xs
xsm
sm
md
lg

จอมลวงโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มีคนบอกว่า คำพูดเป็นเพียงลมปาก แต่ก็เป็นลมปากที่สามารถสร้างเสริมเติมแต่งอะไรก็ได้ แล้วแต่เจ้าของลมปากนั้นจะจินตนาการหรือสรรสร้าง บางรายถึงกับสร้างเรื่องขึ้นมาเป็นตุเป็นตะ เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ จะด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพื่อให้รอดพ้นจากความผิด หรือเพื่อความสนุกสนาน แต่ลมปากที่ว่านั่น ก็ทำให้คนที่สร้างสรรค์ กลายเป็นคนลวงโลกเอาได้ง่ายๆ คนประเภทนี้มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างชาติก็มีนิสัยแบบนี้เช่นกัน

‘คนไทย’


นาธาน โอร์มาน : เล่นหนังฮอลลีวู้ดจริงหรือ?
เริ่มต้นด้วยประเด็นร้อนฉ่าของ นาธาน โอร์มาน นักร้องดังวัย 32 ปี ที่มีข่าวลือบนเว็บไซต์ว่าถังแตก ลวงโลกเรื่องชาติกำเนิด และการเป็นหนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง ‘เดอะ ปรินซ์ ออฟ เรด ชูส์’ ที่กำลังถ่ายทำร่วมกับ ‘บรูซ วิลลิส-คริสตินา ริชชี’ รวมถึงการถูกกล่าวหาทั้งเรื่องโดนหุ้นส่วนร้านกาแฟลงบันทึกประจำวันที่ สถานีตำรวจหัวหมาก ว่าเบี้ยวเงินค่าเช่าร้านรวมเป็นเงินกว่า 1.2 แสนบาท
ล่าสุดวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 เจ้าตัวออกมาโต้ว่าไม่ได้ยักยอกเงินค่าเช่าร้านตามที่คู่กรณีกล่าวอ้าง ส่วนเรื่องโกหกเรื่องชาติกำเนิดนั้นเขายืนยันว่า หากเปลี่ยนชื่อและปลอมสัญชาติจริงคงไม่ได้เข้ามาทำงานตรงนี้ ที่ผ่านมามีพาสปอร์ตเป็นสิ่งยืนยันข้อเท็จจริง ส่วนการแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดของบริษัท บิ๊กบลู ในเครือของค่ายภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ นั้น นักร้องหนุ่มบอกว่า ได้เดินทางไปถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวที่ต่างประเทศจริง เพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากนัก เนื่องจากต้องให้บริษัทต้นสังกัดอนุญาตเพียงเท่านี้

อุ้ม เมืองคานส์ : สาวน้อยผู้แหกตาสื่อ
ต่อด้วย อุ้ม-พรภัชญา สุพรรณรัตน์ นักเรียนสาวไทยในอเมริกา และว่าที่ผู้กำกับค่ายสหมงคลฟิล์ม ที่เคยแหกตาสื่อว่า คว้า 2 รางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ คานส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม เฟสติวัล 2009 ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยออกมาบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดพลาดทางการสื่อสาร
แต่ไม่ว่าจะเกิดจากการเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตาม การที่ วิศาล ดิลกวณิช พิธีกรช่อง 3 ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ ที่ไปชื่นชมว่าเธอเป็นสปีลเบิร์กเมืองไทยโดยที่ไม่ศึกษาข้อมูลว่า รางวัล ‘BEST STUDENT FILM’ และ ‘OFFICAL SELECTION’ มันมีอยู่ในเทศกาลหนังเมืองคานส์หรือไม่ รวมทั้งหนังสือพิมพ์ที่มาสัมภาษณ์เธอฉบับแรกก็หน้าแหกไปด้วยเช่นกัน

สมพงษ์ เลือดทหาร : โชเฟอร์ลวงโลก
เมื่อ10 กว่าปีที่ผ่านมาคนไทยคงจำข่าวหน้าหนึ่งที่สร้างความฮือฮาได้ในระดับประเทศ โชเฟอร์แท็กซี่เก็บเงินสดของผู้โดยสารขี้ลืมกว่า 19 ล้านบาทพร้อมโฉนดที่ดิน ‘สมพงษ์ เลือดทหาร’ จึงกลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งประเทศ
วันที่ 1 สิงหาคม 2540 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสนามบินดอนเมือง ชื่อ วิโรจน์ โทรศัพท์แจ้งมายังรายการวิทยุ ‘ร่วมด้วยช่วยกัน’ ว่าพบแท็กซี่สร้างวีรกรรมน่ายกย่องด้วยการนำเงินสด พร้อมโฉนดที่ดินคืนให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่ทว่า พล.ต.ต.กว้าง ชาญศิลป์ ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว หรือ ผบก.ทท. (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) พบพิรุธหลายข้อ จึงตรวจสอบข้อเท็จจริงจนพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือผลการตรวจพิสูจน์เสียงในโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่า ‘รปภ.วิโรจน์’ กับ ‘สมพงษ์’ คือคนคนเดียวกัน
ชั่วข้ามคืน สมพงษ์เปลี่ยนจากวีรบุรุษกลายเป็นผู้ต้องหาทันที เมื่อถูกออกหมายจับในความผิดฐานฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชน เขาถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน แต่ถูดลดโทษเหลือติดคุกเพียง 1 ปี 2 เดือน

เปรตอาจารย์กู้ : อิทธิฤทธิ์ที่มากับความเชื่อ
กิตติ ประภัสโรบล หรือ เปรตอาจารย์กู้ ที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ในการแสดงอภินิหารเรียกเปรตให้ออกมาปรากฏกาย ขณะที่นำคณะทัวร์เข้าไปที่ป่าคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี และมีการถ่ายทำทั้งวิดีโอและภาพนิ่งออกเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยกล่าวอ้างว่าเปรตมีจริง แต่ภายหลังพบว่าภาพที่ปรากฏเป็นการจัดฉากขึ้นมา
วันที่ 25 กันยายน 2544 ศาลอาญาได้พิพากษาจำคุกอาจารย์กู้ เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 6,000 บาท ในความผิดฐานกระทำด้วยประการใดๆ แก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในศาสนา โดยอาจารย์กู้ได้ใช้เท้าเหยียบที่ฐานพระพุทธรูป และรูปปั้นหลวงปู่แหวน สุจินโณ ซึ่งเขายอมรับสารภาพจึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาและไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ศาลจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

นช.ทักษิณ ชินวัตร : นักโกหกแห่งสยามประเทศ
ปิดท้ายด้วย นช.แม้ว นักโทษชายผู้หนีอาญาแผ่นดิน ในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า อดีตนายกฯ ผู้นี้ ที่มักจโกหกประชาชนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่ารักประชาธิปไตยอย่างนู้นอย่างนี้ แต่เนื้อแท้กลับหลงใหลเผด็จการ ที่เห็นก็อย่างกรณีที่หนีไปอยู่ฟิจิ ซึ่งเป็นเผด็จการกว่าสยามกว่า 10 เท่า แค่นั้นไม่พอยังพูดจาโน้มน้าวใจประชาชน ใช้สื่อลวงโลกต่างๆ นานา ตั้งแต่วิดีโอลิงค์ โฟนอิน หรือทีวีเสื้อแดง มากล่อมสาวกสีแดงอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ตัวเองถูกอำนาจเบื้องบนกลั่นแกล้ง อ้อนว่าอยากกลับบ้านสุดๆ หวังให้มหาชนผู้ปลื้มแม้วช่วยเหลือตัวเอง โดยไม่ใส่ใจว่าประเทศชาติจะเดือดร้อนแค่ไหน ที่เห็นชัดๆ ก็คงเป็นเรื่องปลุกระดมให้คนเสื้อแดงก่อนความสงบในช่วงสงกรานต์ หรือแม้แต่การล่ารายชื่อประชาชนเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งตอนนี้แก๊งหัวขวดได้โม้มีคนมาลงชื่อกว่า 5 ล้านรายชื่อแล้ว
เรื่องนี้เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศต่างก็รู้...ว่าอะไรเป็นอะไร หากเรายังรักประเทศชาติ และมีสติเพียงพอ ที่จะไม่หลงเชื่อคำโกหกพกลมของนักโทษชายผู้นี้

คนต่างประเทศ


จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช : บุคคลผู้สร้างความขัดแย้งระดับโลก
หลังเหตุการณ์ 9/11 บทบาทของบุชก็เป็นที่จับตาของประชาชนทั่วโลก ในฐานะผู้นำประเทศมหาอำนาจว่าจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากนั้นไม่นานบุชก็เปิดสงคราม
ในครั้งแรก สงครามนี้อาจดูมีเหตุผล แต่พอถล่มอัฟกานิสถานเสร็จ บุชก็เกิดเสพติดสงคราม จึงหาเรื่องถล่มประเทศอื่นๆ โดยเหยื่ออารมณ์รายต่อมาของบุชคืออิรัค ศัตรูเก่าของอเมริกา แต่อย่างที่ทราบ การจะเปิดสงครามกับใครนั้น ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆ จะทำได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นบุชจึงกุข่าว (ไม่รู้ว่าเขาเป็นคิดเองหรือไม่) ว่าขณะนี้อิรัคกำลังสะสมอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อมหาชนทั่วโลก
หลังจากปล่อยข่าวได้ไม่นาน บุชก็วางแผนต่อทันที โดยการกดดันประเทศอื่นๆ ให้ช่วยอเมริกาทำสงคราม โดยเขายื่นคำขาดว่า “หากไม่ยืนอยู่ข้างผม ก็ต้องเป็นศัตรูกับผม” ซึ่งจากคำพูดนี่เอง ทำให้หลายประเทศ รวมทั้งไทย ต้องรีบกระวีกระวาดส่งทหารไปร่วมรบโดยพลัน ส่งผลต่อเนื่องให้โลกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งคือฝั่งเพื่อบุชและฝ่ายต้านบุช ซึ่งฝ่ายหลังนี้นำทีมโดยกลุ่มประเทศมุสลิม
และเมื่อสงครามเสร็จสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นในอิรักก็คือความว่างเปล่า เพราะไม่มีใครพบอาวุธอย่างที่บุชว่าเลยสักชิ้น มีแค่เพียงคลิปสั้นๆ ที่แสดงความโหดร้ายของทหารอเมริกา และซากศพพลเมืองอิรักที่ตายเกลื่อนกลาดร่วมแสนคน ขณะที่ฆาตกรใจโหดผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด อย่างคงลอยนวล ยิ้มแหะๆ และไม่มีคำขอโทษอะไรออกจากปากทั้งสิ้น

แฟรงค์ อบาเนล : จอมลวงโลกมืออาชีพ
หากถามว่า ใครคือสุดยอดนักโกหกอันดับ 1 ของโลก เชื่อว่าตำแหน่งคงไม่รอดมือของ แฟรงค์ อบาเนล ไปได้ เพราะที่ผ่านมา เขาถือเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพที่สร้างความปั่นป่วนให้วงการตำรวจทั้งสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สวีเดน อิตาลี เยอรมัน อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ โดยเขาได้ก่ออาชญากรรมมากมาย ทั้งยักยอก ปลอมแปลงเอกสาร แถมยังมีทักษะการปลอมตัวขั้นเทพ ที่อยากเป็นใครก็เป็นได้ ทั้งแพทย์ นักบิน อัยการ หรือแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัย
สำหรับวิธีการทำงานของเขาก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลย เพราะเขาทำงานคนเดียว ไม่มีพวก ใช้ชีวิตแบบสุขนิยม ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เคยทำร้าย หรือฆ่าใคร ใช้แต่สมองบวกความกะล่อนเพื่อไปสู่จุดหมาย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด อาชญากรร้ายก็ไม่สามารถรอดเงื้อมือกฎหมายไปได้ เพราะเขาถูกจับได้ในฝรั่งเศส ต้องติดคุกเป็นเวลา 5 ปี หลังจากพ้นคุก แฟรงค์ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองซะใหม่ เลิกทำชั่วและหันมาเป็นวิทยากรออกเดินสายทั่วโลก เพื่อบรรยายวิธีรับมือกับอาชญากรรมต่างๆ รวมถึงเขียนหนังสือเล่าเรื่องชีวิตของตัวเอง ในชื่อที่ว่า 'Catch Me If You Can' และ 'The Art of the Steal'


สตีเฟ่น กลาส : นักข่าว นักหลอก
หลายคนอาจจะเคยได้ยินข่าวว่า มีนักข่าวคนหนึ่งนั่งเทียนเขียนข่าวหลายสิบเรื่อง แถมบางข่าวยังมีอิทธิพลต่อวงการต่างๆ ทั้งวงการการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ชื่อของชายผู้นั่นก็คือ สตีเฟ่น กลาส
เรื่องมีอยู่ว่าในยุคปี 1997-1998 สตีเฟ่นซึ่งเป็นนักข่าวมือใหม่ของ นิตยสาร The New Republic เกิดความรู้สึกว่าที่ผ่านมานักข่าวส่วนใหญ่ไม่เห็นต้องทำงานอะไรมาก แค่เขียนข่าวให้ดูแตกต่าง โดดเด่น ก็กลายเป็นที่สนใจของคนอื่นได้แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีการเขียนใหม่ โดยการใส่จินตนาการของตัวเองลงไปในงาน หรือไม่ก็นั่งเทียนเขียนข่าวโดยไม่มีแหล่งข่าว เพื่อให้ข่าวของเขาดูโดดเด่นและน่าสนใจ ส่งผลให้ข่าวของเขาแทบทุกชิ้นดูแหลมคม เจาะลึก และลับเฉพาะจนเป็นที่ฮือฮาทั้งในหมู่คนอ่าน แวดวงการเมือง และยังทำให้เขากลายเป็นนักข่าวเนื้อหอมและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในวอชินตันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดคำโกหกของเขาก็ถูกเปิดโปง เพราะหลังจากที่เขามั่วข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มวัย 15 ที่เก่งถึงขนาดเจาะระบบคอมพิวเตอร์อย่างจูคท์ ไมโครนิคส์ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่มีบริษัทชื่อจูคท์ ไม่มีเด็กอัจฉริยะ และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีอะไรจริงเลยในบทความของกลาส ยกเว้นเรื่องที่อเมริกามีรัฐหนึ่งชื่อเนวาด้า
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ The New Republic ต้องลงประกาศขอขมาประชาชนทั่วไป ในเดือนมิถุนายน 1998 รวมทั้งตรวจสอบข่าวที่กลาสเขียนทั้งหมดใหม่ ซึ่งสุดท้ายพบว่าข่าว 27 จาก 41 ชิ้นที่เขาเขียนเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นทั้งหมดหรือแค่บางส่วน

