xs
xsm
sm
md
lg

1 ปี 15 กิโล สูตรลับ “พลอย จริยะเวช”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พลอย  จริยะเวช
“พลอย จริยะเวช” เจ้าแม่แห่งไลฟ์สไตล์ ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นสาวไซส์อวบอิ่ม แก้มยุ้ย ขี้โรค หนัก 65 กิโลกรัม มาวันนี้เธอกลายเป็นสาวไซส์เล็ก หนักเพียง 47 กิโลกรัม ที่ใครต่อใครได้เห็นเธอต่างถามถึงสูตรลับในการลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะทาง เฟซบุ๊ก ,อีเมล์,ทางโทรศัพท์ , การพูดคุยเมื่อพบเจอเธอ

วันนี้จะพาไปเปิดเคล็ดลับที่ไม่ลับอีกต่อไปของ “พลอย จริยะเวช” ว่าเธอมีวิธีอย่างไรที่ทำให้สุขภาพของเธอทั้งแข็งแรงและมีความสุขกับการดูแลร่างกาย

Q: สาเหตุอะไรที่ทำให้มีความคิดอยากจะลดน้ำหนัก

A: หลายครั้งที่พลอยเองต้องการลดน้ำหนัก แต่มีหลายคนบอกว่า เลิกพูดว่าจะลดความอ้วนได้แล้ว เพราะไม่เคยทำได้ ในความคิดตอนนั้นคิดเพียงว่า ถึงจะอ้วนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย และสามีเองก็ชมอยู่ตลอดเวลาว่าเธออ้วนแล้วน่ารัก แต่ความคิดเหล่านั้นทำให้เธอมีโรคภัยจากสุขภาพเข้ามารุมเร้าอยู่มากมาย
มีช่วงหนึ่งที่เราทำงานเยอะมาก ไม่ประเมินตัวเอง ทำให้กลายเป็นโรคเครียดสะสม ฮอร์โมนผิดปกติมาก ไม่มีประจำเดือน รำคาญตัวเอง อารมณ์หงุดหงิดง่าย อืดมาก เป็นไมเกรน ไฮโปรเทอรอยด์ เป็นแล้วบวม

“เรามองว่าผอมแล้วอาจจะดูโทรมก็ได้ แล้วที่ผ่านมาเราเองก็ตั้งใจลดน้ำหนัก แต่ก็ทำไม่ได้สักที เลยเปลี่ยนความคิดมาเป็น เราอยากสุขภาพดีมากกว่า แล้วทำอย่างไรที่จะทำให้สุขภาพของเราดี พลอยเองอยากมีสุขภาพดีมากกว่า แล้วเรื่องผอมมันเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้นเอง ส่วนตัวคิดว่าผอมแล้วร่างกายอาจจะไม่สมดุลกันก็ได้ เพราะตอนที่ร่างกายไม่สบาย ป่วย น้ำหนักก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

Q: หากว่าไม่ได้ต้องการลดให้ผอม แล้วคุณมีหลักการอย่างไร

A: พลอยก็รู้แค่ว่าชีวิตของเรายังต้องมีทางสายกลางเลย อย่างนั้นสุขภาพเองก็ต้องการทางสายกลางเช่นกันเราก็เลยยึดหลัก 3 ประการ ที่เห็นว่าน่าสนใจและจะทำให้สุขภาพของเราเองมีความสมดุล ก็เลยยึดหลัก well balance ที่ต้องทำให้ร่างกายของเรามีความสมดุล Personal like เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมที่ต้องหาอะไรที่เหมาะกับตัวเอง กินอะไรที่เหมาะกับสุขภาพของเรา และสุดท้าย คือหลัก Mix&Match ซึ่งต้องดูวิธีการกินที่เราสามารถทำได้แล้วเอามาทำในแบบที่เราชอบก็เท่านั้นเอง

