“เมื่อเขาให้ความสุขเราที่ได้เลี้ยงสัตว์ เราก็ต้องตอบแทนให้เขามีความสุขอยู่กับเราด้วย”
คงเป็นเรื่องธรรมด๊า..ธรรมดา หากบอกว่าสาวหน้าหวานอย่าง เจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ จะเลี้ยงสุนัขถึง 5 ตัว แมวอีก 1 และปลาเล็กปลาน้อยมากมาย แต่บอกไปใครจะเชื่อว่าสาวคนนี้ชอบสัตว์เลี้ยงแปลกๆ เป็นชีวิตจิตใจ
เจี๊ยบ-ลลนา เลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะปลา ด้วยความชอบดูวิวัฒนาการของสัตว์ ชอบสังเกตว่าอยู่อย่างไร ผสมพันธุ์อย่างไร ปลากัดก่อหวอดได้อย่างไร เคยอยากจะเพาะพันธุ์ปลาแต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะยังเลี้ยงแบบไม่มีความรู้
แรกๆ เธอก็เลี้ยงปลาธรรมดาอย่างปลาสอด ต่อมาก็เริ่มสนใจและเลี้ยงปลาแปลกขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างปลาหมอ ปลาเตทตรา ปลาแบล็กโกสต์ ปลานีออน ปลาออสการ์ หรือปลาดุกเผือก
“ตอนนั้นเลี้ยงปลาหมอกับปลาดุกเผือกไว้ด้วยกัน วางตู้ไว้ในห้องน้ำ พอเปิดเข้าไปดูอีกที เนื้อปลาดุกเผือกหายไปแถบหนึ่ง คือเห็นเหลือแต่ก้าง แต่ยังไม่ตายนะ คือแบบ..เฮ้ย! ช็อกมาก ไม่คิดว่าปลาหมอตัวเล็กๆ ฟันก็ไม่มี มันจะมากัดกัน เป็นภาพฝังใจมาก สุดท้ายด้วยความเป็นเด็ก ก็จบลงด้วยการตักปลาหมอไปใส่ตุ่มข้างนอกเพื่อทำโทษ”
แต่ถึงจะช็อกยังไงเธอก็ยังคงเลี้ยงปลาแปลกๆ ปลาที่มีลักษณะเด่น ดูแล้วน่าค้นหามาโดยตลอด มีตัวหนึ่งที่เธอประทับใจสุดๆ คือปลาหมอไฟฟ้า ที่เธอเลี้ยงเองกับมือตั้งแต่ตัวเล็กๆ ยันตัวเท่าครึ่งแขน และแน่นอน...เธอก็โดนช็อตมาแล้วด้วย
โดนจังๆ ตอนที่ปลาหมอไฟฟ้าเหมือนจะไม่สบาย เธอเลยตัดสินใจป้อนอาหารให้ด้วยมือ แต่อาหารยังไม่ทันถึงปากปลา แค่หนวดมาสะกิดโดนนิ้วเท่านั้น สาวเจี๊ยบก็สะดุ้งเฮือกชักมือออกแทบไม่ทัน
“คือมือแบบเด้งปึ๋งขึ้นมาเลย มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้นแต่มันจี๊ดมาก เพราะกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยมาจากที่เคยอ่านคือ 220 โวลต์ แต่ไม่ใช่กระแสตรง สุดท้ายก็ต้องยอมไปงานปัจฉิมนิเทศตอน ม.6 สายเพราะจะพาปลาไปหาหมอ”
ถ้านี่ว่าแปลกแล้ว ขนาดปลาลิ้นหมายังไม่รอดพ้นสายตาของเธอไปได้ ครั้งหนึ่งเธอไปเดินจตุจักรเคยซื้อมาเลี้ยงใส่ตู้ไว้ราว 5-6 ตัว โดยใส่ไว้ในตู้กระจกธรรมดาที่ไม่มีฝาปิดด้านบน และตั้งไว้ในห้องน้ำ เช้าวันต่อมาเธอก็ต้องช็อกอีกครั้งกับภาพตรงหน้า
“ตอนนั้นญาติมาพักที่บ้าน แล้วเขาเข้าห้องน้ำ ปรากฏว่าเข้าไม่ได้เลยเพราะปลาลิ้นหมาในตู้มันร่อน กระโดดออกมานอกตู้ แปะบนส้วม แปะบนพื้นกระจายเต็มไปหมด คือต้องมานั่งแซะเพราะแห้งติดพื้นเลย ตอนนั้นขำตัวเองแต่ก็สงสารปลาสุดๆ”
