ใครๆ ก็ต้องการความสุขทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขทางกาย ความสุขทางใจ หรือความสุขทางเพศ
อย่างกรณีของเดวิด คาร์ราดีน ที่อยู่ก็กลายเป็นศพกลางโรงแรมหรูในกรุงเทพฯ ก็เหมือนกัน นักนิติวิทยาศาสตร์หลายคนให้เหตุผลที่เขาต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้ ว่าเป็นเพราะความต้องการหาความสุขแบบสุดๆ หรือที่เรียกว่า ‘Auto erotic’
หลายคนอาจจะสงสัยว่า Auto erotic ที่ว่านั้น มันจะช่วยสร้าง ‘ความสุข’ ได้จริงๆ หรือ
แล้วความสุขแบบสุดๆ มันแตกต่างกับความสุขที่เราเคยเจอในชีวิตประจำวันอย่างไร
เพื่อไขข้อข้องใจทั้งหมด ในโอกาสนี้ ‘ปริทรรศน์’ จึงพาทุกท่านไป รู้จักกับความสุขแบบแปลกๆ ที่ว่านี้ ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วทำไมหลายๆ คนถึงยอมเสี่ยงตาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าแล้วมันอันตรายแค่ไหน
สุขสุดยอด เมื่อปราศจากอากาศหายใจ
จริงๆ แล้ว อาการ Auto Erotic ถือเป็นอาการหนึ่ง ในกลุ่ม Autoerotic Asphyxia หรือ AEA โดยอาการนี้เป็นชื่อที่รู้จักกันดีของคนอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น ว่าพฤติกรรมของคนที่ต้องการความสุขแบบสุดยอด จากการขาดอากาศหายใจ
พฤติกรรมของนักสุขนิยมเหล่านี้มีหลากหลายประเภท เช่นการบีบรัดคอตัวเอง ในขณะที่กำลังช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการผูกเงื่อนที่คอ หรือจะเป็นการช่วยตัวเองโดยเอาถุงพลาสติกครอบหัว แล้วมัดปากถุงเอาไว้ หรือไม่ก็ใช้แก๊สหรือสารละเหย อุดจมูก ซึ่งผลที่ได้ก็คือ คุณมีโอกาสสูงมาก ที่จะถึงจุดสุดยอดได้ ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะหายไป
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดความสุขแบบนั้น ยังไม่มีใครรู้สาเหตุจริงๆ คืออะไร แต่นักประสาทวิทยาบางคนได้ตั้งข้อสมมติฐานว่า อาจจะมากจากปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า ‘Glutamate Cascade’ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเวลาที่เซลล์สมองตายเนื่องจากภาวะของออกซิเจน และเมื่อเซลล์สมองตาย ร่างกายก็จะปล่อยกลูตาเมตออกมาจำนวนมาก เพื่อมาทำลายเซลล์ที่ตายแล้ว และเพื่อสกัดกลูตาเมต สมองก็จะปล่อย Receptor Blocker ออกมาเพื่อป้องกันการดูดซึมกลูตาเมตในช่องว่างระหว่างเซลล์ และจากกระบวนการนี้เอง ที่ทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกเป็นสุขขึ้นมา
แต่ทั้งนี้ การทำแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงและอันตรายอย่างมาก เพราะหลายๆ ครั้ง ผู้ทำอาจจะหมดสติไปก่อน และถ้าหากเครื่องมือที่ใช้กับเงื่อนที่ผูกนั้น ยังคงรัดตออยู่ ผลที่ตามมาก็คือ ผู้ทำก็อาจจะกลายเป็นเจ้าชายนินทรา หรือเสียชีวิตไปเลยก็เลย
จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าในสหรัฐอเมริกามีรายงานจำนวนผู้ชายเสียชีวิตด้วยสาเหตุการช่วยตัวเองแบบ Autoerotic มากกว่า 500 คนต่อปี และส่วนใหญ่ก็มีอายุต่ำกว่า 30 ปี และยังไม่รวมกับเด็กๆ ที่ตายอีกหลายคน ซึ่งผู้ปกครองพยายามปกปิดสาเหตุการตายแท้จริงเอาไว้ เพราะรู้สึกอายที่คนที่รักต้องมาตายด้วยสภาพอย่างนี้ จึงเลี่ยงไปบอกสาเหตุการตายเป็นอย่างอื่น เช่นฆ่าตัวตายเอง หรือประสบอุบัติเหตุ
ตำนานแห่งความสุข
