ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็มีผู้ชายเจ้าชู้อยู่ทั้งนั้น แต่รู้ไหม ว่าประเทศไทย มีผู้ชายเจ้าชู้ที่โดนตัดจู๋มากที่สุดในโลก!!
วารสาร Thailand annual of surgery ฉบับ เดือนตุลาคม ปี 1977 (2520) รายงานว่า ในประเทศไทย มีกรณีการผ่าตัดเพื่อต่ออวัยวะเพศเป็นจำนวนมาก ซึ่งเกือบทั้งหมดโดนตัดเพราะความเจ้าชู้ประตูดินเป็นต้นเหตุเกือบทั้งสิ้น โดยในแต่ละปีจะมีการผ่าตัดเพื่อคืนความเป็นชายให้แก่คนไข้มากถึง 70 – 80 เคส เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติของประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษที่มีเคสแบบเดียวกัน ปีละ 3 - 4 เคส ก็นับว่าคดีเจื๋อน ‘ของรัก’ ในบ้านเรานั้นมากโขอยู่
เวลาล่วงเลยเข้ามาสู่ปี 2009 (2552) สถิติที่ว่า ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
การมีเคสนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก ย่อมส่งผลให้หมอไทยเก่งขึ้นเป็นเงาตามตัว ในปี 1997 นั่นเอง ชื่อของนายแพทย์สุรศักดิ์ เมืองสมบูรณ์ อดีตหัวหน้าภาคศัลยกรรมพลาสติก ศิริราชพยาบาล ก็ได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Time ในฐานะของหมอต่ออวัยวะเพศมือดี
เบื้องแรก ไปสำรวจสาเหตุของคดีหั่นหฤโหด ที่เกิดขึ้นจำนวนมากในบ้านเราผ่านทัศนคติของชายหญิงไทยกันก่อน
หญิงร้าย
ในฐานะของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุด โอกาสนี้ ไปสอบถามความเห็นของบรรดาชายหนุ่มทั้งหลายว่าเขาคิดอย่างไรกันบ้าง
เริ่มต้นที่ดารานักแสดงอย่าง เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี ซึ่งกล่าวว่า รู้สึกเศร้ามาก คือคนที่ถูกตัดอวัยวะเพศออกมา ก็เหมือนถูกตัดความเป็นชาย สำหรับตนเรื่องนี้มันรุนแรงเกินไป ทำเกินเหตุ ถึงจะมีปัญหาอะไรก็ไม่ควรทำแบบนี้
“เรื่องนี้ส่วนใหญ่ ก็คงมาจากเรื่องชู้สาวใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะสะท้อนให้เห็นได้เหมือนกันว่า ผู้หญิงบ้านเมืองเรา มีความโหดร้ายทารุณมากกว่าบ้านเมืองอื่นเยอะ”
เต๋อกล่าวต่ออีกว่า เรื่องนี้คงบอกว่าใครผิดใครถูกคงลำบาก เพราะคงต้องดูว่าคนที่ถูกตัดไปทำอะไรมา แต่ถ้าถามถึงความสมเหตุสมผล ก็ไม่ถูกต้องแน่นอน แม้ว่าคนที่ตัดเองจะมองว่าเรื่องนี้เป็นการแก้แค้นก็ตาม
“การแก้ปัญหาแบบนี้คงหาความสมเหตุสมผลไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นการตัดไปเลย คนเราปกติทำผิดก็ยังมีสิทธิ์แก้ตัวใช่ไหม แต่ถ้าตัดออกไปแล้ว มันไม่มีโอกาสอีกแล้ว ชีวิตที่เหลือของคนนี้ ก็คงไม่มีความหมายอีกแล้ว เพราะมันคือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ในกรณีที่ต่อไม่ได้นะ”
เมื่อถามต่อว่า หากเกิดกรณีกับตัวเอง แต่ผู้หญิงยังปรานีให้โอกาสเอาวัยอวะเพศกลับไปต่อได้ เขาจะยังคบกับผู้หญิงคนนี้ต่อไปไหม เต๋อก็ตอบทันทีว่า ‘ไม่มีทาง’
“มันคืออัปยศ ถามหน่อยว่าเป็นใครจะยอมอยู่กับความอัปยศได้ แล้วถึงต่อได้มันก็ดูรุนแรงอยู่ดี ถ้าอยู่ต่อไป เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก”
