน แต่ผมก็ไม่ขวางเรื่องนี้ ผมคิดว่าใช้ชีวิตตามที่เห็นสมควรดีกว่า คือปรับตัวไปตามสถานการณ์ต่างๆ ที่คงไปแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ แต่สำหรับทางออกนั้นผมไม่รู้จริงๆ ว่าอย่างไรถึงจะดี แต่แค่ใช้ชีวิตตามที่สมควร เพื่อให้ตัวเอง คนที่รักและคนรอบตัวมีความสุข เท่านี้ก็น่าจะพอทำให้บ้านเมืองดีขึ้นได้แล้ว”
พร้อมกับบอกว่า เทคนิคมายาจิตนั้นไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว ใครก็สามารถใช้ได้ ซึ่งบอกไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนี้แท้ที่จริงเป็นอย่างไร หรือใช้เทคนิคเหล่านี้ด้วยหรือไม่ แต่ละคนต่างก็มีจุดประสงค์ต่างกัน คงอยู่ที่ว่าจะเลือกใช้ทางใดให้เกิดประโยชน์
อะไรก็อาร์ตทั้งนั้น
แต่ก่อนที่หนุ่มผมเปียผู้นี้จะเรียนต่อด้านปริญญาโทและเอกในด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับบุคคลที่มี 2 บุคลิก โรคแปลกๆ ภายในสมอง รวมทั้งยังเชี่ยวชาญในเรื่องการสะกดจิตบำบัดนั้น เขาได้ศึกษาปริญญาตรีทางด้าน Product Design จากประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับงานเป่าแก้วและเซรามิกมาด้วย
คุณวินเล่าว่าเขารักศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ชอบศึกษาศิลปะยุคสมัยต่างๆ นักวาดต่างๆ ศึกษาเรื่องราว โดยเขามีไอดอลคือ เรเน่ ผู้วาดภาพสไตล์โซเรียลอาร์ต ทำให้เขาชื่นชอบศิลปะสมจริงเอามากๆ
“ศิลปะเป็นอะไรก็ได้ที่ให้เราคิดมองเห็นสิ่งๆ หนึ่ง ไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่แค่ภาพ หรือรูปปั้น มันคือการหยิบยกชิ้นงานขึ้นมา เพื่อต้องการสื่อให้คนเข้าใจว่าสิ่งนี้คืองานศิลปะ สื่อมุมมอง ความรู้สึกภายในออกไป และหวังว่าใครสักคนจะเข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แม้แต่น้ำขวดเดียววางไว้ในแกลอรี่ก็เป็นศิลปะได้เหมือนกัน ให้คนดูได้คิดไปตามมุมมองของศิลปิน”
การมองศิลปะบางครั้งก็คือการมองถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่ใครหลายคนอาจมองข้าม อย่างขยะ บรรจุภัณฑ์ที่ถูกทิ้ง ทุกสิ่งเป็นงานศิลปะทั้งนั้นโดยส่วนตัวก็วาดรูปบนเฟรมเหมือนกัน ผลงานมีหลากหลายแนวแล้วแต่อารมณ์
ศิลปินที่เขาชื่นชอบคนหนึ่ง เคยใช้กระดาษห่อของขวัญมาห่ออาคารสูงไว้ ก็สามารถทำให้คนเมืองส่วนมากที่เมื่อผ่านตึกนั้นแล้วไม่ได้คิดอะไร เหลียวหันกลับมามองได้ รวมทั้งครั้งหนึ่งที่เคยใช้ผ้าม่านความยาวประมาณ 5-6 ไมล์ไปปิดกั้นทะเลทรายโล่งๆ ไว้ สร้างสรรค์สิ่งเดิมๆ ให้กลับมาเป็นจุดสนใจได้อีกครั้ง