จริงๆ แล้ว AEA นั้นไม่ใช่อาการที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือเพิ่งค้นพบแต่อย่างใด มันถูกระบุไว้ในประวัติศาสตร์มานานกว่า 400 ปีแล้ว โดยอาการนี้ถูกพบครั้งแรก หลังจากการประหารนักโทษรายหนึ่งด้วยการแขวนคอ หลังจากที่มีเก็บศพ ทุกคนก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมอวัยวะเพศของชายผู้นี้ถึงแข็งตัวอยู่ แถมยังมีการหลั่งน้ำอสุจิออกมาด้วย
แพทย์หลายคนได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ชายผู้นี้อาจจะเกิดอารมณ์ทางเพศเพราะรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกแขวนคอ โดยการหลั่งภายหลังจากการตายอาจจะมาจากการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อทางร่างกาย
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ วงการแพทย์จึงได้นำข้อสมมติฐานดังกล่าว มาลองรักษาคนที่อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศดู ปรากฏว่าการทำแบบนี้สามารถช่วยได้จริงๆ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายสูงมากจึงไม่ได้รับคำแนะนำให้ทำต่อ
เพราะฉะนั้น พฤติกรรมแบบนี้ จึงเริ่มลงสู่ใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นกิจกรรมที่นิยมของคนเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะพวกที่มีต้องการทางเพศสูงมาก
แต่ปัจจุบันนี้ ความสุขแบบนี้ ก็เริ่มขยายตัวออกไปเรื่อยๆ และไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะเรื่องเพศอีกต่อไปแล้ว เพราะหลายๆ คน อยากมีความสุขแบบนี้
เกมนี้ ถึงตาย!
เชื่อหรือไม่ว่า ในปัจจุบันนี้ โลกเรามีคนชื่นชอบการทำให้ตัวเองขาดอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุดก็มีเกมประเภททำให้ขาดอากาศหายใจออกมาเรื่อยๆ นับ 10 เกม
อย่าง ‘Fainting Game’ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เข้าข่ายดังกล่าว โดยเกมนี้เป็นที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน โดยผู้เล่นอาจจะใช้เชือก เข็มขัด หรือแขนก็ได้มาทำการบีบรัดร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นคอ หรือหน้าอกของเพื่อน จนออกซิเจนที่ปกติจะไปล่อเลี้ยงเซลล์สมองอยู่ตลอดนั้น หยุดไหลไปชั่วขณะหนึ่งหนึ่ง จากนั้นก็คลายการบีบรัดโดยทันที
ที่ผ่านมาเกมนี้ ได้รับความนิยมสูงมาก ซึ่งจากการสำรวจโดยศูนย์ศึกษาเกี่ยวกับการติดยาเสพติดและสุขภาพจิต พบว่าในปี 2551 พบว่ามีเด็กนักเรียนในเมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา เคยทำกิจกรรมนี้สูงถึง 79,000 คน และมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญยังเว็บไซต์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมนี้ด้วย
สำหรับปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นเมื่อเล่นเกมนี้ ในช่วงแรกระหว่างทำ ผู้ถูกรัดก็จะมีอาการหายใจไม่ออก หน้าซีด เนื่องจากสมองขาดออกซิเจน ขณะเดียวกันเส้นเลือดใหญ่ก็จะโป่งพองออกมา เนื่องจากถูกสกัดกั้น ไม่ให้ไปไหน ซึ่งส่งผลทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดตามไปด้วย
และเมื่อมีการคลายการบีบรัดลง ผู้ถูกรัดก็จะรู้สึกมึนงงศีรษะเล็กน้อย เนื่องจากอัตราการสูบฉีดโลหิตนั้นสูงขึ้นแบบฉับพลัน และยังทำให้ออกซิเจนขึ้นไปล่อเลี้ยงสมองในจำนวนที่มากกว่าปกติ ซึ่งผลที่ตามมาก็จะรู้สึกสดชื่นมากกว่าปกติ ลักษณะทั่วไปจะล่องลอย คล้ายๆ กับเสพยาเสพติด หรือไม่อาจจะสลบไปเลยก็ได้
