xs
xsm
sm
md
lg

“บุญลือ วงศ์พรภาพ” ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ลูกค้า” คือบุคคลที่สำคัญที่สุด ที่มาเยือนเราในสถานที่นี้ เขามิได้มาพึ่งเรา เราต่างหากที่จำต้องพึ่งเขา เขามิได้มาขัดจังหวะการทำงานของเรา หากแต่เรารับใช้เขา คือวัตถุประสงค์ของงานเรา เขามิใช่บุคคลภายนอก เขาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้ทีเดียว ในการรับใช้เขา เรามิได้ช่วยเหลืออะไรเขาเลย เขาเป็นฝ่ายช่วยเหลือเรา โดยที่ให้โอกาสเรา ที่จะรับใช้เขา

*****


นั่น คือสิ่งแรกที่ทีมงาน Life style ASTV ผู้จัดการรายวัน รู้สึกประทับใจกับกรอบภาพธรรมดาๆ แต่มีข้อความที่แสนจะอ่บอุ่นในมุมมองของลูกค้า และยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับผู้ก่อตั้งบริษัทโฮมสแตนดาร์ด ทำให้ทีมงานยิ่งเข้าใจความหมายของคำว่าลูกค้าในทัศนะของ “บุญลือ วงศ์พรภาพ”ว่า ข้อความที่ผู้บริหารบริษัทแห่งนี้นำใส่กรอบแขวนไว้นั้นเป็นเสมือนการย้ำเตือนเสมอว่าการตลาดที่คำนึงถึงลูกค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหนในการดำเนินธุรกิจที่ต้องการความเชื่อมั่นจากลูกค้าอย่างเช่นธุรกิจรับสร้างบ้านในวันนี้
นายบุญลือ วงศ์พรภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมสแตนดาร์ด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน แบรนด์ โฮมสแตนดาร์ด และโฮมดีเวลลอปเมนต์ เล่าว่า กว่าชีวิตจะเดินทางมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องผ่านปัญหา ผ่านงานหนักมากมาย ส่วนหนึ่งเพราะตนเองไม่ได้เกิดในครอบครัวที่มีทรัพย์สมบัติ หรือมีเงินถุงเงินถัง เป็นทุนรอนในการจัดตั้งบริษัทหรือเปิดธุรกิจของตนเอง แต่เงินทุนที่นำมาเปิดบริษัทนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรง จากการทำงานมาชั่วชีวิตเลยทีเดียว
“ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ และความรู้ด้านการตลาดการบริหารจัดการที่ผมได้ซึมซับ และได้รับถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบันคือ การช่วยคุณแม่ขายอาหารทะเล เป็นอาชีพเสริมนอกเหนือจากการทำสวนยางพารา เพื่อให้มีรายได้เสริมในครอบครัว และสามารนำเงินมาส่งเสียลูกๆ ให้ได้เรียนหนังสือกันทุกๆ คน”
จากที่ก่อนหน้าในช่วงเรียนระดับชั้นประถมนั้น คุณพ่อ และคุณแม่ทำสวนยางพาราซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากคุณจากคุณปู่คุณย่าเพียง7 ไร่ ยังสามารถมีรายได้ส่งพี่ๆ และน้องเรียนได้อยู่ แต่หลังจากที่พี่ๆ ต้องเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ในบางครั้งคุณแม่ต้องไปเปียแชร์มาเป็นค่าเล่าเรียน ทำให้ต้องขยับขยายหาหนทางสร้างรายได้ จึงเดินทางไปรับอาหารทะเลจากสะพานปลามาขายในหมู่บ้าน ซึ่งในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ผมจะมีเวลาว่างที่จะมาช่วยคุณแม่เข็นรถอาหารทะเลไปขายในตลาด