“ความคิดคือสิ่งที่สวยงาม ผมเป็นคนที่รักความคิดของคน ชอบมาก เพราะทุกอย่างในโลกใบนี้ ผ่านการคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา สิ่งที่เราพูดหรือทำอยู่ในความคิดของเราหมด โลกของเราทำมาเพื่อความคิด และศิลปะบางอย่างก็สามารถเปลี่ยนความคิดของคนได้ด้วย ดังนั้นศิลปะคือสิ่งที่มีอำนาจมาก”
ปั้นจินตนาการ
อีกมุมหนึ่งของชายผู้รักศิลปะคนนี้ ยังมีงานอดิเรกสุดอาร์ต นั่นคือการสะสมโมเดลแบบไม่ธรรมดา เพราะเขาเป็นคนลงมือเพนท์สีหุ่นทุกชิ้นด้วยตัวเอง
โมลเดลที่ว่ามากจากเกมวอร์แฮมเมอร์ มีรูปแบบของโมเดลอยู่ 2 ยุคหลักๆ ด้วยกันคือแบบย้อนยุค นักรบ ชุดเกราะ มังกร และแบบอวกาศล้ำยุค โดยแต่ละยุคจะมี 12 กองทัพที่มีจุดแข็ง จุดอ่อนต่างกันออกไป ซึ่งจุดเด่นของทั้งมวลที่กล่าวมาคือโมเดลมันเท่ห์ เป็นงานอดิเรกสะสมโมเดล ส่วนเกมที่เล่นโดยใช้โมเดลเป็นตัวหมากเป็นแค่ตัวเสริมรสชาติเท่านั้นเอง
ส่วนสังคมคนเล่นเกมนี้เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน มีผู้เล่นตั้งแต่อายุ 13-60 ปีหรือมากกว่า แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากกัน นอกจากการพูดคุย เล่นเกม และแลกเปลี่ยนความคิดต่างๆ นานา นอกเกมจะเป็นกลุ่มเพื่อนหลากวัยที่รักกันมาก แต่เมื่ออยู่ในเกมแล้วต้องฆ่าฟันกันอย่างสุดฤทธิ์
ในการเล่นจะต้องมีศิลปะการวางแผนศาสตร์รบกันตลอดเวลา ซึ่งจะต้องไม่เพียงรู้ในทัพตัวเองเท่านั้น แต่จะต้องรู้ข้อมูล กำลังของทัพอื่นด้วย หรือหากเดินไปมีฉากบังก็ไม่สามารถโจมตีได้ จึงต้องใช้สมองคิดแก้เกมอยู่ตลอด ทำให้แต่ละเกมที่เล่นไม่มีทางซ้ำรอยได้เลย
ก่อร่างสร้างโมเดล
ศิลปะของวอร์แฮมเมอร์คือการทำโมเดล การคิดและสร้างสรรค์โมเดลขึ้นมาเป็นของตัวเอง ใช้จินตนาการในหัวแล้วสร้างออกมาให้อยู่ในรูปของโมเดล ซึ่งแต่ละตัวจะมีเรื่องราวของตัวเองเหมือนเป็นเทพนิยาย บางครั้งการอ่านเรื่องก่อนก็จะเกิดภาพในหัวที่ต่างจากโมเดลแบบเดิมๆ สามารถดึงชิ้นส่วนจากหลายๆ ตัวเพื่อมาประกอบกันเป็นตัวใหม่ในมุมมองของตัวเองได้ด้วย ตั้งแต่วัย 11 ขวบถึงวันนี้นานถึง 16 ปีแล้วทำให้เขามีโมเดลสะสมหลายร้อยหลายพันตัวที่ซื้อประกอบและลงสีเอง
“เวลามานั่งเพนท์โมเดล มือแขนจะเลอะเทอะมาก ทุกวันต้องกลับไปล้างที่บ้านจนแทบจะไม่เหลือลายนิ้วมือแล้ว (หัวเราะ) ตัวโมเดลต่างๆ จะมีรูปแบบของตัวเองแต่เราสามารถดัดแปลงให้เป็นรูปแบบที่ต้องการได้ ด้วยการปั้นแต่งเพิ่มเข้าไป”
สีที่ใช้เป็นสีอะครีลิกสูตรเฉพาะสำหรับลงสีโมเดลซึ่งมีทั้งเนื้อพลาสติกและบางตัวเป็นเนื้อเหล็ก โดยจะใช้เป็นสูตรน้ำที่ปลอดภัยต่อร่างกาย เนื้อสีละเอียดไม่หนาจนเกินไป
ดังนั้น ศิลปะคือศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติของคน สามารถพลิกแพลงโลกนี้ได้ไม่แพ้มายาจิตเลยทีเดียว
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี