ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข่าวคราวความเคลื่อนไหวของ บรรดานักปั้น ผู้จัดการส่วนตัว นักฉก ถูกวิพากษ์วิจารณ์และเป็นข่าวหนาหูชนิดที่เรียกว่าแย่งซีนหน้าบันเทิงไปหลายวันทีเดียว ทั้งการปะทะคารมของ "พจน์ อานนท์" แมวมองชื่อดัง และผู้จัดการส่วนตัวดาราชื่อดัง อย่างอั้ม พัชราภา,เวียร์ ศุกลวัฒน์ อย่าง "เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร" หลังถูกอีกฝ่ายชักชวนเด็กในสังกัด
ย้อนหลังกลับไปการฟ้องร้องจากอดีตผู้จัดการส่วนตัวมาริโอ้ "โกโก้ นิรุณ" อาชีพผู้จัดการส่วนตัว และนักปั้นจึงกลับมาโด่งดังและพูดถึงอีกครั้ง พร้อมกับการเพรียกหาว่า แท้จริงแล้วจรรยาบรรณของวิชาชีพนี้อยู่ที่ใดกัน
....
"แมวมอง" สมัยก่อนใช้เรียกกองทหารที่มีหน้าที่คอยดูเหตุ แต่ในความหมายในวงการบันเทิง "แมวมอง" คือผู้ที่คอยสอดส่องมองหาคนที่มีแววว่าจะเป็นดาราหรือนางงาม วันนี้ M-Entertain มีโอกาสได้พูดคุยกับ "อานนท์ มิ่งขวัญตา" หรือ "พจน์ อานนท์" นักปั้นรุ่นใหญ่ที่ใครๆก็รู้จัก เจ้าตัวเปิดบทสนทนาคำแรก ทักทายด้วยนำเสียงยอ่างอารมณ์ดีว่า พร้อมคุยทั้งเรื่องข่าวฉาวที่ออกมาก่อนหน้านี้ และเรื่องราวของอาชีพ "นักปั้น" ที่ทำมาตั้งแต่ยุคก่อน
ไม่เคยภูมิใจใครเรียก "นักปั้น"
"นักปั้นมือทอง" คำต่อท้ายชื่อของ "พจน์ อานนท์" เจ้าตัวเผยอย่างอารมณ์ดีว่าแท้ที่จริงแล้วตนไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับการยกย่องแต่อย่างใด ออกตัวไม่เคยอยากให้ใครเรียกอย่างนั้นอีกต่างหาก
"แหม อย่ามาเรียกนักปั้นมือทองเลย คิดว่าอยากเรียกตัวเองว่าผู้กำกับ เพราะเบื่อมากกว่ากับคำว่านักปั้น เวลาเป็นกรรมการ นักปั้นมือทอง มือทองอายมาก ไม่เอา ถ้าบอกเป็นบรรณาธิการนิตยสารเธอกับฉัน อันนี้โอเค ผู้กำกับอะไรแบบนี้โอเค แต่คำว่านักปั้นมือทอง อันนี้ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ไม่ได้ชอบเลยแล้วไม่ได้พิศวาสคำนี้ด้วย เป็นผู้กำกับดีแล้ว แต่ถ้าเด็กอยากจะมาทำงานด้วย เด็กอยู่กับเราทำงานกับเราก็โอเคแล้ว"
"แมวมองสำหรับผมคือเดินหาเด็กมาแล้วเอาเด็กมาทำงาน แล้วก็ส่งไปให้นักปั้น นักปั้นปั้นเสร็จก็ดังแล้วส่งต่อให้ค่าย แต่ของเขา (เอ) เอาเด็กที่ดังอยู่แล้ว ยื่นมือเข้าไปดูแล แล้วก็หัก30% เขาเรียกนักอะไรก็ไม่รู้" พจน์เหน็บคู่กรณีเบาๆหลังจากกรณีพิพาทยังไม่จบสิ้น
รายได้ของนักปั้น-ผู้จัดการส่วนตัว
"บางคน ก็อยากให้คนมาเรียกว่า "นักปั้น" มากกว่า อย่างเอเขาก็ไม่ต้องการคำว่าผู้จัดการดารา เขารู้สึกชื่นชอบกับคำว่านักปั้น ซึ่งตัวเขาไม่ได้ปั้นเองสักคน คุณแดง (สุรางค์) คือคนปั้น แล้วอย่างอั้ม อั้มเขามาจากการประกวดแฮ็คส์ มีคนพาเขาไปให้คุณแดง แล้วแกก็ปั้นจนดัง พออั้มมาดัง เขาเป็นเพื่อนกับเอมาก่อน ก็ยืนมือดูแลให้อั้ม แล้วก็หักเปอร์เซ็นต์ อย่างเวียร์ ศุกลวัฒน์เขาก็ไปซื้อมาจากโมเดลลิ่งที่ขอนแก่น ซื้อแบบว่าเอามาแล้วเอาเวียร์มาเป็นของเขาเลย แล้วคุณแดงก็ปั้นต่อ อย่างเวียร์เนี่ยโมเดลลิ่งที่ขอนแก่นเจอก่อน อย่างป๋อเขาก็มีโมเดลลิ่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะมาเล่นช่อง7หลายที่อยู่ ไม่ใช่แบบเราที่มาเจอมอส เจอเต๋าที่มาบุญครอง"
"รายได้ของผู้จัดการส่วนตัว มันแล้วแต่ตกลงกัน 20%หรือ30% มากสุดก็ 30-35% ล้านหนึ่งได้เท่าไหร่ ก็คำนวณเอาเอง ก็ไม่รู้นะว่าตกลงเรื่องงานกันอย่างไร แต่สำหรับเอเนี่ยๆได้ข่าวมาว่า เขาบอกเด็กเลยว่าถ้าอยู่กับเขาสองปี ต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ เขาพูดกับเด็กอย่างนั้น แต่เท่าที่ทราบคือ 30 นะ"
แต่พจน์เผยสั้นๆว่าตนไม่เคยหักเงินเด็ก เพราะไม่เคยคิดทำนาบนหลังคน
"ไม่อยากหักเงินเด็กมัน เด็กมันเหนื่อยนะ เราแค่รับโทรศัพท์ติดต่อ แล้วเราได้30% มันเหมือนทำนาบนหลังคนน่ะ เราไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าเป็นคนแบบนั้นรวยแล้ว เราไม่ได้เอาตังค์เด็กแต่มีงานก็รับใช้เราหน่อย อย่างเช่นที่ไหนมีงาน อยากมีการกุศล อยากให้เราช่วยเราก็พาเด็กไปช่วย เงินก็ไปรับเอง ส่วนถ้าจะหักก็มีค่ารถ ค่าโทรศัพท์ จ้างเด็กไปคุมดาราอีก แค่นั้นเอง"
"สันดาน" คือ "จรรยาบรรณ" ของคนปั้น!?
หลังมีข่าวทะเลาะตบตีแย่งเด็กกันจ้าละหวั่น "พจน์" ยอมรับว่าอาชีพนี้ไม่เหมือนวิชาชีพอื่นที่ต้องมีจรรยาบรรณควบคู่ หากแต่จรรยาบรรณที่ว่าของเหล่านักปั้น หรือผู้จัดการส่วนตัว คือ "สันดาน" ขอนั้นๆ
"จรรยาบรรณมันต้องรู้เอง มันเป็นสันดานคน คนคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร เดินไปกลางถนนเจอเด็กผู้ชายหล่อ คนนึงก็ทิ้งนามบัตรให้ แต่ถ้ารู้ว่าเขามีโมเดลลิ่งอยู่แล้วก็ต้องเอาบัตรคืน เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า อะไรอย่างไร คือเด็กไม่ได้ติดป้ายไว้นี่ว่าเด็กใคร บางครั้งมันก็มีพลาดได้ เราก็ไม่ควรติดต่อเขา ถ้ารู้ว่าเขามีเจ้าของแล้ว มันคือมารยาท นิสัย หรือสันดานคนที่ต้องรับรู้ด้วยตัวเอง เราไม่ได้ว่าใครนะ นี่คือพูดถึงทั่วไป"
"อาชีพนี้มันคือสันดานคน นี่คือคำจำกัดความง่ายๆ เด็กของใครก็คือเด็กของมันอย่าไปแย่ง แค่นั้นแหละ แย่างกันเขาอุตส่าห์หามา คุณก็ต้องออกไปหาซิ ตระเวนหา ไม่ใช่นั่งคอยเป็นคุณนายแล้วฉกเด็กคนนี้ไปแล้วมาบอกว่าตัวเองปั้น"
ความสำเร็จของนักปั้น
เมื่อเอ่ยถามถึงความสำเร็จของนักปั้นอยู่ที่ไหน เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงปลงปนเข้าใจว่า สำหรับตนแล้วการมีชื่อเสียง มีบ้านมีรถขับจากน้ำพักน้ำแรงของเด็กเอง เพียงเท่านั้นคือความสุขของแมวมองที่ทำมาทั้งชีวิต และกฎข้อหนึ่งของนักปั้นคือ อย่าบังคับให้เด็กจำบุญคุณตนเองได้
"ความสำเร็จของเรา มันอยู่ที่เด็กดัง เด็กประสบความสำเร็จก็พอแล้ว มีบ้าน มีเงินมีทองใช้ ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขา แต่ของคนอื่นเราไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนหรอกนะ"
จำเป็นมั้ยว่าเขาต้องไม่ลืมเรา?
"มันลืมทุกคน เราชินแล้ว มันเป็นเรื่องปกติ แต่เรายังมีความห่วงใยให้กันอย่างเต๋า สมชายที่เขามีข่าวคราว ก็ห่วงเขาแต่ไม่รู้จะพูดอะไรได้ ได้แต่บอกว่าถ้าอยู่ในวงการนี้มันก็ต้องคุมสติ ถ้ากินเหล้าแล้วคุมสติไม่ได้ เต๋าก็อย่ากิน ถ้าคิดจะทำงานพวกนี้ต่อ ก็ต้องเป็นคนดี อย่ามาเมาเอกเขนก นี่คือตัวเขา ใครก็ช่วยเขาไม่ได้ เราส่งเขาถึงฝั่งแล้ว ได้แค่นี้ นี่คือสูงสุดที่เราคิดว่าเราโอเคแล้ว" น้ำเสียงห่วงใยอดีตเด็กปั้น แต่ยังคงเข้าใจธรรมชาติของวงการบันเทิงอยู่ไม่น้อย
เด็กแบบไหนโดนใจ "พจน์ อานนท์"
"เดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปนั่งมาบุญครอง เมื่อก่อนออฟฟิศอยู่แถวนั้น ก็เจอก็มาคุย แต่ตอนนี้ก็จะทำเป็นโมเดลลิ่งเรื่องเป็นราว เดี๋ยวจะเปิดแถลงข่าวอีกที ถ้าทำป่านนี้มีบ้าน 30 ล้านแล้ว..(หัวเราะ) ตอนนี้ยังผ่อนบ้านไม่หมดเลย" พจน์ เอ่ยถึงอดีตที่ผ่านมาในยุคแมวมองจ้องหาเด็กเข้าสังกัด
"ทุกวันนี้มีเด็กเข้ามาหาเยอะอยู่ แต่ไม่ได้ปั้นมานานแล้วไง ก็เบื่อๆตอนหลังก็เริ่มมองว่าใครนิสัยดีก็เอา ใครไม่ไดีก็ไม่เอา วิธีการคัดเด็กก็ดูว่าหน้าตาดีมั้ย นิสัยดีมั้ย เชื่อฟังเรามั้ย เราก็ช่วยคนที่เชื่อฟังเรา พ่อแม่เด็กก็เกี่ยวด้วย เพราะเราต้องเข้าทางพ่อแม่ ไม่งั้นเราก็ไม่ได้ลูกเขามา พ่อแม่เขาต้องเชื่อใจเรา"
นักปั้นแมวมองทำไมต้องเป็นเพศที่สาม ...(ส่วนใหญ่)?
ทันทีที่ได้ยินคำถามเจ้าตัวนิ่งไปพักใหญ่ แล้วให้คำตอบว่าผู้ชายไม่หล่อ กะเทยไม่แซว...
"อันนี้ก็ตอบไม่ได้นะ ไม่รู้ ว่าทำไมต้องเป็นเพศที่สาม แต่ถ้าถามว่าทำไม ที่เขาพูดกันว่า ผู้ชายคนไหนถ้าไม่โดนกะเทยแซวคนนั้นไม่หล่อ เคยได้ยินมั้ย นี่ที่เขาพูดกันมานะ แสดงว่าชีวิตคนนั้นไม่หล่อแน่นอน ถ้ากะเทยไม่แซว แต่เราก็ไม่เคยบอกว่าเราเป็นอะไรนะ แค่นี้ก็มีความสุขดีแล้ว"