จุดนี้เองที่ทำให้ผมมีนิสัยนักการตลาดติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เป็นคนชอบคณิตศาสตร์ จึงสามารถคิดราคาอาหารได้รวดเร็ว ประกอบกับการเป็นคนในพื้นที่เดียวกัน ในการขายของแต่ละครั้งเมื่อมีส่วนต่างของราคาที่เกินกว่าน้ำหนักอาหารที่เพิ่มขึ้นมาผมก็จะไม่คิดราคาเพิ่ม หรือที่เรียกว่าแถมให้แก่คนซื้อบ้านทำให้ได้รับความเอ็นดู บางครั้งในการเข็นรถเข็นอาหารทะเลไปขายที่ตลาดก็สามารถขายได้หมดก่อนที่จะเดินทางถึงตลาดด้วยซ้ำไป ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่เราเป็นที่มีน้ำใจรู้จักลดราคา.. แถมให้ลูกค้าบ้างทำให้ได้รับความเอ็นดูและขายของดีไปด้วย
ซึ่งนี้เองที่ผมเชื่อว่าคือหลักการตลาดคือ การทำธุรกิจที่ไม่เอาเปรียบลูกค้า แต่ยังมีการลด และแถมให้ลูกค้าทำให้ลูกค้าติดใจและซื้อของกับผมอยู่เป็นประจำ ดังนั้น คำว่าลูกค้าของผมจึงมีความหมายที่สำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างมาก
หลังจากเรียนจบชั้นประถม ด้วยความที่เป็นคนที่เรียนดี ชอบเรียนคณิตศาสตร์ คุณครูที่โรงเรียนจึงมาขอร้องให้ส่งผมไปเรียนต่อที่โรงเรียนมหาวชิราวุฒ ในตัวเมืองสงขลา ในช่วงนั้นเองเป็นช่วงที่ต้องย้ายเข้ามาอยู่กับคุณอา ประกอบกับเป็นช่วงที่ผมเข้าสู่วัยรุนเริ่มมีเพื่อฝูง เยอะซึ่งด้วยนิสัยของผมที่เป็นคนเฮไหน เฮนั่น รักเพื่อนมาก เมื่อเพื่อนมีเรื่องก็เข้าไปช่วยเพื่อด้วยทำให้ถูกฝ่ายปกครอบบันทึกประวัติเสียไว้
จากการถูกบันทึกประวัตินี้เองที่มาส่งผลต่ออนาคตด้านการเรียนของผมให้ต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะในการคัดเลือกนักเรียนโควตาเข้าเรียนต่อในระดับชัน ม.ศ.4 ที่โรงเรียนนั้นจะดูทั้งผลการเรียนและประวัตินิสัยของนักเรียนที่จะได้โควตา แม้ว่าผลจะมีเกรดเฉลี่ยการเรียนที่ดีคือ มีเกรดเฉลี่ย 2.8-3.00 แต่ก็ไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อ และแม้ว่าผมจะสอบเข้าเรียนในภาคปกติได้ แต่ด้วยความที่มีประวัติเกเร ก็ไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าศึกษาต่อ ม.ศ.ที่โรงเรียนเดิม
ช่วงนั้นเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะไปเรียนต่อที่ไหน ..ในที่สุดจึงตัดสินใจไปสอบเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรสงขลา ซึ่งผลการสอบออกมาก็สามารถสอบเข้าเรียนต่อได้ แต่ต้องมาตกม้าตายตอนสอบสัมภาษณ์ ทำให้ในปีนั้นผมตัดสินใจไม่เรียนต่อ แต่โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่รู้จักกับครูใหญ่ที่โรงเรียนประจำอำเภอรัตภูมิ จึงไปฝากเรียนต่อที่ในโรงเรียนประจำอำเภอ แต่เรียนได้เพียง1ปีก็ตัดสินใจลาออกมาสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคยะลา ผมใช้เวลาเรียนที่นั่น1เทอม ขณะนั้นมีความสุขมาแต่ด้วยความที่คุณอาต้องการให้ย้ายไปอยู่ด้วยและให้ไปสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ จึงตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อที่ อ.หาดใหญ่ จนจบการศึกษาระดับ ปวส.
จุดเปลี่ยนอีกครั้งในชีวิตคือช่วงที่เรียนจบ ปวส.แล้วต้องการเรียนต่อแต่สายที่ผมเรียนมาจะต้องต่อในระดับปริญญาตรีคณะวิศวกรรม ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก ในขณะที่พี่ๆ น้องๆ เองก็ต้องเรียนต่อทำให้ผมตัดสินใจไม่เรียนต่อ และเดินทางเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ
“ผมจำได้ดีว่าปี2529 ในวันที่เดินทางมากรุงเทพฯ แม่ให้เงินติดตัวมา1,500 บาท และกำชับว่าต้องบริหารเงินให้ได้เพราะเงินที่ให้มานั้นเป็นเงินทั้งหมดที่แม่มีอยู่ขณะนั้น ผมเดินทางเข้ามาพักอยู่กับเพื่อนที่เรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง ต้องบริหารเงินที่มีอยู่ให้ได้ คือจ่ายค่าห้องเช่า100บาทต่อเดือน ส่วนที่เหลือก็ซื้อผักสดมาทำกับทานร่วมกับเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย”
หลังจากหางานอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ได้งานทำ ซึ่งงานแรกของผมคือรับจ้างเฝ้าสาเข็ม ค่าจ้างวันละ 70บาท โดยนายจ้างจ่ายเป็นรายวันหยุดงานก็ไม่ได้ค่าจ้าง หลังจากทำงานเฝ้าเสาเข็มได้3เดือนก็มีโอกาสทำงานใหม่ ซึ่งในครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของการเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ โดยรับตำแหน่งโฟร์แมนคุมงานก่อสร้างของบริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 1 ปีเต็มที่ทำงานอยู่กับบริษัทเสนาฯ ก็ได้งานใหม่โดยรับตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ประเมินราคา และเจ้าหน้าที่ควบคุมคุณภาพ ที่บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ขณะที่ทำงานอยู่ที่ แลนด์ฯ ก็หาเวลาเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาบริหารงานก่อสร้าง คณะบริหารธุรกิจ หลังจากที่เรียนจบและทำงานอยู่กับบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯได้ 4-5ปี ก็ย้ายงานมารับตำแหน่งผู้จัดการโครงการ ที่บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ทำหน้าที่ดูแลทุกอย่างในโครงการ ทั้งในส่วนของงานก่อสร้าง ผู้รับเหมา ติดต่องานราชการ จากนั้น4-5ปีก็ตัดสินใจ ทำตามความฝันตัวเองคืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจ
หลังจากลาออกจาก ศุภาลัย ก็มาเปิดบริษัท โฮมสแตนดาร์ด ประสบการณ์ทำงานที่ได้รับมาตลอดช่วง10กว่าปีนั้น ต้องยอมรับว่า แลนด์ฯเป็นบริษัทที่ให้ความรู้ระบบการบริหารและทำงาน ในขณะที่ ศุภาลัย ผมถือว่าเป็นเสมือนสถาบัน เป็นครูที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการประหยัด และควบคุมต้นทุน
วันนี้ถือว่าผมเดินทางมาสู่จุดที่หวังได้สำเร็จ เพราะผมเริ่มสร้างชีวิตด้วยมือเปล่า ทุนจดทะเบียนบริษัทครั้งแรก2ล้านบาทก็ได้รับการสนับสนุนจากญาติพี่น้อง จนวันนี้บริษัทผมมีทุนจดทะเบียน10ล้าน และยังเปิดบริษัทลูก “โฮมดีเวลลอปเมนต์” เพิ่มอีก1บริษัท ถามว่าวันนี้ผมประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง ต้องยอมรับว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้ายอมรับเราได้นั้นเป็นจุดแห่งความสำเร็จของผู้ประกอบธุรกิจทุกคนแล้ว
ถึงวันนี้งานจะเยอะแต่ชีวิตการดำเนินชีวิตของผมยังไม่เปลี่ยนผมแบ่งเวลาทำงาน ออกเป็น3ส่วน เวลาทำงานจันทร์ถึงเสาร์ ตามกำหนดเวลาราชการ ผมไม่เอางานกลับไปที่บ้าน หลังเลิกงานผมยังคงสังสรรค์กับเพื่อนๆ เป็นประจำ แต่ผมก็ไม่ลืมดูแลสุขภาพ ส่วนสุดท้ายคือเวลาให้ครอบครัว วันอาทิตย์ คือวันครอบครัว ผมจะพาลูกๆ ภรรยาไปเที่ยวต่างจังหวัดเมื่อมีโอกาส หรือไม่ก็ต้องไปช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า
“สิ่งหนึ่งที่ผมยังจำและยึดถือทำมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานที่กรุงเพทฯ คือไม่ลืมที่จะส่งเงินไปให้คุณพ่อ คุณแม่ที่บ้าน เพราะผมไม่ค่อยมีโอกาสกลับบ้านและไม่ค่อยมีเวลาได้ทำสิ่งดีๆ ให้ท่านเลย สิ่งหนึ่งเราพอจะทำได้คือการตอบแทนท่านด้วยการส่งเงินกลับบ้านซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่ความจริงผมอยากมีเวลาและกลับไปอยู่กับท่านให้มากๆ สิ่งนี้เองที่เชื่อว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามีความก้าวหน้าทางการงานมาโดยตลอด”


กำลังโหลดความคิดเห็น