ความสวยความงามเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงทุกยุคทุกสมัย แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีผลวิจัยจากสถาบันทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่สามารถชี้ชัดถึงรหัสพันธุกรรมที่ทำให้ผู้หญิงมีความทะเยอทะยานในการใฝ่หาความงามขนาดนี้ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของทุกวัฒนธรรมในโลกก็เป็นสิ่งยืนยันชี้ชัดว่า ความงาม เสื้อผ้า น้ำหอม และ เครื่องสำอาง ล้วนเป็นของคู่กายของผู้หญิงมานานแล้ว
ผู้ชายบางคนอาจจะถึงกับตะลึงเมื่อเห็นกระเป๋าเครื่องสำอางใบโตของผู้หญิง และรู้ว่าในนั้นมีเครื่องสำอางมากมายบรรจุอยู่แน่นเอี้ยด และจะยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อรู้ราคาของเครื่องสำอางแต่ละชิ้น ทำให้หลายคนอาจพากันคิดไปว่าผู้หญิงสมัยนี้ทำไมต้องประโคมโหมแต่งกันซะมากมายจนดูเกินความจำเป็นในสายตาของพวกเขา
แต่จริงๆแล้ว ความงามเป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้หญิงใฝ่หามานานแล้ว เช่นผู้หญิงไทยสมัยก่อนต้องขัดผิวด้วยมะขามเปียก ตามด้วยขมิ้นชัน เพื่อให้ผิวขาวผ่องเป็นยองใย ใช้เวลาทั้งวันในการปรุงน้ำอบจากดอกไม้ เพื่อให้กลิ่นกายหอมละมุน หรือผู้หญิงในยุครอคโคโค อย่างพระนางมารี อองตัวเนท ก็ต้องแต่งตัวโดยสวมชุดกระโปรงที่มีสุ่มใหญ่โตพร้อมลูกไม้ประดับรุ่ยร่าย และยังต้องใส่วิกผมอลังการที่ประดับด้วยขนนก อัญมณี และของประดับอื่นๆ เท่าที่จะคิดหามาได้ หรือการกรีดตาด้วยสีดำของชาวอียิปต์โบราณ ที่ไม่แตกต่างจากการกรีดอายไลน์เนอร์ของสาวๆ ยุคปัจจุบัน
เครื่องสำอาง กับ ความงามในยุคศตวรรษที่ 21
ก่อนหน้านี้กลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าประเภทเครื่องสำอางจะเป็นหญิงสาววัยทำงาน เพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเริ่มแต่งหน้าเมื่อต้องทำงานแล้ว หรือไม่ก็ช่วงปีท้ายๆ ของการเป็นนักศึกษา แต่เดี๋ยวนี้สาวหน้าใสวัยเอ๊าะๆ ในชุดกระโปรงนักเรียนก็อยากสวยกันแล้ว ทำให้ต้องเริ่มสรรหาเครื่องสำอางต่างๆ มาประทินโฉมให้ไฉไล โดดเด้งกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันที่ยังโปะหน้าด้วยแป้งเด็ก
สาววัยมัธยมอย่าง ปุณิกา ฤกษ์ชูชิต หรือ บูม นักเรียนชั้นม.6 ที่เลือกกรีดอายไลเนอร์ และปัดแก้มบางๆ เผยผิวใสในช่วงวันหยุด บอกกับเราว่า "การแต่งหน้า ไม่ว่าจะแต่งหน้าสไตล์ไหน จะแต่งเข้ม หรือแต่งแบบเผยผิว มันก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แล้วก็ความเหมาะสมด้วย ว่ามันเหมาะกับใบหน้าเขาหรือเปล่า ถ้าแต่งแล้วสวยก็เหมาะ แต่ที่รับไม่ได้คงเป็นพวกเด็กสก๊อยที่จะทาหน้าขาวๆ ปากแดงๆ"
เรื่องค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอาง ที่ส่วนใหญ่จะมีราคาแพง ทำให้เกิดคำถามขึ้นกับผู้ใหญ่หลายคนที่เฝ้ามองอยู่ว่าเป็นการใช้เงินเกินตัวของเด็กมัธยมหรือไม่ แต่สำหรับบูมแล้ว เธอไม่คิดว่าการซื้อเครื่องสำอางเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเกินไป "ก็ไม่ได้ซื้อเครื่องสำอางบ่อยนะคะ เพราะเวลาซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้ได้นาน ไม่ได้แต่งหน้าทุกวันด้วย ประมาณ 3-4 เดือนถึงจะซื้อ ซื้อครั้งหนึ่งก็ใช้เงินประมาณ 3,000-4,000 บาท"
ส่วน นันท์นภัส คุณากรกิจ หรือ ดาว นักศึกษาวัย 20 ปี ก็คิดว่าการใช้เงินกับเรื่องความสวยความงามป็นเรื่องปกติของผู้หญิง และให้ความสำคัญกับการแต่งหน้าอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะมากกว่า"บางคนแต่งหน้าเข้มเกินไป ใช้สีดำ สีน้ำตาลเข้ม ไปมหาวิทยาลัยมันก็ไม่เหมาะ ถ้าไปเที่ยวก็ว่าไปอย่าง ส่วนการแต่งหน้าของดาว ก็แล้วแต่วันนะ ว่าวันนั้นจะมีเวลาแค่ไหน ถ้าเรียนเช้าก็น้อยหน่อย ถ้าเรียนบ่าย มีเวลาเยอะ ก็แต่งเยอะหน่อย มีกรีดตา ปัดแก้ม ทาลิปสติก แล้วก็ใส่คอนแทคเลนส์บิ๊กอายส์"
"การซื้อเครื่องสำอางก็แล้วแต่ค่ะ แต่ละเดือนจะซื้อไม่เท่ากัน อย่างเดือนนี้ก็ประมาณ 2,000-3,000 บาท เวลาเลือกซื้อก็จะดูจากแพคเกจก่อน แล้วก็แบรนด์เป็นอันดับถัดมา" ดาวบอกกับเราถึงค่าใช้จ่ายและวิธีซื้อเครื่องสำอางของเธอ
ทางด้าน ชมพูนุช บำรุงไทย หรือ ปุ้ย นักศึกษา ปี 4 ที่ทำงานพิเศษเป็นพนักงานขายในร้านเสื้อผ้าที่สยามสแควร์ ก็รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมในการแต่งหน้าของวัยรุ่นที่อยู่ในชุดนักเรียนมัธยม "บางคนอยู่ม.ปลาย แต่แต่งหน้าแรงมาก แบบแต่งทั้งหน้า ทั้งปาก บางคนกรีดอายไลน์เนอร์หนาๆ คือมันไม่สมวัย ไม่เหมาะกับเครื่องแบบด้วย"
เรื่องพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของตัวเองนั้น ปุ้ยยอมรับกับเราว่า ค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอางของเธอในแต่ละเดือนค่อนข้างสูง "ปกติก็จะซื้อเครื่องสำอางประมาณเดือนละครั้ง เดือนหนึ่งก็ต้องมีงบอย่างน้อย 1,000 บาท สำหรับซื้อเครื่องสำอาง ที่ซื้อบ่อยที่สุด คือ อายไลน์เนอร์ กับมาสคาร่า แล้วก็อายชาโดว์ เพราะมันหมดเร็ว แต่ถ้าเดือนไหนซื้อเยอะหน่อยก็จะต้องเสียเงินประมาณ 8000 - 10000 บาท" แต่ปุ้ยก็คิดว่าเงินที่ซื้อเป็นเงินที่หามาได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้รบกวนผู้ปกครอง จึงไม่รู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
รายการเครื่องสำอางในกระเป๋าใบโต
เซ็ทครีมบำรุงผิว 2,500 บาท
รองพื้น 1200 บาท
คอนซีลเลอร์ (สำหรับลบรอยแดง และจุดด่างดำ) 1200 บาท
แป้งผสมรองพื้น (ช่วยปกปิดรูขุมขนทั้งหลาย) 1500 บาท
ดินสอเขียนคิ้ว 200 บาท
ขนตาปลอม 70 – 1500 บาท
อายไลน์เนอร์ (ช่วยขับเน้นความคมเข้มให้ดวงตา) 500 บาท
อายชาโดว์ (แต่งแต้มสีสันให้ดวงตาด้วยสีสุดฮิตตามแฟชั่นของแต่ละฤดูกาล) 500 บาท
คอนแทคเลนส์แบบบิ๊กอายส์ (เพิ่มความกลมโตของดวงตา) 400 บาท
ไฮไลท์ (สำหรับเพิ่มความโดดเด้งแก่จมูกมนๆ ให้ดูมีสันเป็นคมขึ้น) 500 บาท
บลัชออน (ปัดแก้มเพิ่มสีสันให้ใบหน้าไม่ซีดเผือดเหมือนความเป็นจริง) 1100 บาท
บรอนเซอร์ (สำหรับลดความกลมของใบหน้า ทำให้ดูแก้มตอบเหมือนซูเปอร์โมเดล) 700 บาท
ลิปสติก 400 บาท
ลิปกลอส (เพิ่มความแวววาวให้ริมฝีปากดูน่าจูบ) 700 บาท
โลชั่นบำรุงผิว 400- 2500 บาท
แป้งกลิทเทอร์ (สำหรับทาตัว ทำให้ผิวดูวิบวับเปล่งประกาย) 800 บาท
แฮนด์ครีม (ช่วยให้มือนุ่มน่าจับ) 500-1200 บาท
สเปรย์ผิวแทน (สำหรับปรับสีผิวให้เรากลายเป็นสาวผิวสีแทนได้ในไม่กี่วินาที) 800 บาท
เมื่อเครื่องสำอางกลายเป็นของเล่น
เชื่อว่าหนุ่มๆ หลายคนคงจะยังหลงตัวเองอยู่ และนึกไปว่าที่สาวๆ ทั้งวัยรุ่น วัยใส ไปจนถึงวัยทำงาน ต่างก็ต้องแต่งหน้ากันมากมายเพราะพวกเขาเป็นสาเหตุ ขอบอกว่าผิดถนัด เพราะผู้หญิงไม่ได้อยากสวยเพื่อผู้ชายเพียงอย่างเดียว
ที่พูดแบบนี้เพราะว่า ในปัจจุบันการแต่งหน้าไม่ใช่กิจกรรมเพื่อความงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกด้วย เห็นได้จากเว็บไซต์เกี่ยวกับความสวยความงามหลายแห่ง ที่มักจะมีสาวๆ เข้ามาทำ How To ให้ดูกันแบบฟรีๆ จนการทำ How To เพื่อโพสต์ในอินเตอร์เน็ต กลายเป็นกิจกรรมยามว่างของสาวๆ หลายคนไปแล้ว
นอกจากนี้หลายๆ แบรนด์เครื่องสำอางก็ได้เพิ่มความสนุกสนานเข้าไปในผลิตภัณฑ์ด้วย โดยเฉพาะเครื่องสำอางจากเกาหลีและญี่ปุ่น
จินตวีร์ ศิริมงคลขจร เจ้าของเว็บไซต์ www.tookstyle.com ร้านขายเครื่องสำอางออนไลน์ที่เปิดมากว่าสี่ปี บอกกับเราถึงสาเหตุที่ทำให้เครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่นได้รับความนิยมว่า "มันมีอะไรน่าดึงดูด ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก แพคเกจ ทั้ง คุณสมบัติ วิธีการใช้ มันเลยทำให้กระแสตรงนี้ไม่หยุดนิ่ง มีออกมาให้เล่นเรื่อยๆ
คือหัวจรดเท้าเนี่ย ญี่ปุ่นจะมีอะไรออกมาให้เล่นตลอดเวลา"
เครื่องสำอางแสนสนุก
- โลชั่นที่มีลักษณะเป็นขวดสแตนเลสเหมือนมูสใส่ผม แต่พอกดออกมามูสกลับกลายเป็นก้อนคล้ายๆสำลีที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยโลชั่นสำหรับเช็ดหน้า
- เครื่องนวดหน้าผอม ที่มีลักษณะเหมือนหูฟังของแพทย์ แต่ตรงปลายหูฟังทั้งสองข้างเป็นตัวกลิ้งกลมๆ รับกับแก้มของเราพอดี
- ผงอาบน้ำ สำหรับใส่ในอ่างอาบน้ำ มีให้เลือกหลายแบบ หลายสี หลายกลิ่น แต่ละแบบก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น ทำให้สดชื่น ลดความเมื่อยล้า แก้เครียด ลดความอ้วน
- มาสก์เย็นทุกที่ทุกเวลา อันนี้จะอยู่ในรูปแบบซอง แล้วเวลาใช้ก็แค่ทุบๆ มันก็จะพองขึ้น และความเย็นก็จะค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา ตื่นเต้นและสนุกสนานพอแล้ว ก็ค่อยแกะห่อ เอามาสก์ในซองมาพอกหน้าอย่างมีความสุข
คงจะเห็นแล้วว่า การแต่งหน้าไม่ใช่กิจกรรมเพื่อความสวยเพียงอย่างเดียว แต่มันคือความสนุกสนาน ความท้าทาย ไปจนถึงเป็นความคลั่งไคล้ของใครหลายๆ คน
"การแต่งหน้ามันเป็นกระแสเหมือนเราติดตามดารา นักร้องเลย จะต้องคอยดูว่ามีอะไรใหม่ๆ น่าสนใจ คือตั้งแต่หัวจรดเท้า สามารถมีอุปกรณ์ให้ใช้ได้แทบทุกส่วน มีของให้ใช้เพื่อความงามได้ทุกส่วน แล้วการแต่งหน้า แต่งตัวมันก็เพื่อให้คนยอมรับ ถ้าไม่แต่ง ไม่ทำก็เหมือนไม่อยู่ในกระแสของสังคม เหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่มักจะนิยมทำอะไรตามๆกันไป ใครไม่ทำก็out อะไรประมาณนั้น นี่พูดถึงวัยรุ่นนะ คือเป้าหมายหลักๆ ก็คิดว่าน่าจะเกิดจากการต้องการการยอมรับจากคนรอบข้าง" จินตวีร์ กล่าวถึงนิยามของการแต่งหน้าในแบบของเธอ
"ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งค่ะ คือผู้หญิงเราแต่งหน้าบางๆ ไม่ให้หน้าดูซีดจนเกินไป แค่นี้ก็ดูเป็นผู้หญิงแล้ว แล้วในชีวิตประจำวันของเราก็ต้องพบเจอผู้คน ถ้าปกติเราไม่แต่งหน้า แล้วลุกขึ้นมาแต่ง ชีวิตประจำวันที่จำเจก็เปลี่ยนไปแล้ว ต้องมีคนทักว่าเราสวยขึ้น หรือมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นแน่ๆ ซึ่งตรงนี้มันเหมือนเป็นการสร้างความประทับใจ สร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับตัวเอง และก็สร้างความมั่นใจด้วย" ผู้จัดการร้าน Mari J ร้านขายเครื่องสำอางนำเข้าในย่านสยามสแควร์กล่าวไปในทิศทางเดียวกับคุณ จินตวีร์ ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกหลงใหลการแต่งหน้า เป็นเพราะการแต่งหน้าทำให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
แต่ไม่ว่าคุณจะแต่งหน้าเพราะเหตุผลอะไร สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้ลืมก็คือ อย่าสนุก หรือยึดติดกับมันมากเกินไป จนลืมไปว่าความมั่นใจของเป็นสิ่งที่ตัวเราสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้
................................................................
เรื่อง : เพชรรัตน์ แซ่อึ้ง
ภาพ : อดิศร ฉาบสูงเนิน