ด้าน คุ้ง (นามสมมติ) พนักงานบริษัทวัย 23 ปี มองประเด็นนี้ว่า คงเป็นเพราะผู้คนในประเทศนี้ชอบความรุนแรง โดยเฉพาะผู้หญิง สำหรับตนคิดว่าจริงๆ แล้วเวลามีปัญหาก็คงไม่ต้องถึงขั้นนี้ก็ได้น่าจะคุยหรือเจรจากันมากกว่า
“ผมมองว่าจริงๆ เรื่องนี้จะโทษผู้หญิงอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะสาเหตุก็มาจากผู้ชายนั่นแหละ ถ้าไม่ทำอะไรผู้หญิงเขาก็คงไม่ตัดหรอก แต่อย่างว่ามันก็รุนแรงเกินไป ถ้าทนไม่ได้ จะเลิกหรือทำอย่างอื่นแทน คือทำอย่างนี้สู้เอาปืนมายิงให้ตายดีกว่า”
คุ้งกล่าวต่ออีกว่า จริงๆ แล้วการหาทางออกสำหรับผู้หญิงนั้นมีมากมาย แต่อย่างว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ความรุนแรงของโทษที่ได้รับก็คงน้อยกว่าการฆ่าให้ตาย เพราะการทำแบบนี้อย่างมากก็แค่ทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ฆาตกรรม
“ผมว่าผู้หญิงไทยเนี่ยเข้าใจผู้ชายมากที่สุด คือเขารู้ไงว่าทำแบบนี้ ถึงจะส่งผลต่อจิตใจผู้ชายมากที่สุด แต่ทางที่ดี ผมว่าผู้หญิงก่อนจะทำอะไรก็ต้องมีสติมากๆ เพราะทำแบบนี้ไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น”
ชายเลว
ทางด้านอดีต ส.ว.หญิงคนดัง ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เจ้าของสโลแกน ‘รวมกันเราอยู่ ทิ้งกูมึงตาย’ ได้ให้ความเห็นต่อกรณีนี้อย่างน่าสนใจว่า เหตุที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความเครียดและเก็บกดของผู้หญิงไทยที่ไม่มีทางออก
“สังคมไทยเราเป็นสังคมที่ความในไม่นำออก ความนอกไม่นำเข้า บางคนเท่าที่เคยรับฟังจากประสบการณ์ที่เคยแก้ปัญหาให้เขา ก็คือ เขาคิดว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนก็แก้ตรงนั้น เขาคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรื่องของอวัยวะเพศ ซึ่งดิฉันเรียกว่า ‘ไอ้ตัวป่วน’ มาตลอด เพราะมันทำให้เกิดปัญหาครอบครัวมากๆ
“การที่ผู้ชายถูกทำร้ายตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัว เป็นความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ก็สะท้อนให้เห็นว่ามันไม่มีทางสู้ ก็มีการลอบทำร้ายโดยการเฉือนอวัยวะเพศตอนที่ผู้ชายหลับหรือเผลอ ถ้าจะมองอีกมุมมองหนึ่ง ในด้านศีลธรรมและจริยธรรมก็เป็นเรื่องของความเสื่อม ที่ทำให้ผู้ชายประพฤตินอกใจมากขึ้น”
เธอได้เล่าถึงกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เมื่อหญิงไทยผู้หนึ่งตัดสินใจใช้มีดตัดอวัยวะเพศของสามีตัวเองทิ้ง เพราะสามีพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้าน
“ตอนนั้นดิฉันเป็น ส.ว. นำตำแหน่ง ส.ว.ไปประกันตัวที่ศรีราชา ชลบุรี คือสามีเอาผู้หญิงเข้ามาอยู่ในบ้าน เขาเจรจากับสามี สามีเขาก็ไม่ยอมเลิกทั้งคู่ เขาจะเอาไว้ทั้งคู่ ความเห็นแก่ตัวของเขา พอเจรจาไม่ได้ ผู้ชายทำงานเหนื่อยกลับมาก็ขอนอนก่อน ฝ่ายหญิงก็คิดว่าไม่เป็นไร...เหตุเกิดตรงไหนก็แก้ตรงนั้น ผู้หญิงเขาคิดอย่างนี้ไงพอสามีหลับปุ๊บ เขาก็เฉือนเลย เฉือนลงชักโครกไม่มีสิทธิต่อเลย”