อย่างเราเป็นคนชอบกินขนมหวานมาก เลยรู้ปัญหาของตัวเองว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อ้วนก็คือน้ำตาล แต่เราเองไม่คิดจะเลิกเลย เพราะเป็นของชอบ แต่พอตอนหลังมีหมอที่เราคอยไปปรึกษาอยู่เป็นประจำบอกว่าน้ำตาลมีผลต่อฮอร์โมนและมีเอฟเฟกต์มาก เราเองก็เริ่มลดการกินอาหารประเภทที่มีน้ำตาลลง แต่ก็ไม่ได้ตัดไปเลยทีเดียว

Q: อย่างนั้นก็กินพวก อาหาร low sugar ได้สิ

A: โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่าหากกินแบบนี้เราเลือกกินที่มี น้ำตาลจะดีกว่า แต่จะต้องกินในปริมาณที่สมดุล เพราะไม่แน่ใจว่าพวก low sugar จะทำให้ตับของเราทำงานหนักขึ้นหรือเปล่า

“ถ้ากินแล้วไม่อร่อย ก็อย่าไปกินมันเลยดีกว่า หรือบางทีกินไปแล้วมันเสียเปล่าๆ ถ้าจะดื่มกาแฟ ก็เลือกใส่น้ำเชื่อมน้อยๆ เพราะบางทีเรากินไปอาจจะไม่รู้ว่าจริงๆ น้ำเชื่อมปกติเขาอาจจะใส่ 5 ปั๊ม มันเท่ากับเรากินข้าว 4 จาน ก็เลยเอาแค่ปั๊มเดียว น้อยๆ แต่พอให้หวานๆ จะดีกว่า”

Q: ในหนึ่งวันคุณกินอะไรบ้างล่ะ

A: ก็กิน5 มื้อ เพราะว่าต้องเรียนรู้อย่างหนนึ่งว่าเทรนด์การกินตอนนี้จะมีเทรนด์อยู่ที่มันตรงกับเรา ก็คือ Well Balance หรือที่เรียกกันว่า รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ก็คือการทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่ลดต่ำลง

การกินอาหารเช้าเรามองว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าไม่กินมันจะรู้สึกโหย แล้วเราเองก็ปรับการกินตอนเช้าให้เป็นมื้อที่ใหญ่ที่สุด จนมีคนทักว่า มันจะหนักไปไหม มันถูกต้องแล้วล่ะ ต้องกินแบบอลังการ เพราะมันจะถูกย่อยไปทั้งวัน

ตารางการกินก็จะทำแบบจัดจานง่ายๆ ตอนเช้าก็จะมีพวกแป้ง โปรตีน ไข่ เย็นก็มีแค่ผักและโปรตีน เพราะบางทีในบางอย่างที่กินเข้าไปอาจจะมีไขมันบ้างอยู่แล้ว อย่างตอนเช้าเรา กินแฮม ก็มีไขมัน บางคนกินอาหารจำพวกโนคาร์บเข้าไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าบางทีสมองเราเองก็ต้องการกลูโคส กินตอนเช้า ทั้งวันมันก็จะค่อยๆ เผาผลาญไปเรื่อยๆ

ถ้าคนเราไม่กินอะไรตอนเช้า พอสัก 10 โมง น้ำตาลในเลือดมันวูบต่ำลง ร่างกายไม่มีอะไรไปย่อย นอนอนมาตั้ง 7-8 ชั่วโมงแล้ว ก็จะอยู่ในช่วงอดอยากมาก ผลที่ตามมาก็คือ ทุกคนจะต้องการสิ่งที่ทำให้มันเพิ่มขึ้นมาทันที ทั้งขนมหวาน น้ำอัดลม อะไรก็ตามที่ไม่ดีต่อร่างกาย

เพราะฉะนั้นการกินที่จะทำให้ค้นพบว่าจะทำให้ไม่หิว ก็คือการกินทั้งวัน แต่ต้องให้มันสมดุลกัน ต้องเอามามิกซ์แอนด์แมตซ์กันให้ได้ กินถั่ว โยเกิร์ตเข้า ไป เพราะช่วยรักษาน้ำตาลในเลือดได้ ร่างกายค่อยๆซึม ค่อยๆ ย่อยเข้าไป หรืออะไรที่เป็นเส้นใยไฟเบอร์ก็กินอาหารที่ค่อยๆ ย่อยเข้าไปอีก เช่นข้าวกล้อง บ่ายก็อาจจะหาสิ่งที่มีประโยชน์ จะได้ไม่รู้สึกอดอยาก ตัวเองจะมีชามิ้นท์ เพราะเราทำความเข้าใจแล้วว่าอะไรที่กินแล้วสมดุล เมตาบอลิซึมก็ได้ทำงานไปด้วย