............
โกหก มุมมองทางจิตวิทยา
รศ.เทียม ศรีคำจักร หัวหน้าภาควิชากิจกรรมบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาไขข้อสงสัยว่าจอมลวงโลกที่นิยมการโกหกเป็นชีวิตจิตใจนั้น จัดเป็นคนป่วยทางจิตได้หรือไม่
“อาการทางจิต มันมีทั้งบุคลิกภาพผิดปกติ ทั้งโรคประสาทและโรคจิต อย่างโรคประสาท จะเป็นคนที่มีความเครียดความวิตกกังวลมากกว่าปกติ หรือมีอาการกลัวโดยไม่มีเหตุผล ส่วนโรคจิตคือคนที่บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไปจนไม่อยู่ในโลกความจริง คือมีอาการหลงผิด เห็นภาพในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ได้ยินในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้ยิน ส่วนคนที่ชอบโกหกจัดเป็นคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ คือเขาก็เป็นของเขาอย่างนั้น ไม่เหมือนชาวบ้านเขา แต่ทั้งหมดนั้นก็ดูไม่ผิดปกติในสายตาคนทั่วไป”
ดังนั้นอาการชอบโกหกจึงเข้าข่ายของคนที่มีบุคลิกภาพผิดปกติ
“บุคลิก มันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคน ที่หล่อหลอมมาจากอารมณ์หรือจากประสบการณ์ของเขาออกมาเป็นลักษณะเฉพาะ มีปัจจัยหลายอย่าง คนที่ชอบโกหก ชีวิตจริงของเขาอาจจะไม่มีความสุข เขาอาจจะสร้างเรื่องราวขึ้นมาหลอกทั้งตัวเองและหลอกทั้งผู้อื่น เพราะการโกหกมันต้องเริ่มจากการหลอกตัวเองให้ได้ก่อน ต้องสร้างโลกของตัวเองขึ้นมา ผมมีเพื่อนที่ชอบโกหกเหมือนกัน ซึ่งเขาหลอกคนอื่นเก่งมาก ถ้าเป็นเรา เราอาจจะควบคุมตัวเองได้ไม่ดี มีพิรุธเต็มไปหมด ผมก็เลยถามเขาว่าทำอย่างไรถึงถึงมีความสามารถด้านนี้ เขาก็ตอบว่าต้องหลอกตัวเองให้ได้ก่อน ต้องสร้างความเชื่อให้ตัวเองก่อนว่าสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องจริง”
ซึ่งอาการชอบโกหกนั้น โดยทั่วไปแล้วสามารถพบได้ในวัยเด็กของทุกๆ คน เพราะนั่นคือกลไกทางจิตอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าตัวพ้นวัยเด็กมาไกล แต่ยังไม่ยอมเลิกนั่นก็จะกลายเป็นปัญหาทันที
“การที่เด็กๆ โกหก เป็นกลไกทางจิตอย่างหนึ่ง เป็นแฟนตาซีเล็กๆ ของเขา ในความเป็นจริงที่บ้านของเขาอาจจะไม่มีอะไรเลย แต่เขาก็สร้างโลกของเขาขึ้นมา บอกคนอื่นว่า เรามีบ้านหลังใหญ่ มีรถ ฯลฯ ทั้งที่จริงๆ ไม่มีเลย นั่นเป็นกลไกทางจิตที่เขาเอามาสนองสิ่งที่เขาขาด
“พฤติกรรมอย่างนี้ถ้าเป็นกับเด็กๆ ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเมื่อใดที่ทำแล้วเดือดร้อนกับตัวเองหรือผู้อื่นนั่นก็ถือว่าเป็นปัญหาแล้ว การหลอกตัวเองเล็กๆ น้อยๆ มันก็มีบ้างในชีวิตประจำวัน เช่นว่าเออ เราจะเจอสิ่งดีๆ นะ มันก็ปกติ แต่กับคนที่ไปสร้างเรื่องราวเพื่อที่จะหลอกเอาเงินชาวบ้าน พวกนี้ก็เริ่มทำร้ายสังคมแล้วล่ะ
“การโกหกแรกๆ อาจจะไม่ได้เอามาหาประโยชน์ เริ่มจากโกหกพ่อแม่เพื่อนฝูงก่อน ตอนหลังก็กลายเป็นความสามารถเฉพาะตัว เกิดเป็นความชำนาญ ก็นำไปสู่การใช้หาประโยชน์ คนลวงโลกทั้งหลายนั้น ไม่ใช่ว่านึกอยากจะโกหกก็ทำได้เลยวันนี้พรุ่งนี้ มันต้องสะสมเป็นทักษะมา เหมือนกับการแสดงละครให้เก่งก็ต้องฝึกฝน”
ถ้าถามว่า กลุ่มคนบุคลิกภาพผิดปกติอย่างคนชอบโกหกเหล่านี้ จะมีโอกาสเติบโตไปเป็นอาการโรคประสาทหรือโรคจิตได้หรือไม่ คำตอบก็คือค่อนข้างเสี่ยงมากทีเดียว
“คนกลุ่มนี้ อาจจะกลายเป็นโรคประสาทหรือโรคจิตได้สูง เพราะอันดับแรกคนเหล่านี้จะมีปัญหาเรื่องสมรรถภาพในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ถ้าเขาโดนจับได้ สังคมก็จะประณาม และก็จะเข้ากับใครไม่ได้ ถูกกีดกันออกจากสังคม นั่นนำไปสู่ความเครียด และถ้าเขามีกรรมพันธุ์อยู่แล้วก็อาจจะเป็นโรคประสาทโรคจิตได้ โดยกลุ่มอาการก็จะเป็น โรคจิตหลงผิด (Delusional Disorder) ไปเลยก็ได้ ตอนที่เขาโกหก เขาออกมาสู่โลกความเป็นจริงได้เป็นครั้งคราว แต่ถ้าเกิดป่วยขึ้นมา เขาก็อาจจะไม่ออกมาจากโรงละครของเขาเลย”
แต่อาการผิดปกติของบุคลิกภาพนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข แต่ทว่าหนทางในการแก้ไขที่ว่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญในสายตาของหายๆ คน
“เขาต้องยอมรับตัวเอง รู้ตัวเองว่าเขาโกหกเพราะอะไร ในชีวิตเขาอาจจะมีความทุกข์ และเขาเลือกที่จะไม่เผชิญกับมัน ดังนั้นจึงใช้กลไกป้องกันตัวเองโดยการสร้างแฟนตาซีขึ้นมา แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็กลายเป็นความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ถ้าจะแก้ไขก็ต้องยอมรับตัวเองก่อนว่าที่ผ่านมาไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง อาจจะนำไปสู่ปัญหาด้วยซ้ำ ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดในชีวิตจริงให้ได้ ไม่ใช่ไปอยู่ในโลกที่สร้างขึ้นมาลวงตัวเองลวงผู้อื่น”
.................
เรื่อง ทีมข่าวคลิก
กำลังโหลดความคิดเห็น