xs
xsm
sm
md
lg

‘คุกลับ’ เรื่องจริงที่ไม่จริง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประเด็นร้อนๆ ที่มาพร้อมกับ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อประชุมอาเซียนบวก 6 คือเรื่อง ‘คุกลับ’ ที่ตีข่าวโดยหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ว่ามีคุกลับที่ประเทศไทย จนในขณะนี้กลายเป็นประเด็นที่ทั้งคนไทยและต่างชาติถกเถียงกันว่า แท้จริงแล้ว คุกลับมีหรือไม่

มีจริงหรือไม่ ไม่รู้ แต่ที่น่าสงสัยก็คือทำไมห้วงยามที่ประเทศไทยจะมีการจัดประชุมในระดับนานาชาติ จึงมักต้องมีข่าวคราวการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นเสมอๆ ตั้งแต่กรณีโรฮิงยาจนถึงเรื่องคุกลับที่ถูกปล่อยซ้ำปล่อยซากมาตั้งแต่สมัยทักษิณ หากมองลึกๆ แล้ว มันก็น่าตั้งคำถามอยู่ไม่น้อยว่ามีลับลมคมในอะไรหรือไม่ ล่าสุด ที่ประชุมอาเซียนได้มีข้อตกลงเรื่องร่างการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียนออกมา ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับการปล่อยข่าวคุกลับอีกครั้ง

‘คลิก’ จึงขอพาไปรู้จักคุกลับว่ามันคืออะไร และประมวลข่าวคราวว่าด้วยคุกลับที่ผ่านมา รวมถึงเรื่องโหดๆ อย่างวิธีการทรมานนักโทษที่มีแต่เฉพาะคุกลับเท่านั้นที่ทำได้

คุกลับคล้ายเซฟเฮาส์

นัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ทัศนะถึงคุกลับว่า มันคงเป็นเซฟเฮ้าส์ธรรมดาๆ ทั่วไปที่ขังไม่กี่คน แยกเป็นห้องๆ ไปเท่านั้นเอง ไม่น่าจะเรียกว่าคุกหรือเรือนจำ ถ้าจะหมายถึงคุกธรรมดาทั่วไปก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะมันไม่สามารถปกปิดได้ ต้องมีคนเห็น มีรูปแบบที่สะดุดตา ที่เห็นแล้วรู้ว่านี่น่าจะเป็นคุก

“คุกลับมันน่าจะเป็นคุกที่ไม่มีใครเห็น จึงไม่มีใครทราบว่ามันมีหน้าตาเป็นยังไง หรือรูปแบบมันควรจะเป็นยังไง เพราะว่าเรายังไม่เคยเห็น ถ้าเป็นคุกเปิดอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ เราก็พอจะทราบหน้าตา”

นัทธีกล่าวยอมรับว่า ยังไม่เคยได้ยินเรื่องคุกลับมาก่อน เคยได้ยินแต่คุกธรรมดา แต่คาดว่าคุกลับนี้น่าจะเป็นทางด้านทหารมากกว่าโดยทางหน่วยพิเศษมีไว้เพื่อใช้ค้นหาข้อมูลความลับบางอย่าง

“อย่างคุกที่กวนตานาโม ประเทศคิวบา ก็ไม่ใช่คุกลับ แต่มีลักษณะเหมือนคุกทั่วไป มีกำแพง มีรั้ว อย่างนี้มันก็ไม่ลับ เพราะมันเปิดเผย”

ส่วนทัณฑ์วิทยาที่เป็นการลงโทษคน คุกปกติทั่วไปก็จะทำให้คนเกิดความเกรงกลัว กันคนที่ทำผิดกฎหมายออกมาจากสังคม เพื่อแก้ไขอบรม และจำกัดเสรีภาพ โดยไม่มีการลงโทษแบบทุบตีหรือทรมานโดยใช้วิธีที่น่ากลัว แต่ถ้าเป็นคุกลับเขาบอกว่า ไม่ทราบว่ามีวิธีลงโทษนักโทษอย่างไร และไม่รู้ว่ามันมีอยู่หรือเปล่า มันอาจจะไม่มีจริงอยู่ในโลกก็ได้

คุกลับไม่เคยมีในไทย

แม้ว่าวันนี้เรื่องคุกลับจะยังไม่ปรากฏว่ามีจริงหรือไม่ในประเทศไทย แต่เรื่องของการกังขัง หน่วงเหนี่ยวเพื่อให้ได้มาซึ่งความลับ ย่อมถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนทุกคนบนโลกใบนี้

กระแสข่าวคุกลับที่มีในประเทศไทย ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่ก่อนหน้านี้ บีบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช อดีตผู้นำสหรัฐอเมริกา เคยยอมรับว่าคุกลับที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ (ซีไอเอ) ใช้คุมขังผู้ต้องสงสัยคดีก่อการร้ายนั้นมีอยู่จริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ เคยปฏิเสธว่าไม่มีคุกลับซีไอเอตั้งอยู่ในประเทศแถบยุโรป หรือเอเชีย รวมถึงประเทศไทย

ในคำแถลงของบุชที่ถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วสหรัฐฯ เนื่องในวาระใกล้ครบรอบ 5 ปีเหตุวินาศกรรมสหรัฐ 11 กันยา ระบุว่า คุกลับซีไอเอเป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่สอบสวนแกนนำอัลกออิดะห์ผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีวินาศกรรม 11 กันยา รวมถึงเหตุการณ์วางระเบิดเรือรบยูเอสเอสโคลในเยเมนเมื่อปี 2543 และการโจมตีสถานทูตสหรัฐฯในแทนซาเนียกับเคนยาเมื่อปี 2541

ขณะนั้นนักโทษในคุกลับ 14 คน ซึ่งล้วนเป็นแกนนำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ รวมทั้งนายฮัมบาลีที่ถูกจับกุมตัวในประเทศไทย ได้ถูกโอนย้ายออกจากคุกลับไปยังเรือนจำประจำฐานทัพสหรัฐฯในอ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา หรือฐานทัพกวนตานาโมหรือกิตโม่แล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 วอชิงตันโพสต์กับโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ ได้เผยแพร่รายงานว่า ซีไอเอได้ลักลอบส่งตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์มายังประเทศไทย ได้แก่ซูไบดะห์ที่ถูกจับกุมในปากีสถาน ขณะที่อัลนัชรีถูกจับที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยผู้ถูกกักขังในคุกลับในประเทศไทยได้ถูกสอบเค้นข้อมูลด้วยวิธีการที่ขัดกับอนุสัญญาเจนีวา

แม้รายงานข่าวจะไม่ได้ระบุสถานที่ตั้งคุกลับในไทย แต่สหรัฐฯก็เคยใช้ที่ตั้งทางทหารของไทยหลายแห่งในสมัยสงครามเย็น เช่น สนามบินทหารที่อุดรธานี นครพนม นครราชสีมา อู่ตะเภา และสนามบินตาคลีที่นครสวรรค์ ซึ่งผู้ถูกกักขังได้ถูกมัดตรึงให้นอนราบกับแผ่นกระดาน แล้วจุ่มลงในน้ำ ทำทีเหมือนกับเป็นการจับกดน้ำ

ข่าวจากอเมริกาอ้างคำให้การของ นายอีริค โฮลเดอร์ อดีตรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ ที่ยอมรับเป็นครั้งแรก ว่ามีคุกลับในเมืองไทย และมีการนำผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายมาสอบปากคำด้วยวิธีทรมานในการขึ้นศาลกรุงนิวยอร์ก ในคดีที่ซีไอเอถูกฟ้องตามคำร้องของสหภาพเสรีภาพอเมริกัน ที่ยื่นฟ้องว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย อีกทั้งนายโฮลเดอร์ยังเปิดเผยว่า ได้มีการทำลายเทปลับการทรมานนักโทษจำนวน 92 ม้วนที่เก็บไว้ในเมืองไทย ตามคำสั่งของ นายโจเซ่ โรดิเกวซ ผู้อำนวยการซีไอเอในขณะนั้น พร้อมทั้งระบุว่า มีการทรมานนักโทษด้วยการจับกรอกน้ำ ที่เรียกว่า ‘Water Boarding’ อันอื้อฉาวด้วย

ทั้งนี้วันที่ 14 เมษายน 2549 หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและซีไอเอ ระบุว่า ซีไอเอได้จัดทำเครือข่ายคุกลับไว้ในต่างประเทศ 8 ประเทศ ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่มีคุกลับ เพื่อรองรับผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์สำคัญๆ และซีไอเอต้องการควบคุมตัวไว้รีดข้อมูลต่างๆ โดยไม่ต้องการดำเนินคดี

โดยบทความที่ชื่อว่า คุกลับ (Secret Jails) ของดักลาส วอลเลอร์ (Douglas Waller) ในนิตยสารไทม์ ระบุว่า คุกลับของซีไอเอมีด้วยกัน 8 แห่ง กระจายอยู่ทั่วโลก เช่น บริเวณโรงงานร้างใกล้กับท่าอากาศยานกรุงคาบูล (ซอลต์พิตต์), ในประเทศอัฟกานิสถาน และในยุโรปตะวันออก ซึ่งบางแห่งก็ปิดตัวไปแล้ว

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 แหล่งข่าวระดับสูงจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า สำหรับแบล็กไซต์หรือคุกลับนั้น ตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีวิทยุ V.O.A. หรือ Voice of America มีเนื้อที่ทั้งหมด 8 พันไร่ โดยภายในมีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นโซน โดยโซนในสุดถือเป็นเขตหวงห้าม ห้ามคนไทยเข้าเด็ดขาด นอกจากนี้ ยังพบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษที่ดาวเทียมไม่สามารถถ่ายภาพหรือโจรกรรมภาพในเขตนี้ได้ และยังพบอีกว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ฝึกการโจรกรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ไทย

จากการรายงานข่าวของวอชิงตัน โพสต์ เท่าที่รวบรวมมาจะเห็นว่า กระแสข่าวคุกลับเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนต้องออกมาบอกว่า ประเทศไทยไม่ทราบเรื่องนี้เพราะเราไม่มีสถานกักกันลับหรือคุกลับ ที่ผ่านมาเราจับกุมผู้ก่อการร้ายคือนายฮัมบาลี แกนนำคนสำคัญขบวนการก่อการร้ายได้เพียงคนเดียว และได้ส่งตัวให้แก่ทางการสหรัฐฯแล้ว ซึ่งบางทีหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ อาจไม่ใช่สื่อที่น่าเชื่อถือก็ได้

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ยังเคยออกมาใช้ตำแหน่งเป็นประกันว่าเมืองไทยไม่มีคุกลับล้านเปอร์เซ็นต์

ดูเหมือนว่าสถานการณ์เรื่องคุกลับจะไม่จบแค่คำอธิบายจาก พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึง พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งจากท่าทีของ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังสอบสวนย้อนความไปว่า มีการทรมานผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายสมัย จอร์จ ดับเบิลยู. บุช มากน้อยเพียงใด เพราะต้องการจะยกเลิกคุกใหญ่ที่กวนตานาโม และคุกลับในประเทศอื่นๆ ที่บุชไปแอบเปิดเอาไว้

ทางสหรัฐอเมริกาคงจะไม่ยอมยุติเรื่องนี้ง่ายๆ ล่าสุด วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2552 ได้วิเคราะห์ว่า มีคุกลับเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อปี 2545 คำถามเรื่องคุกลับ จึงพุ่งมาที่ผู้นำประเทศ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องออกมายืนยันอีกครั้งว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องเก่าที่มีการรายงานมาตั้งแต่ปี 2544-2545 และสื่อพยายามที่จะนำมาวิเคราะห์ถึงบทบาทของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนกับความร่วมมือของสหรัฐอเมริกา

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่า ไม่มีคุกลับของสหรัฐฯตั้งอยู่ในประเทศไทยตามที่มีข่าวปรากฏ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจง โดยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบว่ามีขบวนการเชื่อมโยงในการทำลายความน่าเชื่อถือประเทศไทยหรือไม่ ที่ผ่านมานายสุเทพยังเคยออกมาปฏิเสธว่า เรื่องคุกลับที่จังหวัดอุดรธานีนั้น เขาไม่ทราบ เพราะช่วงนั้นเขาเองไม่ได้เป็นรัฐบาล

ล่าสุด พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวผ่านสถานีวิทยุ FM 99.5 ว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องคุกลับในไทย และเชื่อว่าไม่น่าจะมีตามที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์นำเสนอข่าว

ด้าน กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ออกมากำชับว่า แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่มีมูลความจริง แต่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อยืนยันเรื่องนี้ว่าเป็นการดิสเครดิตประเทศไทย