ทั้งนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผู้หญิงที่กระทำก็ต้องรับโทษทางกฎหมาย อดีต ส.ว.ระเบียบรัตน์ยืนยันว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นความแค้นหรือการถูกกระทำ แต่ศาลก็วินิจฉัยว่ามีเหตุอันควรให้ลดหย่อนโทษในกรณีนี้ เนื่องเพราะฝ่ายหญิงที่ลงมือทำไปด้วยถูกแรงยั่วยุ ทนายนำสืบได้ว่าระหว่างตัวสามีกับผู้หญิงคนใหม่มีการโต้ตอบทางการเขียนหนังสือบอกรักจงใจให้ภรรยาหลวงเห็นทุกวัน แม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์กันต่อหน้าเธอ ศาลจึงเห็นใจให้รอลงอาญา
“มันก็มีสองมุมในกรณีนี้ ถ้ามองในมุมของผู้ชายเขาก็มองว่า คุณระเบียบรัตน์ทำไมถึงมองแต่ผู้ชายว่าผู้ชายไม่ดี ทำไมไม่มองว่าผู้หญิงเลวบ้าง ผู้ชายถึงต้องเป็นแบบนี้... มันก็เป็นเหตุผลของการแย่งกันทำความเลวนะ ซึ่งดิฉันเองไม่เห็นด้วย ไม่งั้นเขาไม่มีคุกไว้ใส่คนหรอก ถ้าคุณมีเหตุผลหมดในการทำความผิด สิ่งที่ทุกคนมีก็คือกิเลสและตัณหา แต่ความละอายเกรงกลัวต่อบาปจะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ยับยั้งชั่งใจ
“แต่เหนือสิ่งอื่นใดดิฉันอยากให้ทุกครอบครัวอยู่กันอย่างปรองดอง มีสภาพครอบครัวอบอุ่นเป็นสุข คือมีความรักกัน มีการให้อภัยกัน มีการเสียสละ มีความอดทน ล้อมรั้วกันด้วยความรัก สายใยรักตรงนี้ มันจะไม่เกิดเหตุอะไรทั้งนั้น และคำว่าเมตตาสำคัญมากๆ ถ้าขาดคำว่าเมตตามันก็จะนำมาซึ่งความเห็นแก่ตัว อยากให้ทุกคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความเห็นแก่ตัวมันจะได้ลดลง เรา เราไม่อยากให้เขาทำกับเรา เราก็ไม่ทำกับเขา ทุกอย่างมันก็จบ”
ด้วยสองมือหมอนี้ที่ช่วย (เจ้า) โลก
“เกือบทั้งหมดถูกตัดเพราะความหึงหวง แต่ก็มีกรณีอื่นบ้าง เช่น คนไข้เป็นโรคจิตเภท ที่นครศรีธรรมราช มีกรณีนักบวชนั่งสมาธิ แต่รู้สึกเกิดอารมณ์ทางเพศตลอดเวลา เลยจัดการตัดของตัวเองทิ้ง ชาวบ้านไปเจอ จึงพามาโรงพยาบาลด้วยสภาพอิดโรย เพราะเสียเลือดมาก”
นายแพทย์กัมปนาท พรยศไกร หรือหมอสาลิกาเริงร่า ของชาวเนต ซึ่งปัจจุบันเป็นแพทย์ประจำบ้าน สาขาศัลยกรรมยูโรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เล่าให้ฟังถึงกรณีที่เคยพบเห็นมา
“ทุกวันนี้ก็ยังมีปีละ 70 – 80 เคสต่อปีอยู่ อาจเป็นเพราะว่าเมื่อมีข่าวออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เกิดพฤติกรรมการเอาอย่างขึ้น เหยื่อส่วนมากจะโดนมอมให้เมา ให้สลบ หรือนอนหลับอยู่ ของที่ใช้ตัด ก็จะมีความคมสูง เมื่อปาดแล้วจะขาดเลย แผลจะเป็นแผลเรียบ ทำให้ไม่ยากในการต่อ แต่ในกรณีที่ถูกตัดขณะที่ยังรู้สึกตัวอยู่ แผลจะเหวอะหวะ และต่อยาก
“เมื่อสองสามปีก่อน เคยมีเด็กคนหนึ่งโดนจับได้ว่าขโมยเงิน แต่ไม่ยอมรับสารภาพ เจ้าของเงินจึงจับมัดและตัดจู๋ของเด็กทิ้ง เด็กก็ดิ้นทำให้แผลเหวอะหวะ ไม่เรียบเหมือนคนที่โดนมอมแล้วตัด อย่างที่บอกว่าแผลยิ่งเรียบเท่าไร โอกาสต่อให้เหมือนเดิมก็ยิ่งมีมากเท่านั้น และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือระยะเวลาที่นำมา เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่า เนื้อเยื่อนั้นถูกทำลายไปแล้วเท่าใด เซลล์ในร่างกายเรา ต้องมีเลือด มีออกซิเจนไปเลี้ยง เวลาโดนตัดอวัยวะออกจากร่างกาย เซลล์ก็จะค่อยๆ ตายลงไป ในการผ่าตัดจะต้องใช้กล้องขยายกำลังสูง ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้จะมีก็แต่โรงพยาบาลใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะมีราคาสูงมาก
“มีบางคนที่โดนตัดข้ามวันมาแล้วจึงค่อยมาโรงพยาบาล ซึ่งทางโรงพยาบาลนั้น ก็จะพยายามต่อดูก่อน ถ้าต่อติดก็ดีไป แต่ถ้าต่อไม่ติดก็ต้องมาตัดออกอีกที”
แต่ในช่วงหลังๆ มานี้ คนตัดเขารู้ว่าวิทยาการทางการแพทย์สามารถต่อกลับคืนได้ ดังนั้น จึงมีการทำลายชิ้นส่วนหลังจากตัดแล้ว เช่นการเอาไปทิ้งส้วม เอาให้เป็ดกิน กรณีที่แปลกมากๆ ก็ตัดแล้วเอาชิ้นเนื้อไปผูกกับลูกโป่งสวรรค์แล้วปล่อยให้ลอยไปบนฟ้า!!
“ในกรณีที่หาชิ้นส่วนไม่เจอ ก็จะมีการทำอวัยวะเพศเทียมให้ คือการเอากล้ามเนื้อที่อื่นมาทำ คนไข้จะยืนฉี่ได้ ใส่กางเกงว่ายน้ำได้ แข็งตัวได้ (โดยใช้กลไกที่ทำขึ้นมา) ทำกิจกรรมทางเพศได้ แต่จะไม่มีความรู้สึก เพราะเราไม่สามารถสร้างเส้นประสาทมาทดแทนได้”
และที่น่าสนใจก็คือ คนที่นำคนไข้ซึ่งโดนตัดมารักษา ส่วนมากจะเป็นภรรยาหลวง และคนที่ตัดมักจะเป็นภรรยาน้อย
“หลังจากต่อได้แล้ว ส่วนมากจะกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม มีความรู้สึกและแข็งตัวได้เหมือนเดิม สิ่งเดียวที่อาจจะขาดหายไปก็คือ ความเจ้าชู้ ซึ่งรับรองได้เลยว่าจะลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด”
..........
บัญญัติ 6 ประการ ในการดูแล “ส่วนที่หายไป”
แน่นอนว่า เรื่องของการโดนเจื๋อนนั้น คงไม่มีชายไทยคนไหนอยากมีประสบการณ์ร่วม แต่ถ้าหากวันหนึ่ง ถ้าลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าเจ้าชายน้อยของเราร่วงหล่นไปไหนก็ไม่รู้เสียแล้ว แนวทางการปฏิบัติ 6 ประการด้านล่างนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนควรรู้อย่างยิ่ง
1 เมื่อค้นพบว่าของรักหายไปจากที่ที่ควรจะอยู่ อย่างแรกที่ต้องทำคือการห้ามเลือด โดยการเอาผ้ากอซ หรือผ้าสะอาดกดลงไปบริเวณปากแผล
2 ร้องเรียกหาผู้ช่วยเหลือ ซึ่งข้อนี้ คนที่โดนตัดส่วนมากจะทำโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ยกเว้นว่าจะเห็นเลือดแล้วสลบไปอีกรอบ!!
3 มองหา ‘ส่วนที่หายไป’ ให้เจอ และตามเก็บมาให้ได้
4 ห่อชิ้นส่วนในข้อ 3 ด้วยผ้ากอซ หรือผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือ ถ้าไม่มี ใช้น้ำดื่มก็ได้
5 นำชิ้นส่วนที่ห่อแล้วใส่ถุงพลาสติก รัดปากให้แน่น ก่อนนำลงไปแช่น้ำแข็ง จำไว้ว่าอย่านำชิ้นส่วนแช่ลงไปในน้ำแข็งโดยตรง เพราะอาจจะติดเชื้อ หรือเซลอล์าจจะตายเพราะความเย็นที่มากเกินไป
6 ไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด (เลือกโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะมีอุปกรณ์พร้อมต่อ)
ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ และกรรมดีที่เคยทำสะสมมาแต่ชาติปางก่อน (ถ้ามี)
……….
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK