การแต่งรถมอเตอร์ไซค์ให้ถูกใจคนมากมายอาจเป็นเรื่องยาก แต่วันนี้จะพาไปให้รู้จักกับ กิติพงษ์ พงษ์ศิวาภัย เซียนแต่งรถมอเตอร์ไซค์ระดับมือพระกาฬ ที่เคยได้รับรางวัลระดับ Asia International Motorcycle Expro 2007 และรถของเขามีความโดดเด่นอย่างไร จึงทำให้สิงห์นักบิดรุ่นใหญ่จากทั่วโลกยอมรับฝีมือการแต่งรถของเขา วันนี้ M-Lite มีคำตอบ
แต่งรถให้เป็นเรา
กิติพงษ์ เล่าว่า เมื่อก่อนเขาชอบการแต่งรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจ และผสมผสานกับความชอบรูปหัวกะโหลกมานานแล้ว หลังจากนั้นเพื่อนมาขอให้แต่งรถให้และถามเขาว่า ทำไมถึงไม่เปิดร้านแต่งรถมอเตอร์ไซค์ เขาจึงได้ไปศึกษาทางด้านการออกแบบรูปทรงของรถ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 2 ปี และเขาเปิดร้านนี้มาเป็นเวลา 23 ปีแล้ว ซึ่งธีมของเขาจะเน้นไปแนวแต่งรถให้แปลกมากกว่าที่จะขายรถ เช่น การออกแบบตัวถัง ขนาดของรถ ลวดลายบนตัวรถ รวมถึงวัสดุทุกอย่างที่ใช้
“การแต่งรถไม่ได้คิดจะทำให้มันสวยอย่างเดียว แต่เวลาเราทำขึ้นมาต้องดูว่า ลูกค้าต้องการแบบไหน สิ่งไหนลูกค้าไม่รู้ เราต้องคอยแนะนำเขาว่า อย่างไหนถึงเหมาะสมกันจริง อุปกรณ์นี้เข้ากับอุปกรณ์นี้ไม่ได้นะ และที่เด่นเลยก็คือ จะต้องดูว่าลูกค้ามีบุคลิกยังไง ความสูงเท่าไหร่ เขาเนี้ยบไหม เอาเป็นว่าดูทุกอย่างตั้งแต่หัวจดเท้าก่อน แล้วค่อยคิดออกแบบรถให้เป็นตัวเขา ซึ่งรถแต่ละคันจะมีบุคลิกเหมือนเจ้าของรถ แต่บางคนเขาก็บอกว่า ‘แล้วแต่พี่’ บางคันก็ต้องออกแบบไว้ก่อนแล้วค่อยไปทำ”
“อย่างรถที่ทำออกมาใช้เอง จะไม่เหมือนคันที่ทำให้ลูกค้าเลย เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา ผมไม่ชอบคันหรูๆ ชอบเถื่อนๆ มากกว่า คันของผมต้องบุคลิกแบบขรึมๆ มืดๆ สีดำขัดด้าน มันดูธรรมดาดี เวลามองรถคุณจะสามารถรู้ได้ว่า คนขี่รถคันนี้เป็นคนยังไง”
ไม่ใช่เพียงดูจากบุคลิกของคนแล้วเขาสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว แต่สัตว์เลี้ยงของเขาเองก็สามารถทำได้เช่นกัน มีคันหนึ่งเขาได้แรงบันดาลใจจากสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่เขารักมากซึ่งตายไปแล้ว และได้ออกแบบรถให้เป็นตัวตนของสุนัขตัวนี้
“รถมอเตอร์ไซค์เกือบทุกคันที่ผมทำออกมาจะมีชื่อ แต่พอดีคันสีเขียวยังไม่มีชื่อเพราะทำออกมาเพิ่งเสร็จ คันที่ประกวดได้รางวัลมาสีออกทองๆชื่อ The Brass Knuckle ส่วนคันสีม่วงตัดเหลืองชื่อ Kick N Ass คันที่สีแดง แปลกๆ คือล้อหน้าจะยื่นยาว บังโคลนล้อจะโชว์ให้เห็นยาง คันนี้ชื่อ Heaven’s Angel ส่วนคันสีดำด้านๆเป็นหนึ่งในคันโปรด”
‘รางวัล’ คุ้มค่า ‘เหนื่อย’
เขาเคยไปคว้ารางวัลที่ 2 โดยผลงาน The Brass Knuckleในการประกวด Asia International Motorcycle Expro 2007 ที่ประเทศมาเลเซียกลับมาอย่างภาคภูมิใจ เขาเล่าให้ฟังต่อว่า ก่อนจะไปประกวดนั้น เขาต้องพยายามศึกษาอย่างหนักว่า ที่นี่เขามีวิธีคัดเลือกจากอะไรบ้าง เขาพยายามดูจากหนังสือ ว่ารถแนวไหน มีทรงไหนประกวดบ้าง นี่เป็นเหตุผลที่เขาได้หาวิธีการผลิตรถแปลกและลวดลายแปลกๆ ออกมามากมาย แต่เขาบอกว่า แปลกอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นงานแฮนด์เมดด้วย
“เลยคิดเอาวัสดุที่หาได้ในประเทศไทยทำออกมา เช่น เหล็ก ทองแดง ทองเหลือง มาทำให้ตัดกัน ไม่ต้องพ่นสี บางส่วนก็นำเหล็กไปชุบเป็นทองแดง จุดเด่นของบางคันก็ดูดีและสวยได้โดยไม่ต้องเพนท์สี คันนี้เอาวัสดุต่างๆ มาออกแบบและใช้ค้อนทุบจนมันออกมาเป็นรูปร่าง แล้วจึงเอากระดาษทรายมาขัด The Brass Knuckle ใช้กระดาษทรายตั้งแต่เบอร์ 0 – 2000 เวลาตัดวัสดุเหล่านี้ก่อนจะทุบ เราต้องเผื่อความหนา บาง เพราะต้องขัดให้มันเงาอีกที ผมว่ามันยากนะที่จะทำให้มันเรียบและออกมาเป็นทรงแบบนี้ ราคาของคันสีทองนี้ก็ไม่แพงเท่าไหร่ แต่เป็นค่าเหนื่อยมากกว่า”
ผสมผสาน 'ศิลปะ' กับ 'รถ'
กิติพงษ์บอกถึงลายส่วนใหญ่ในร้านจะเป็นเปลวไฟหรือลายเพลิง ซึ่งมีประมาณ 3 – 4 ลาย คือ 1. แบบซ้อน 2. แบบไม่ซ้อนหรือลายเพลิงธรรมดา 3. แบบไขว้ 4. ลายเพลิง 3 ชั้นพันกัน เป็นกราฟิกราคาจะสูงที่สุด ราคาเริ่มตั้งแต่ 25,000 - 45,000 บาท แต่ราคาสูงที่สุดที่เคยทำมาคือ 95,000 บาท เป็นราคาที่ยังไม่รวมเครื่องยนต์และอุปกรณ์อื่นๆ เครื่องยนต์ส่วนใหญ่ที่เขาแต่งจะเป็นรถฮาร์เลย์ เดวิดสัน โดยคนทั่วไปจะรู้กันดีอยู่แล้วว่า จะแยกเป็นประเภทของรถที่นำมาแต่ง
เขาอธิบายพร้อมเดินไปหยิบตัวถังสีส้มมาให้ดูแล้วบอกว่า “วิธีทำตัวถังคือ ร่างแบบ 5 ชิ้นออกมาในกระดาษ แล้วนำแผ่นเหล็กมาตัดตามแบบที่เราวาดไว้เผื่อช่วงโค้ง ซึ่งเราจะต้องเชื่อมกับแผ่นเหล็กอื่นด้วย แล้วนำมาเคาะโดยใช้ค้อนให้เป็นรูปทรงตามที่ต้องการจากนั้นค่อยลงสี”
“อย่างลายนี้ เพื่อนที่เป็นฝรั่งมาวาดลายด้านบนให้ เขาใช้มือวาดโดยไม่ต้องแปะเทปอะไรเลยและเขาสามารถขีดเส้นตรง 500 เส้นขนานกันได้ โดยไม่ต้องใช้ไม้บรรทัด ซึ่งถังใบนี้แปะเทปเพื่อพ่นสี 1 วัน ตัวนี้จะเป็นสไตล์ใหม่ผสมกับสไตล์เก่า ลายพื้นเป็นกากเพชรนำเข้ามาจากต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นแบบ 6 เหลี่ยมจะสวยกว่าของไทย ของประเทศไทยจะเป็นกากเพชรแบบกลม ส่วนสีเป็นสีส้มแคนดี้ ที่เห็นเป็นสีออกทองๆ คือ สีของกากเพชรผสมกับสีส้มผสมกับกาวน้ำให้เข้ากันแล้วพ่นลงไปแล้วขัดให้เรียบ ถ้าอยากให้เป็นสีเข้มต้องแปะเทปตรงสีอ่อน แล้วพ่นสีส้มทับลงไปอีก”
“ถ้าอยากไล่สีต้องใช้แอร์บรัชค่อยๆทำ ลายด้านข้างที่เห็นเป็นวงกลมใช้กระดาษแข็งตัดเป็นครึ่งวงกลม แล้วมาทาบไว้แล้วพ่นสีเอา ถังนี้ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ รวมเคาะตัวถังด้วย 10 วัน ลายของถังใบนี้ได้แนวคิดมาจากผ้าปูโต๊ะที่บ้าน มีบังโคลนล้ออีกชิ้นใช้แผ่นเหล็กแบนๆ แผ่นเดียวมาตีให้โค้ง ใช้เวลาตีแผ่นนี้ประมาณ 1 วัน ใส่ตัวสันด้านบนด้วยเหล็กเส้นมาเชื่อมติด ราคาแค่เฉพาะตัวถังและบังโคลนก็ประมาณ 50,000 บาทแล้ว”
สำหรับแรงบันดาลใจในการใช้สี กิติพงษ์ เผยถึงเคล็ดลับว่า จริงๆ เพนต์สีไปสักพัก คิดไม่ออกว่าจะใช้สีอะไร แต่มีลูกค้ามาให้เราทำ เขาบอกว่าอยากได้สีนี้เป็นหลัก เราต้องคิดและหาว่าสีไหนจะตัดกับสีไหนได้บ้าง ทำอย่างไรให้ออกมาสวยและเป็นตัวเขา
“ผมก็ต้องเอาสีมาลองพ่นกับแผ่นเหล็กดูว่า สีม่วงอยู่กับสีไหนแล้วสวยหรือเด่น และสีที่ได้ก็เป็นสีม่วงกับเหลืองทองดูสวยดี แล้วก็ต้องดูให้เข้ากับตัวเครื่อง แฮนด์ ความสูงของเบาะ ที่วางเท้า ความยาวตั้งแต่ล้อหน้าถึงล้อหลัง ต้องวัดให้พอดีกับเจ้าของรถแต่ละคันด้วย ทุกอย่างในตัวรถสำคัญหมด”
“ท่อไอเสียนั้น ขึ้นอยู่กับว่าใช้กับเครื่องอะไร ทรงเป็นแบบไหน เสียงของมันออกมาจะต่างกัน บางทีชอบท่อของคันนี้ไปต่อกับท่อของอีกคัน เสียงที่ได้อาจจะดังกว่า ต่อออกมาแล้วคุณอาจไม่ชอบก็ได้ การแต่งรายละเอียดของตกแต่งรถที่ใช้ ผมใช้ปลอกกระสุนปืนมาฝังไว้ ผมรู้สึกว่ามันสวยดี เป็นสีทองเหลืองก็ตัดกับสีบรอนซ์ได้ดี ไม่ได้ซื้อหรอก ขอเพื่อนมาฟรี” เมื่อพูดจบ เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ในส่วนของการผลิตวงล้อเขาเล่าว่า อยากออกแบบให้ดูเป็นศิลปะและเข้ากับรายละเอียดอื่นๆ ของรถเหมือนกัน หากแต่วิธีและขั้นตอนการทำนั้นยากและต้องใช้เครื่องผลิต ซึ่งขณะนี้ในประเทศไทยเริ่มมีคนผลิตเครื่องที่ใช้เพนต์ออกมาบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่นิยม
อย่างไรก็ดี หากใครสนใจเกี่ยวกับการตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ให้เป็นบุคลิกเหมือนตนเองสามารถเข้าไปที่ www.thorchops-kustoms.com
รายละเอียดราคาการตกแต่ง
• ราคาเพนต์เฉพาะบังโคลน ตัวถัง และบังโคลนหลัง เริ่มต้นที่ประมาณชิ้นละ 25,000 บาท ขึ้นอยู่กับลายและวัสดุที่นำมาใช้
• ราคาอย่างต่ำที่รวมตัวเครื่องของฮาร์เลย์ เดวิดสันโดยประมาณ 300,000 บาท
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน
ทีมข่าว M - Lite รายงาน