Q: มีเมนูลดน้ำหนักที่ชอบหรือเปล่า

A: ส่วนตัวไม่มีเมนูที่ชอบ เป็นแม่บ้านสมองลิงมากกว่าชอบก็นำมาปรับให้เป็นเมนูปกติที่เรากินได้ วันไหนที่กินข้าวนอกบ้านก็กินอาหารที่ไฟเบอร์ บางอย่างกินไม่ได้เราเองก็มีทางเลือกที่จะอิงตามหลักการ ไม่ได้กินแต่ผักอย่างเดียวหรืออะไรที่น้ำตาลน้อย ก็กินไก่ย่างแต่ขอเป็นแบบไม่มีไขมัน ไข่ต้มก็เป็นแบบยางมะตูม วันหนึ่งเราจะกินไข่ไม่เกิน 1 ฟองเท่านั้น

เป็นคนช่างเลือกกับการกินมากขึ้น สิ่งที่เรามองก็คือวิธีการปรุงอาหารมากกว่า อย่างผัดซีอิ๊วไข่ที่ใส่ลงไปเราไม่รู้ว่าใส่ไปทั้งหมดกี่ฟองกว่าจะได้เป็นผัดซีอิ้ว 1 จาน เคยมีครั้งหนึ่งเราไปกินอาหารที่โรงแรม แล้วอยากกินออมเลต ไปยืนดูเขาปรุงก็รู้ว่า เข้าใส่น้ำมันลงไป ตามด้วยไข่อีก 4 ฟอง ในนั้นก็จะมีหมู แฮม ด้วย จริงๆ การกินอะไรเข้าไปต้องเห็นที่ตัวตน ขั้นตอนที่แท้จริงของอาหารจะดีกว่าเห็นตอนที่แปรรูปไปแล้ว คิดว่ามันดีต่อร่างกาย

Q: ดูแลเรื่องการกินอย่างเดียวหรือเปล่า

A: “ก็ไม่สิ” ช่วงแรกออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4 วัน หลังๆ พออยู่ตัวก็เหลือ 3 วัน เราก็ต้องทำความเข้าใจกับการออกกำลังกายด้วย เพราะมีทั้งแบบแอ็กทีฟ และแบบแพสซีฟ ซึ่งอย่างแรกเป็นการออกกำลังกายที่จะทำให้หัวใจเต้นแรงและเหงื่ออกมากๆ แต่พลอยเป็นคนต้นแขนใหญ่ ก็จะออกแบบแพสซีฟ ที่จะช่วยยืดเส้นยืดสายช้าๆ อย่างโยคะ ก็ต้องทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปด้วย ต้องเริ่มสังเกตไลฟ์สไตล์ของเราเองด้วย

Q: หลังจากน้ำหนักลด สุขภาพเป็นอย่างไร

A: อันที่จริงพลอยเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะลดน้ำหนักนะ เพราะว่าถ้าคิดว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่ มันจะรู้สึกเครียด ก็คิดเสียว่าเมื่อกินแล้วก็ต้องดูแลเรื่องการออกกำลังกาย สองสิ่งนี้สำคัญมาก ไม่มีวิธีไหนที่สำคัญกว่าเลย ถ้าไม่มีสองอย่างนี้พลอยเองก็ไม่ประสบความสำเร็จได้ บางคนคิดว่าอยากจะลดน้ำหนัก ก็อดข้าวเย็น อดขนม แต่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย นอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ คิดว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวซึ่งเราต้องทำให้ได้ก่อน คนส่วนใหญ่เห็นเราผอมก็อยากได้สูตรที่เร่งด่วนเลย แต่เราแค่มีสุขภาพดี ความผอมมันเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น

