“มาตามนัด” ไม่ใช่ชื่อ Game Show
หน้าบ้าน ใน ม.สราญทิพย์ เราส่ายหน้าเดินหากริ่งสัญญาณพักใหญ่, ด้านซ้ายมือเรียกรอยยิ้มคนผ่านไป-มาได้เพราะดันมีมือเรซินงอกออกมาจากรั้วบ้าน 1 ข้าง และกระดิ่งทองเหลืองใบเขื่องแขวนอยู่อีก 1 ใบ
“แล้วทำไมบ้านศิลปินใหญ่ไม่มีออด” แต่ “ศิลปะเกิดโดยธรรมชาติ” เราควรเข้าใจแบบ Hans Arp บอกเอาไว้ เสียงกระดิ่งก้องกังวาน ไม่นานประตูไม้หน้าบ้าน Dolly ออก พร้อมเสียงทักทายของเจ้าบ้านทีมเย้า ยิ้มตอนรับแขกผู้มาเยือน
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มตัวหนาๆ 2 คน กับทรงผม Skinhead เท่ๆ และเสื้อผ้าเท่ๆ แนะนำตัว “เหมือน LOGO ของลูกชายบ้านนี้” นนท์พี่คนโตตอบคำถามแย็บซ้ายสั้นเรื่องทรงผม ขณะเดินเข้าบ้าน
“ผมตัดก่อน มันลดขั้นตอนชีวิตไปเยอะ ลูบน้ำก็ออกจากบ้านได้” แต่ก็มีเรื่องอำกันเล่นๆ ว่ายอดชายตัดทรงนี้มาก่อนหน้านานแล้ว
“ท่านเป็น Skinhead ตัวพ่อในบ้าน”
“พ่อเล่นเวทอยู่ในสวน” นนท์บอกว่าเป็นกิจกรรมทุกๆ เช้า“แรกๆ พ่อก็บังคับ แต่พอเล่นแล้วก็แฮปปี้ สุขภาพดี หุ่นได้ ปัจจุบันพวกเราเล่นเวทมาหลายปีแล้ว”
พี่ชายคนโตมาดขี้เล่นเล่าพร้อมกับแนะนำหนุ่มน้องคนเล็กตัวหนา เดินอาดๆ เข้ามาสมบทและรับไม้ต่อพาไปหาที่นั่งสบายๆ
ห้องรับแขกบ้านศิลปินใหญ่, หลังนี้ออกจะแปลกกว่าที่อื่น มันดูคล้ายกับคลังเก็บสะสมศิลปะมากกว่า โดยเฉพาะงานปั้นรูปบุคคลสำคัญ ที่นี่เราจะสามารถพบ ลีโอนาโด ดาวินชี, หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ฉลอง ภักดีวิจิตร และ มิตร ชัยบัญชา ยืนคุยกันอยู่ น่าเสียดายที่เราอยู่ห่างจนไม่ได้ยินว่าเขาคุยอะไรกัน…!
ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ การสนทนาเรื่องชีวิต งาน ความรัก และอนาคตครั้งแรกครบ3 คนก็เริ่มขึ้น
“บ้านหลังนี้อยู่มา 16 ปีแล้วครับ” โน้ตพี่คนรองอาสาเล่า “ก่อนหน้าเราอยู่แถว 4 พระยาอยู่กับลุง ป้าและพี่เลียงอีก 2 คน”
“วันแรกที่มา เห่อมาก” นนท์บอกว่า แต่บรรยากาศเห่อๆ แบบนั้นก็กลายเป็นความเคยชิน และแม้สมัยนั้น พ่อจะโด่งดัง แต่เราก็ชีวิตง่ายๆ เช้ามาไปเรียนตกเย็นก็กลับบ้าน ไม่มีอะไรพิเศษ”
ชีวิตเป็นแบบนั้นซ้ำๆ จนกระทั่งโตขึ้น วันนี้แต่ละคนก็แยกย้าย เดินไปตามเส้นทางที่ถนัด และร่ำเรียนมา
ศิลปินและศิลปะไม่ได้มีแบบเดียว
นนท์พี่ชายคนโตอดีตนักเรียนนอกจากประเทศออสเตรีย นนท์ไปเรียนภาษามา 2 ปี และกลับมาเขาบอกว่าไม่ได้อังกฤษ “ผมได้แต่ญี่ปุ่นมา 2 คน”
ดนตรีกับเขาเริ่มต้นต้นตอน ป.2 พัฒนาไปสู่มัธยม มหาวิทยาลัย จนเป็นอาชีพ หลายๆ คนคุ้นหน้าเพราะนนท์เคยเป็น Back up ใน Music-VDO ของศิลปินดังมากมาย
ตอนนี้นนท์กลายเป็นมือกลองมาด Indy ฝีมือดีของวงอินบูโดกัน
โน้ตพี่คนกลางน่าจะมีผลงานคุ้นหน้า-ตาเรามากที่สุด ซึ่งนอกจากเรียน ป.เอก สาขาวิชาการพัฒนาการทรัพยากรมนุษย์ ที่ ม. รามคำแหง โน้ตมีงานละครกับช่อง 7 สี และมีงานพากษ์เสียงการ์ตูน เขาเข้าวงการบันเทิงได้เพราะไพรัช สังวรริบุตร กับบทตัวร้าย
“ร้ายขนาดเด็กเกลียด” เขาว่า แต่มามีคนรู้จักจริงๆ ในบทคนดี “เรื่องสังข์ทอง” ทางช่อง 7
หนุ่มน้องคนสุดท้อง นอกจากจะเล่นละครเป็นงานอดิเรกแล้ว เขากำลังศึกษา ป.โท Cultural Management ที่ ม. ธรรมศาสตร์ และเป็นครูสอนไวโอลินฝีมือดี ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นมือไวโอลิน 1 ใน 6 ของประเทศไทย “จริงๆ แล้ว พ่ออยากให้พี่นนท์เรียน แต่เขาถนัด Percussion มากกว่า”
ศิลปินใหญ่กล่าวเอาไว้ว่า “ศิลปะการออกแบบคือการสื่อสารอย่างชัดเจน โดยวิธีใดก็ตามที่คุณสามารถควบคุมหรือหรือที่คุณช่ำชอง” ดังนั้นถ้ามีคนบอกว่าเสียดายที่ทายาทศิลปินใหญ่ ไม่ได้เก่งศิลปะแบบผู้พ่อ
แต่ใช่หรือไม่ว่า“ศิลปิน-ศิลปะไม่ได้มีรูปแบบเดียว”
ศิลปะแห่งความรัก กับ กฎข้อที่ 1
แม้พวกเขาอาจจะเป็น “ลูกไม้ที่หล่นไกลต้น” ในความหมายเคร่งครัด คือ ไม่เก่งกาจงาน
แกะ-ปั้น เหมือนผู้เป็นพ่ออยากให้ทำ แต่งานศิลปะแห่งความรักคำสอนที่พ่อสอน 3 ข้อ ซึ่งพวกเขาได้แม่นยำ คือ 1.ภาพความรักของพี่น้อง
“เราเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก” โน้ตบอกว่า แต่สนิทกันคนละแบบ
“อย่างเล่นดนตรีกลางคืนจะไปต่างจังหวัดไม่ได้ ซึ่งเขาจะชอบไปกัน” นนท์จะจะเป็นพาร์ตพาน้องไปหาผีขนุนมากกว่า” จบประโยคอำนี้พวกเขาหัวเราะดังและการสนทนาเริ่มออกรส
“โน้ตเป็นคนที่ชอบเก็บประสบการณ์แต่ละอย่างในชีวิตมาสร้างเป็นหลักการให้กับตัวเอง เช่นไปเจอผู้หญิงแบบไหนมาก็จะพูดให้น้องฟังว่ามาแบบนี้ต้องทำยังไง”
ไม่เฉพาะเรื่องนี้ เรื่องเรียน เรื่องชีวิต แล้วมาบอกต่อเหมือนกัน “จริงๆ แล้วบุคลิกดีๆ หนุ่มจะถูก Crop จากพ่อและพี่ๆ เยอะที่สุด” โน้ตบอก เขามีความเป็นศิลปินสูงเหมือนพ่อ”
“ฟิวล์เขาลอยได้ แต่…” โน้ตเว้นจังหวะหลังจะพูดประโยคที่เรียกเสียงฮา “แต่...บางอย่างก็ไม่ควรทำนะ พี่นนท์ใช้ชีวิตคุ้มสุด”
“เหมือนที่พ่อเล่าว่า เอดิสัน เอาไข่เหน็บรักแร้ไปเรียน” นนท์ยกตัวอย่าง “คนก็คิดว่าบ้า ที่ไหนได้ เขากำลังทดลองฟักไข่อยู่ ซึ่งก็ได้จริงๆ แต่ผมอาจจะฉีกเป็นงานแนวดีไซน์แปลกๆ เป็นต้น”
“หนุ่มจะเซ้นซิทีฟสุด” นนท์วิเคราะห์ “แต่พ่อก็รักหนุ่มมากที่สุดเหมือนกัน”
“นี่หนุ่ม…เพิ่งไปไหนต่อไหนได้ตอน ม.5 เอง ขนรักแร้มันเพิ่งขึ้นเอง” พี่แซว หนุ่มพยักหน้าหัวเราะทำนองเห็นด้วย “ขึ้นมาวันเดียวโกนเลย ตกใจอะไรดำๆ วะ”
ลุค ลีลา เสียงเฮฮาพวกเขาทำให้เรานึกถึง 3 พี่น้องสินเจริญ “มีคนพูดแต่ไม่ได้หมายถึง Copy นะ” เขาว่า แต่น่าจะเป็นความสนุกสนานและ Idea ดีๆ
กฎข้อที่ 2-3 และ อาร์ตตัวแม่
กฎข้อ 2 และ 3 ที่หัวหน้าครอบครัว “ห้ามตกเป็นผัวใครโดยประมาท” และ “ให้เลือกผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ มากกว่าสบายตา”
อาจจะขำๆ แต่สำหรับพวกเขามันคือ สัญญาลูกผู้ชาย “พี่นนท์ชอบผู้หญิงประเภทไหน” โน้ตเปิดประเด็น “ผมชอบสาวประเภท 2” ทั้งวงหัวเราะกันครืน
“แต่หนุ่มไม่ดูที่หน้าตานะ” น้องคนเล็กเอ่ย
“แล้วมึงดูที่จิตใจ” พี่สงสัย “หนุ่มดูที่หุ่นเอาแบบแบนๆ และฉลาดจะเป็นผู้ตาม”
“สเปกพี่นนท์เปลี่ยนเรื่อยๆ” โน้ตคาสโนวาประจำบ้านวิเคราะห์ “เขามีผู้หญิงในอุดมคติเหมือนผมคือลองและรวบรวมประสบการณ์เอามาทำชาร์ต เพื่อเป็นแบบเรียนในการคบคนต่อไป”
“โน้ตว่าผู้หญิงเหมือนงานศิลปะ มีความสวยงามในตัวมันเอง”
“แต่ผมว่าผู้หญิงเหมือนอาร์ตตัวแม่” นนท์พี่ชายมาดเจ้าชู้ไม่แพ้กันบอก “ทั้งๆ ที่เรามีอะไรต้องทำ-คิด ที่สำคัญกว่าแต่ผู้หญิงมักขี้งอน” เขาบอกเคล็ดลับมัดใจชายง่ายๆ ที่ไม่ใช่สาริกาลิ้นทอง หรือ หงส์ร่อนมังกรรำ
“ถ้าอยู่คุณเฉยๆ เราจะเข้ามาเอง”
พูดกันมาก สรุป “พี่โน้ต กับ พี่นนท์มีแฟนแล้ว” หนุ่มบอกว่าทั้งบ้านเขาโสดคนเดียว
Home เพลงของบ้านเรา
“เหมือนเด็ก”
แบบที่เห็นเวลาพวกเขาจับกลุ่มกันได้ จะเล่น-อำ-แซวกันไม่หยุด แซวได้ทุกเรื่อง แซวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายไปทำงาน ใครคนหนึ่งเคยพูดเอาไว้น่าคิดว่า “จงโตขึ้น แต่อย่างลืมความเป็นเด็ก” คือ จงทำตัวเองให้พร้อมจะเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
แมนๆ แบบนี้แสดงความเป็นห่วงกันยังไง…? นนท์บอกว่า บางทีหายๆ ก็โทรไปอยู่ไหนวะ เป็นห่วงเพราะกลัวเป็นผัวโดนความประมาท โน้ตบอก “คือถ้าใครหายไปคนหนึ่ง ต้องมีคนโทร เฮ้อ...อยู่ไหนวะ”
“แต่ผมอาจจะโทรมาถามว่า เฮ้ย...อย่าพาหญิงมาบ้านนะ” หมดประโยคนี้น้อง 2 คนก็ระเบิดเสียงหัวเราะ “จะเป็นรูปโทรถามไปซะมากกว่า เพราะถ้าเป็นผู้ชายมาบอกว่าเป็นห่วงจะตลกมาก”
ถ้าครอบครัวนี้เป็นเพลง เปรียบเหมือนเพลงอะไร…? “เพลง Home” ของธีร์ ไชยเดช พวกเขาตอบเร็ว “ที่ชอบเพราะว่ามันตรงกับความอบอุ่นของครอบครัวเรา”
“อบอุ่น” เราทวนคำ และสงสัยว่า “อุ่น” ขนาดที่เรียกว่าร้อนได้ไหม...? “ไอ้ความร้อนจากครอบครัวมันเกิดจากความรัก ถ้ามันไม่มีความรักมันก็ไม่ได้อบอ้าวขนาดนี้หรอก”
สำหรับอนาคตพวกเขาตั้งใจจะทำงานศิลปะแบบผสมผสานกันสักงานหนึ่ง“อาจจะเป็นดนตรี อาจจะเป็นงานแสดง ผสมผสานงานศิลปะของ 3 คนมา Mix กัน แต่ยังขาดพีอาร์เก่งๆ จริงๆ ถ้าเรามีน้องสาวอีกคนละก็เฟอร์เฟก แต่พ่อคงไม่ไหวแล้วหละ”
ประโยคสุดท้ายเดาว่าลูกๆ น่าจะคิดไปเอง
***
นนท์ หรือ ชื่อจริง วงษสมรรถ เมฆสุวรรณ มีความหมายว่า ศักยภาพของวงตระกูล
โน้ต หรือ วรรธนศม เมฆสุวรรณ มีความหมายว่า สงบอยู่ในความเจริญ
หนุ่ม หรือ ชมวิชัย เมฆสุวรรณ มีความหมายว่า ผู้ชนะอย่างน่ายกย่อง ทั้งหมดเป็นชื่อที่สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงตั้งให้