ทั้งนี้ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่าการที่ทางการสหรัฐระบุว่า มีคุกลับในประเทศไทยสมัยรัฐบาลทักษิณ ถูกเปิดเผยจากสื่อในต่างประเทศตั้งแต่แรก ซึ่งในประเทศสหรัฐฯอเมริกาเองก็ไม่มีรายงานว่าปฏิเสธหรือตอบรับแต่อย่างใด จนขณะนี้ เมื่อมีการฟ้องร้องกันขึ้นมา ทางสำนักงานอัยการสูงสุดของสหรัฐฯก็กำลังหาข้อมูลกันอยู่ สำหรับในประเทศไทยเองตั้งแต่แรกที่มีกระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นก็ได้ปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่มี

ย้อนรอย...คุกลับ

ค้างคาใจประชาชีมานานพอควรกับกรณีที่ประเทศสหรัฐฯอเมริกาถูกมองว่าสร้างคุกลับ (Secret Jails) ขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก เพื่อใช้สำหรับทรมานนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ ผู้ต่อต้านรัฐบาลสหรัฐ และผู้ก่อการร้าย

วอชิงตันโพสต์ชี้แจงว่า คุกลับดังกล่าวชื่อ แบล็กไซต์ ดำเนินการโดยซีไอเอ (หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ) ซึ่งสหรัฐฯ ปิดเป็นความลับมาตลอด เนื่องจากได้ลงนามในอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน หรือกระทำการโหดเหี้ยม และไร้มนุษยธรรม และถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและการสืบสวนขั้นพื้นฐานอย่างร้ายแรง

คุกลับแบล็กไซต์มี 2 แบบด้วยกัน คือ แบบที่ 1 ใช้ขังแกนนำอัลกออิดะห์ระดับสูง และแบบที่ 2 มีไว้สำหรับผู้ก่อการร้ายระดับรองลงมาที่ไม่มีส่วนในการก่อวินาศกรรม 9/11 โดยตรง ความที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมในการต้องสั่งฟ้องผู้ต้องสงสัยก่อนแล้วจึงให้มีทนายความจึงตั้งคุกลับขึ้นนอกประเทศ

ในหนังสือ ‘นี่หรือ...คือความจริง คุกลับในเกาหลีเหนือ ความเหี้ยมโหดอันเหลือเชื่อ (Are They Telling Us the Truth? -Brutality Beyond Belief)’ แปลโดย ชัยทิพย์ คัดสุระ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุกลับในเกาหลีเหนือ ที่ คิม จอง อิล ผู้นำสูงสุดคุม อิล ซุง เผด็จการคนแรกของเกาหลีเหนือ ว่าคุกลับแบ่งได้ 2 ประเภท คือ Kwan Li So ใช้ขังนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่มีการไต่สวนคดี มี 6 หรือ 7 แห่ง และ Kyo Hwa So คุกขังนักโทษการเมือง และนักโทษคดีอาญาปกติ ที่ไม่ใช่โทษจำคุกตลอดชีวิต

ทรมานให้ตาย?

การทรมานนักโทษในคุกลับแต่ละแห่งมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าผู้คุมขังจะเกิดไอเดียพิสดารอะไรที่จะหาวิธีทำให้นักโทษยอมรับผิดหรือคายข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมา ที่แน่ๆ ย่อมเป็นวิธีการที่สร้างความกลัวให้แก่ตัวนักโทษนั่นเอง

จากการรวบรวมวิธีการทรมานนักโทษในคุกลับแต่ละแห่ง มีดังนี้ เช่น กรณีการทรมานนายอาบู ซูไบดะห์ นักโทษจากปากีสถาน เขาอ้างว่าขณะเขาถูกจองจำอยู่ในคุกลับในประเทศไทย เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เขาถูกทรมานโดยการให้อยู่ในห้องขังที่เต็มไปด้วยซากศพหรือใช้ไฟฟ้าช็อตฟัน ใช้ยาฆ่าเชื้อราดลงบนบาดแผลที่เขาได้รับในระหว่างถูกจับกุมตัวที่ปากีสถาน มีการใช้วิธีการให้อดนอนและเปิดเพลงเสียงแผดดังกรอกใส่หู

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีที่เรียกว่า Water Boarding คือการนำผ้าขนหนูคลุมหน้าแล้วเอาน้ำราดเพื่อให้ผู้ที่ถูกทรมานสำลักน้ำที่มีการใช้กันเมื่อกว่า 3 พันปี โดยชาวจีนเป็นผู้คิดค้น วิธีการคือเอาถุงคลุมหัว จากนั้นก็มัดขาและมือให้แน่น จับดึงขายกสูงให้เอาหัวห้อยลงแช่ในน้ำ หรือหยอดน้ำเข้าไปที่ถุง ซึ่งจะทำให้นักโทษหายใจไม่ออก วิธีการเช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อร่างกายภายนอก แต่ก็ทำให้ขาดอากาศหายใจและตายได้ไม่ยาก

ในสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันและเวียดนามใต้ได้นำวิธีการนี้มาทรมานพวกเวียดกงจนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงไปทั่วโลกยังมีการทรมานโดยใช้วิธีการเปิดเพลง HEAVY METAL (Thrash Metal อย่างวง Metallica) ที่มี VOLUME ที่ดังที่สุด ยัดใส่เข้าไปในห้องขังที่มืดสนิท ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้นักโทษสำลักเสียงดนตรี

ส่วนการทรมานนักโทษที่เรือนจำอาบู กราอิบในอิรัก ที่มีการนำภาพถ่ายและวิดีโอการล่วงละเมิดนักโทษที่เรือนจำอาบู กราอิบ ออกอากาศ เป็นภาพที่มีทั้งรูปศพถูกปาดคอ นักโทษเปลือยกายมีเลือดไหล นักโทษถูกป้ายอุจจาระตามตัว และนักโทษถูกบังคับให้ช่วยตัวเอง

ด้านประเทศเกาหลีเหนือที่ขึ้นชื่อเรื่องการปกครองโดยระบบคอมมิวนิสต์ (อ้างอิงจากข้อมูลในหนังสือ ‘นี่หรือความจริง?คุกลับในเกาหลีเหนือ ความโหดเหี้ยมอันเหลือเชื่อ’) กล่าวไว้ว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือมีนโยบายควบคุมนักโทษโดยการอดอาหาร ผู้คุมจะได้รับอำนาจสังหารนักโทษที่ใดก็ได้ เมื่อใดก็ได้ ข้อหาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนรายงานหรือรับผิดชอบ

นักโทษทุกวัยจะถูกบังคับให้ทำความเคารพเจ้าหน้าที่ที่อยู่ค่ายกักกันทั้งหมด เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพโดยการโค้ง 90 องศา นักโทษต้องเคารพแม้กระทั่งลูกๆ อายุ 5 ขวบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมบอกว่า ‘คุณหนูของเจ้านาย’ ซึ่งถือว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างแรงของวัฒนธรรมเกาหลี

นักโทษไม่มีสิทธิพูด หัวเราะ ร้องเพลง ห้ามอธิษฐาน หรือมองตนเองในกระจก เวลาทำงาน นักโทษจะต้องก้มหน้าก้มตาทำ ห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน ส่วนในโรงงานผู้คุมจะอยู่ในตู้กระจกเพื่อสะดวกในการเห็นนักโทษทำงาน นักโทษจะทำงานหนัก 18 ชั่วโมงต่อวันถ้าทำงานไม่เสร็จหรือล้มเหลว 2 ครั้งจะถูกลงโทษโดยการเข้าคุก และถ้านักโทษหญิงมีท้องเมื่อใดจะถูกฆ่าทันทีที่คลอดออกมา

ในวันสิ้นปี เมื่อถึงเที่ยงคืนเป็นต้นไป นักโทษทุกคนต้องโค้งคำนับ ‘ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่’ และ ‘ผู้นำอันเป็นที่รัก’ (คิมจองอิลและบุตรชาย) สำหรับนักโทษแล้วช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลานรก เพราะแม้จะทำงานหนักมาทั้งวัน แต่ก็ต้องตื่นตอนเที่ยงคืนและเดินทางไปที่สำนักงานเพื่อโค้งคำนับผู้นำในวาระปีใหม่ อีกทั้งตอนเช้าพวกเขาต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อฟังบันทึกและต้องจำโอวาทปีใหม่ของผู้นำ ซึ่งถ้าใครจำไม่ได้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

กฎระเบียบในค่าย (นิคม) กักกันในเกาหลีเหนือมีอยู่ว่า ถ้าหนีจะถูกยิงทิ้งทันที ห้ามชุมนุมเกิน 3 คน ถ้าขโมยของจะถูกยิงทิ้ง ถ้าแสดงความไม่พอใจต่อผู้คุมจะถูกยิงทิ้ง นักโทษต่อต้านผู้คุมไม่ได้ ชายและหญิงห้ามสัมผัสกันโดยไม่ได้รับอนุญาตมิฉะนั้นจะถูกยิงทิ้ง

*************

เรื่องและภาพ-ทีมข่าวคลิก





กำลังโหลดความคิดเห็น