หลังจากต้องผจญสารพัดวีรกรรมกับปลาแปลกๆ ของเธอแล้ว ก็มาถึงเจ้า “เก๊า” จิ้งจกน้ำแสนรักที่มีคนให้มา หรือซาลาแมนเดอร์สัตว์เลือดเย็นครึ่งบกครึ่งน้ำ ผิวบางขาวอวบที่มัดใจสาวเจี๊ยบอยู่หมัด ซึ่งเดิมนั้นมี 2 ตัว ชื่อเก๊ากับเผือก แต่เผือกตายไปก่อนแล้วจึงเหลือแค่เก๊าตัวเดียว เธอบอกว่าเคยเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าเป็นปลาหน้ายิ้มหรือปลายิ้มได้ตัวขาวๆ มีพู่คอสีแดงๆ ก็รู้สึกหลงรักขึ้นมาทันทีและอยากเลี้ยงมาก เจี๊ยบบอกว่าสายพันธุ์นี้เกิดจากการวิวัฒนาการไม่เต็มที่ของซาลาแมนเดอร์ที่เห็นเดินอยู่บนบกทั่วไป
พร้อมกับยอมรับว่าตอนเริ่มเลี้ยงลำบากจริงๆ เพราะรู้เพียงว่าต้องรักษาอุณหภูมิของน้ำไม่ให้เกิน 27 องศา ถึงขนาดยอมเปิดแอร์ห้องนอนคุณพ่อทั้งห้องไว้ตลอดวันตลอดคืนเพื่อรักษาอุณหภูมิน้ำไว้
ต่อมาจึงเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งในประเทศไทยมีข้อมูลน้อยมาก จึงเริ่มดูเว็บไซต์ต่างประเทศ ต้องอ่านต้องคุยเป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นงูๆ ปลาๆ มาก แต่มาถึงวันนี้นอกจากได้เลี้ยงสิ่งที่อยากเลี้ยงแล้ว ยังได้ภาษามาด้วย
“เลยรู้ข้อมูลว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ 27 องศาแต่เป็นประมาณ 21 หรือต่ำกว่านั้นจะดีต่อเขามากกว่า เริ่มมองหาเครื่องปรับอุณหภูมิน้ำ ซึ่งราคาแพงมาก เลยทุ่มแต๊ะเอียในปีนั้นให้คุณเก๊าหมด เคยใช้น้ำแข็งใส่น้ำให้เย็น แต่มันทำให้อุณหภูมิแกว่ง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นจะทำให้เขาไม่สบายหรืออาจช็อกได้”
ด้วยความบอบบางของผิวจิ้งจกน้ำ ยังต้องระวังเรื่องกรดแอมโมเนียในน้ำที่มาจากการขับถ่ายของเสียด้วย หากเข้มข้นมากไปจะทำให้กัดผิวได้ ต้องใช้เครื่องกรองที่สามารถคงจุลินทรีย์ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อถ่วงดุลค่าความเป็นกรดของน้ำ จำเป็นต้องใช้เครื่องกรองที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงเพราะน้ำสกปรกง่ายมาก และยังต้องคำนึงถึงเรื่องข้างต้นอีก
ส่วนอาหารก็ควรเป็นอาหารที่ขยับได้ อย่างหนอนแดงแช่แข็ง ที่ต้องล้างแล้วล้างอีก เธอเองก็ล้างมือซ้ำๆ กลายเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำไม่รู้ตัว ด้วยความกลัวว่าเจ้าเก๊าจะติดเชื้อ เวลากลับมาบ้านเธอต้องป้อนด้วยตัวเองทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ฝึกให้กินอาหารเม็ดรสเนื้อได้ และกินครั้งหนึ่งก็อยู่ได้เป็นอาทิตย์
“หลังจากศึกษาทุกอย่างและทำได้ด้วยตนเองแล้ว มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจกว่าจะเลี้ยงจากตัวเท่านิ้วก้อยมาจนตอนนี้ 5 ปีแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงเรา เวลาเอามือลงไปก็ไม่ตกใจ”
บางวันก็มีเรื่องให้ระทึกบ้างอย่างกลับบ้านมาพบว่าปลั๊กเครื่องทำอุณหภูมิหลุด น้ำก็อุ่น ก็รีบไปซื้อน้ำแข็งมาใส่ หรือบางครั้งเวลาเป็นแผลเล็กแผลน้อยก็ถ่ายรูปขึ้นถามในเว็บบอร์ดทันที
ด้วยความที่จิ้งจกน้ำไม่สามารถมองเห็นได้ แต่จะรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยระลอกคลื่นน้ำ แผลส่วนใหญ่ที่ได้คือเวลาที่ตกใจ “เก๊า” ก็จะว่ายน้ำพุ่งชนไปทั่ว จึงต้องระวังเรื่องอุปกรณ์ตกแต่งตู้ด้วย ห้ามมีคมเด็ดขาด โดยที่ในตู้นี้เธอนั่งเหลาตะไบมุมด้วยตัวเอง
“ปกติเขาจะเป็นสัตว์รักสงบ อยู่นิ่งๆ เงียบๆ ขี้ตกใจ ชอบอยู่ในที่มืดๆ ชอบให้มีที่หลบหรือมุดเข้าไปได้ ก็เลยต้องจัดที่อยู่ให้เหมาะสม ด้านบนตู้ก็มีฝาปิด เพราะครั้งหนึ่งเก๊าเคยพุ่งออกจากตู้แบบไม่รู้สาเหตุ นอนผึ่งตัวแห้งกับพื้น เจี๊ยบก็อารมณ์เดียวกับตอนเห็นปลาดุกเลย”
แต่ในกรณีที่เป็นแผลไปแล้วนั้น ก็สามารถรักษาเบื้องต้นง่ายๆ ด้วยการใส่เกลือลงไปในน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการดองเค็มจิ้งจกน้ำแทน หรือในกรณีที่ในตู้มีจุลินทรีย์มากเกินไปก็สามารถนำตัวไปแช่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาสักพักเพื่อหยุดจุลินทรีย์ไว้และหาทางออกต่อไป
หากเป็นมากก็ควรไปหาสัตวแพทย์จะดีที่สุด แต่ด้วยความเป็นสัตว์แปลกจึงหาคนที่รู้วิธีรักษาค่อนข้างยาก ตรงนี้ก็ต้องศึกษาหาที่ที่เชื่อถือได้ รวมทั้งต้องมีข้อมูลของตัวเองด้วย อย่างไปเจอในอินเทอร์เน็ตมาว่า ยานี้รักษาได้ก็จำชื่อไปถามหมอขอคำแนะนำ
จากการเลี้ยงเจ้าเก๊า เจี๊ยบยืนยันว่าไม่ใช่ได้แค่เลี้ยง ความเพลิดเพลิน ความรัก แต่ก็ทำให้ได้ภาษา ได้ความรู้ ทำให้รู้จักค้นคว้าข้อมูลเองด้วย ดังนั้น สำหรับใครที่อยากเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะ หมา แมว หมู เป็ด ไก่ อะไรก็ตามเหมือนกันหมด คือสัตว์เลี้ยงไม่ใช่ของเล่น
การจะเลี้ยงสัตว์ต้องมีความรู้เบื้องต้นในระดับหนึ่ง อย่างน้อยเวลาที่สัตว์เลี้ยงป่วยก็สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นเองได้ รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร คอยสังเกตอาการ และหาวิธีรักษาเท่าที่จะทำได้ก่อน เลี้ยงสัตว์ให้เหมือนคนหนึ่งคน คนในครอบครัวคนหนึ่ง ต้องรักในตัวของสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่รักเพียงตอนเด็กพอโตแล้วหน้าตาเปลี่ยนไปก็ไม่รักไม่ชอบเหมือนเดิม
“เจี๊ยบขอว่า อย่าคิดว่าพวกเขาเป็นของเล่น อย่าคิดว่าเป็นเพียงชีวิตเล็กๆ เมื่อเอามาเลี้ยงแล้วก็ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด ต้องศึกษาเพราะต้องรับผิดชอบทั้งชีวิต ต้องรักให้เหมือนเรารักตัวเอง”
ภาพโดย...อดิศร ฉาบสูงเนิน
จิ้งจกน้ำคืออะไร
จิ้งจกน้ำจริงๆ แล้วมีชื่อเรียกว่า Sirenidae หรือ Sirens เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับซาลาแมนเดอร์ มีขาหน้าและขาหลังเล็กมาก มีโครงสร้างเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังแต่เป็นกระดูกอ่อนทั้งหมด จิ้งจกน้ำจะพบได้บริเวณทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาและทางตอนบนของประเทศเม็กซิโก
มีจุดเด่นที่ต่างจากตระกูลซาลาแมนเดอร์ทั่วไปคือ มีพู่หนวดยื่นออกมาคล้ายแผงคอตั้งแต่เล็กจนโต ลำตัวยาวประมาณ 30 ซม.และมีอายุได้นานถึง 15 ปี มีหลายสีตั้งแต่ลายจุดสีเข้ม ไปจนถึงสีขาวทั้งตัว และสีเผือก