หลังจากนั้นสุขภาพ ฟิต สดชื่น กระปรี้กระเปร่าขึ้น รู้สึกว่าไม่ทรมาน หรือไม่รนกับการทำงานหลายๆ อย่าง เมื่อก่อนจะรู้สึกหงุดหงิด ด้วยความที่ร่างกายเราไม่พร้อม ไม่สบายด้วยโรค ก็ไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เข้ามา เดี๋ยวนี้ก็เริ่มจัดเวลา เริ่มจัดว่า ทำอันนี้ไปก่อนนะ แล้วรู้สึกว่าสบายขึ้น ร่างกายก็สบายขึ้น

ตอนนี้หนัก 47-48 เราต้องแฮปปี้กับร่างกายตัวเองก่อนแล้วความสดชื่นจะตามมา เป็นการทดลองด้วยตัวเอง เราอยู่ในยุคของข้อมูลข่าวสารมันไม่ได้ยากเลยที่เราจะรู้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับทุกคนเลย หลักการทุกอย่างมีความคล้ายกันหมด อยู่ที่คนจะหยิบจับอะไรมาปรับให้เข้ากับตัวเองมากกว่า

Q: มีผลตอบรับจากคนข้างๆ บ้างหรือไม่

A: “โอ๊ย” (หัวเราะ) สามีเป็นคนตลกโหดค่ะ ตอนแรกที่จีบกันก็ไม่เคยบอกว่าเราอ้วนเลย แต่พอผอมก็เรียกเรา “ช้างน้ำ” ออกแนวประชด เขาเป็นคนคอยให้กำลังใจเรา ชวนเขามาเป็นเทรนนิ่ง มาออกกำลังกายด้วยกัน บางครั้งก็ให้เป็นหนูทดลองไปก่อน เห็นเขากินอะไรเราก็บอกว่าสิ่งนี้ดีต่อสุขภาพนะ

แต่ปัญหาของเขาคือไม่ชอบออกกำลังกายในห้องแคบๆ จำนวนเวลาไม่ค่อยสม่ำเสมอ คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าทำไมฟิตแบบนี้ แต่เขาเองกลับมากินแป้ง กินขนมปัง ดื่มน้ำอัดลม

เคยพาแฟนไปตรวจเม็ดเลือดขาว ซึ่งของเขาจะสู้เราไม่ได้ ของเราจะเรียงตัวสวย แต่เขาเป็นพวกที่ชอบดื่มน้ำอัดลมมาก ผลตรวจออกมาสามีเลือดเป็นกรด เพราะเขาดื่มน้ำน้อย เขาเอยพยายามบอกตัวเองว่ามันเป็นยาพิษต่อร่างกาย แล้วก็ค่อยๆ ห่างจากน้ำอัดลมไปเอง สามีก็เริ่มดูแลสุขภาพตัวเองไปด้วยเหมือนกัน

Q: ฝากอะไรให้กับคนที่กำลังเริ่มต้นดูแลสุขภาพ

A: หยุดความคิดที่จะลดน้ำหนัก แล้วคิดเสียว่ากำลังทำร่างกายให้แข็งแรง สมดุล แล้วมันจะนำมาซึ่งน้ำหนักตัวที่เหมาะเจาะกับเราเอง ไม่ว่าอ้วนหรือผอมมันเป็นนามธรรมที่ไม่สมดุล เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครที่จะทราบว่าหุ่นที่พอดีสำหรับแต่ละคนนั้นอยู่ตรงไหน

ต้องเริ่มที่การทำความเข้าใจกับร่างกายของเรา ใจเย็น ไม่มีสูตรอะไรที่ตายตัว จะมาให้เลิกกินอะไรตลอดชีวิตก็ไม่มีใครทำได้ มันเป็นหลักตรรกะความจริงที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้

“มันต้องคิดว่าตัวเราทำเพื่อตัวเราเองมากกว่า ถ้าคุณอ้วนแล้วสุขภาพแข็งแรง มีความสุข สมองคุณแล่น ก็เป็นเรื่องที่ดี” คำทิ้งท้ายของบทสนทนา ของ พลอย จริยะเวช


***************************************

ภาพโดย : วรงค์กรณ์ ดินไทย







กำลังโหลดความคิดเห็น