แต่ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าว ก็มีความเสี่ยงต่อร่างกายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะระบบสมองส่วนกลาง ที่อาจจะถูกทำลายอย่างเฉียบพลัน และหากทำนานไป ก็เสี่ยงต่อการที่สมองจะตาย และอาจจะนำมาสู่การนินทราหรือเสียชีวิตในที่สุด
สำหรับสาเหตุที่ทำให้กิจกรรมกลายนี้เป็นที่นิยมนั้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า หลักๆ น่าจะมาจากสภาพสังคมภายในโรงเรียนเอง ซึ่งมักจะมีการประชันความสามารถระหว่างเด็กแต่ละคนว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน เช่นหากฉันทำนี้ได้ ก็แสดงว่า ‘ฉันเก่งกว่า’ ‘ฉันกล้ากว่า’ บางครั้งก็อาจจะเกิดจากพฤติกรรมความอยากรู้อยากเห็นว่า ‘ชีวิตใกล้ความตายนั้นเป็นอย่างไร’ และบางครั้งก็มาจากความเชื่อที่ว่าการทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางกามารมณ์ให้สูงขึ้น ขณะหลายคนก็ติดใจ สนุก ชอบทำเพราะทำแล้วโล่งสบาย โดยไม่รู้ตัวกำลังเล่นกับความตายอยู่ และที่ผ่านมา เฉพาะสหรัฐอเมริกาก็พบจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพลภาพมากกว่า 31 รัฐแล้ว
อีกเกมหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยมมากก็คือ ‘Space Monkey’ หรือที่มีอีกชื่อว่า Hey, wanna faint? เกมนี้ถือเป็นเกมของพวกที่คลั่งไคล้การหายใจ
หลักการเล่นก็คือ คุณต้องพยายามหาทางหายใจให้ได้ ในขณะที่กำลังถูกเพื่อนๆ จับแบร์ฮัก (การเอามือสอดไปที่หว่างแขนอีกคนหนึ่งแล้วดันขึ้น) ไว้ด้านหลัง แล้วก็ยกคุณขึ้น จากนั้นก็จับคุณลงไปกองกับพื้นจนเหมือนโลกกำลังว่ายวนอยู่รอบๆ คุณจะสามารถรับรู้ถึงแรงโน้มถ่วงที่คุณถูกแขวนไว้กลางอากาศชั่วขณะหนึ่ง จากขึ้นเป็นลง จากลงเป็นขึ้น พอรู้ตัวอีกที คุณก็นอนแผ่บนพื้นและต้องร้องว่า ‘สุดยอด’
เกม Space Monkey นี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘Valsalva maneuver’ ซึ่งหมายถึงแรงกดดันภายในบริเวณทรวงอก สิ่งนี้จะลดกระแสเลือดที่จะไหลไปที่หัวใจ ในทางกลับกันมันก็ลดกระแสเลือดที่ไหลออกจากหัวใจด้วย และการที่กระแสเลือดไหลไปเลี้ยงสมองน้อยลงยังทำให้เกิดความรู้สึกสนุกสนาน
แต่ถึงเกมนี้จะสนุกแค่ไหน พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่พอใจเวลาเห็นลูกๆ เล่นเกมแบบนี้อยู่ดี เนื่องจากถึงคุณจะมีความสุขในช่วงแรกที่เล่นเสร็จ แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ก็คือ อาการคลื่นไส้และปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายก็เล่นอาการสลบไปเลยก็มี เนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
อาจจะดูเป็นเรื่องน่าแปลกไม่ใช่น้อย ที่คนจำนวนมาก เลือกที่จะแสวงหาความสุขแบบเสี่ยงๆ เช่นนี้ แต่หากพิจารณาสักหน่อย ก็จะพบความจริงบางอย่างว่าคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในประเทศทุนนิยมที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก อย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือยุโรป
คงเป็นเพราะการอยู่ในประเทศแบบนี้ ทำให้ชีวิตต้องตกอยู่ในสนามแข่งขันตลอดเวลา ทั้งเรื่องสนามเศรษฐกิจ สนามสังคม หรือแม้แต่สนามชีวิต และเมื่อต้องเจอกับภาวะบีบคั้นมากๆ สิ่งที่ตามมาก็คือ ‘ความเครียด’
เมื่อคนเราเครียดๆ มาก ก็เป็นธรรมดาที่อยากจะหาทางระบายออก แต่การระบายแบบธรรมดาๆ นั้น คงไม่สามารถลดความเครียดในชีวิตลงได้ทั้งหมด อาจจะทำได้แค่เพียงการสร้างรอยยิ้มเล็กๆ หรือเสียงหัวเราะเบาๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะขจัดสิ่งที่กวนใจนี้ให้ได้ ก็คือการหาความสุขแบบเต็มที่ ซึ่งความสุขนั้นก็ควรจะมาพร้อมกับความสะใจ ที่เราสามารถเอาชนะความเครียดได้
และนี่อาจจะทางเลือกเพียงไม่กี่ทางของคนเหล่านี้ ในยุคที่โลกกำลังยุ่งเหยิงอย่างหนัก และความสุขแบบสุดๆ นั้นหาได้ยากเต็มทีในสังคม
**********************
ออโต้ อีโรติก…ไม่ใช่จิตวิตถาร
นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ให้คำอธิบายเกี่ยวกับคำว่า Auto erotic asphyxiation (AEA) คือการทำให้ตัวเองสุขสมทางเพศโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ส่วน Auto erotic คือการช่วยตัวเอง ในกระบวนการทำกามสุขทางเพศให้ตัวเอง ซึ่งมีหลายกระบวนการ บางกระบวนการก็สอดคล้อง กับการตัดเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง จะอยู่ในช่วงกำลังใกล้ปริ่มๆ หมดสติ บางคนบอกว่า มันทำให้เกิดอาการตัวเบาๆ หวิวๆ หรือไวต่อประสาทสัมผัสได้ดีขึ้น เมื่อเป็นอย่างนั้นหากเขากำลังทำกิจกรรมให้ตัวเองสุขสมแล้ว จะเพิ่มความรู้สึกไปถึงจุดสุดยอด แต่การช่วยตัวเองแบบนี้เป็นกระบวนการทำกามทางเพศที่อันตรายที่สุด ซึ่งไม่มีใครแนะนำ
นพ.พันธ์ศักดิ์ อธิบายต่อว่า ในการทำแรกๆ อาจจะทำให้ขาดออกซิเจนไม่มากนัก แต่เมื่อทำต่อไปและเกิดความชำนาญมาก ก็จะติดอกติดใจมากขึ้น และจะทำรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนควบคุมไม่ได้ และจะทำให้เกิดการเสียชีวิต แต่ตอนที่ทำให้ขาดออกซิเจน แล้วมีความสุขยังไง หมอคงถามเขาไม่ได้ เพราะคนที่ทำพวกนี้ไม่แสดงตัว จะมารู้ก็ตอนที่เกิดความอันตราย หรือเสียชีวิตไปแล้ว
เมื่อถามว่าในประเทศไทยมีคนที่ชอบทำกิจกรรมแบบนี้หรือไม่ นพ.พันธ์ศักดิ์ แสดงความเห็นว่า ไม่ทราบจริงๆ เพราะแม้แต่ในต่างประเทศเอง ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครทำบ้าง จะรู้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นได้เสียชีวิต และมีหลักฐานว่ามีการกระทำเช่นนั้นเกิดขึ้น จึงจะมีการวิเคราะห์ว่าเป็นแบบนั้น
“ในความเห็นส่วนตัว หมอคิดว่า คนไทยไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก คนไทยมีวิธีการแสวงหาความสุขในแบบมาตรฐานธรรมดาได้ เพียงพออยู่แล้ว และหมอเองก็ไม่เคยพบว่าจะใครมาขอคำปรึกษา เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล และเกิดขึ้นน้อยมาก ที่สำคัญคนที่มีอาการดังกล่าว เขาเป็นเหมือนคนปกติ เหมือนเรานี่แหละไม่ได้มีอะไรต่างจากคนทั่วไปเลย”
นพ.พันธ์ศักดิ์ ยังบอกอีกว่า เรื่องนี้แม้ว่าจะมีการศึกษา หาความรู้ไป ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ เพราะเรื่องแบบนี้เกิดไม่ค่อยเยอะ จึงไม่ค่อยมีประโยชน์ในด้านการศึกษา อีกอย่างคนที่เป็นเขาก็ไม่ได้ไปรักษา ที่สำคัญหากปรึกษา หมอเองก็ไม่แนะนำให้ทำอยู่แล้ว
“คือคนที่เป็น มันสังเกตไม่ได้ เพราะมันเป็นพฤติกรรมส่วนตัวจริงๆ ที่หมอเองก็ดูไม่ออก ว่าเขาทำ และคนที่ทำ เขาก็คงไม่ได้เล่าให้ใครฟังอยู่แล้ว จะไปรู้อีกทีก็ตอนที่เขาเสียชีวิตแล้วเท่านั้น และลักษณะแบบนี้ก็ไม่ได้อันตรายต่อสังคม แต่อันตรายต่อชีวิตเขาเอง ต่างจากคนที่มีจิตวิตถาร ข่มขืนคนนั้นคนนี้ ไปมีความสัมพันธ์กับเด็กๆ คนชรา หรือมีเพศสัมพันธ์ กับพวกสัตว์ทั้งหลาย คือคนโรคจิต”
***********
เรื่อง : ทีมข่าวปริทรรศน์