หลายคนที่มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปที่ โรงแรมมิราเคิล ตรงแยกหลักสี่ คงจะเคยเห็นหญิงสาวร่างสูงหุ่นนางแบบ ใบหน้าสวยเก๋ตามแบบฉบับสาวมั่นที่เปรี้ยวจี๊ดแถมกรีดอายไลเนอร์คมกริบ ขับกับผมยาวพลิ้วสลวย เดินไปมาในโรงแรมอย่างผู้ชำนาญทุกซอกทุกมุม หรือบางคราก็เดินเสิร์ฟเมนูสุดหรูให้กับแขกที่มารับประทานมื้อพิเศษที่โรงแรมอย่างคล่องแคล่ว
สาวสวยที่ว่ากลับมิใช่พนักงานคนใหม่ของโรงแรม แต่เธอคือ “เพอร์รี่-ลักษมีกานต์ อิงคะกุล” สาวน้อยวัย 21 ปี ลูกสาวของ อัศวิน อิงคะกุล เจ้าของโรงแรมในเครือมิราเคิลกรุ๊ป กับ นวลฉวี พงศ์ศิริพัฒน์ ที่คราครั้งนี้ได้เปิด เลานจ์ 141 อันแสนอบอุ่นและหรูหราของโรงแรม ให้ M-Lite สัมภาษณ์ถึงตัวตนและความคิดของเธออย่างใกล้ชิด
ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายที่ส่องกระทบกับกระจกชั้นที่ 14 ของโรงแรมจึงทำให้เราเห็นแววตาแห่งความเชื่อมั่นที่ซ่อนอยู่ในร่างระหงของสาวหวานอมเปรี้ยวคนนี้อย่างชัดเจน
“ทุกวันนี้เราทราบดีว่า หลายคนรู้จักเพอร์รี่ในฐานะที่เป็นลูกสาวของคุณอัศวิน อิงคะกุล แต่อีกไม่เกิน 5 ปีทุกคนจะต้องรู้จักเราในฐานะ ลักษมีกานต์ อิงคะกุล ไม่ใช่ลูกสาวคุณพ่อ เรารู้ว่าการเดินตามรอยเท้าคุณพ่อมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเดินตามรอยให้สำเร็จเหมือนกับที่คุณพ่อสร้างไว้ แต่เพอร์รี่ก็จะทำให้ได้ เพราะคุณพ่อเปรียบเสมือนครูที่เราต้องเรียนรู้จากท่านตลอดชีวิต” หญิงสาวเริ่มบทสนทนาด้วยแววตาเป็นประกายสดใสแต่แฝงไปด้วยความเชื่อมั่น
ด้วยความที่เธอเปรียบคุณพ่อเป็นเสมือนตำราเล่มใหญ่ที่เรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันจบ ฉะนั้น หลังจากที่เธอจบไฮสกูลจากประเทศออสเตรเลียแล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจเลือกศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาตรีทางด้าน Hotel & Resort Management และ Business Administration ที่ Swiss Hotel Management School เมือง Moatreax ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อมาสานต่อกิจการของครอบครัวและถักทอความฝันของตัวเองให้เป็นจริงขึ้นมา
เพราะความตั้งใจที่มีอยู่เป็นทุนเดิมที่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาหน้าที่ของคุณพ่อและพี่ชาย (อนัคพร อิงคะกุล) เพอร์รี่จึงทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะมีเที่ยวเตร่สนุกสนานตามประสาเด็กวัยรุ่นบ้างก็ตาม หากแต่ความมุ่งมั่นในใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม เธอจึงใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเศษก็สำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีทั้ง 2 ใบแถมพ่วงท้ายด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ทั้ง 2 ใบ กลับมาให้คุณพ่อได้เชยชม
เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก คุณพ่อจึงให้เข้ามารับตำแหน่ง Executive Management Trainee เพื่อให้เรียนรู้เรื่องงานโรงแรมอย่างเป็นจริงเป็นจัง และล่าสุดเธอเองก็ยังได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อให้มานั่งแท่นเป็นผู้บริหารแบรนด์ โทนี แอนด์ กาย แอท สุวรรณภูมิ อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ทั้งยังพ่วงท้ายด้วยการเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ไปในตัวอีกด้วย
“หน้าที่ของเพอร์รี่ในเวลานี้คือ ต้องมาเรียนรู้งานของโรงแรมทุกอย่างตั้งแต่งานบริหารจนถึงการให้บริการ และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การเข้าไปดูแล โทนี่ แอนด์ กาย ที่สุวรรณภูมิ เพราะคุณพ่ออยากจะให้ทุกคนรู้จัก ร้านโทนี่ แอนด์ กาย มากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เดินพลัดหลงเข้าไปใช้บริการเท่านั้น แต่อยากให้คนทั่วไปได้ใช้บริการจริง คุณพ่อก็เลยไว้วางใจให้เพอร์รี่เข้าไปทำ เพราะท่านคงเห็นว่าลูกสาวเป็นคนแต่งตัวเก่งและคงจะทำให้ โทนี่ แอนด์ กาย ธุรกิจแฟรนไชส์ที่ท่านซื้อมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป” เพอร์รี่กล่าว
ในสายตาของคนทั่วไปมักจะมองว่าเพอร์รี่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารแม้ว่าอายุยังน้อยได้นั้น เพราะบารมีของคุณพ่อที่เป็นเจ้าของโรงแรม ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันในการทำงานของเธออยู่ไม่น้อย
“คนทั่วไปมักชอบคิดว่าคุณหนูมาทำงาน และหลายคนก็จะมองว่าชีวิตเราง่ายเรียนจบจากเมืองนอกมีธุรกิจที่คุณพ่อสร้างไว้ให้ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย คุณพ่อมักจะปลูกฝังลูกๆ ทุกคนเสมอว่า เราต้องทำงานนะ ไม่เช่นนั้นเงินที่เก็บสะสมไว้ก็อาจจะมีวันหมดได้ ถ้าเรายังนั่งงอมืองอเท้า ตอนแรกที่เข้าไปทำงานที่ โทนี่ แอนด์ กาย ก็มีคนสบประมาทว่าเราจะทำได้หรือไม่”
เส้นทางชีวิตของทุกคนมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพอร์รี่บอกว่าวันแรกที่เดินทางเข้าไปบริหารงานที่ โทนี่ แอนด์ กาย ถือว่าเป็นวันที่กดดันสุดๆ ยิ่งกว่าสอบไฟนอลเสียอีก !! เพราะเธอจะต้องทำให้ทุกคนยอมรับในความสามารถของตัวเองมากกว่ายอมรับในความเป็นลูกสาวของ อัศวิน อิงคะกุล
“วันแรกที่เข้าไปทำงานที่ โทนี่ แอนด์ กาย สิ่งแรกที่เพอร์รี่ทำก่อนคือการบอกทุกคนว่า เราไม่ได้เข้ามาที่นี่เพื่อมาเป็นเจ้านายของทุกคน แต่อยากให้ทุกคนช่วยแนะนำงานให้มากกว่า จากนั้นเราจึงเข้าไปคุยคอนเซ็ปต์โดยรวมกับสำนักงานใหญ่ของโทนี่แอนด์ กาย ว่างานมีขอบเขตอย่างไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้ศึกษาและนำมาปรับใช้กับร้านของเราเอง”
หากแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวในวัย 21 ปี ได้เรียนรู้ถึงเรื่องการบริหารงานอย่างถ่องแท้ก็คือ อำนาจของเงินไม่สามารถซื้ออะไรได้ทุกสิ่งอย่าง มีเพียงแค่น้ำใจเท่านั้นที่สามารถทำให้คนรักและเคารพด้วยใจจริง
“การทำงานในช่วง 2 เดือนแรกเหนื่อยมาก เพราะต้องเข้าไปเรียนรู้งาน และต้องดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในร้าน เรียกว่าถ้าวันไหนที่พนักงานมาแจ้งว่าไดร์เป่าผมพัง เราก็ต้องไปเดินหาซื้อเอง หรือแม้กระทั่งลูกอมที่มีไว้ให้ลูกค้าเราก็ยังจะต้องไปหาซื้อมาเอง และสิ่งใดที่พนักงานขาดเราจะต้องเป็นฝ่ายจัดหามาให้เขาอย่างเต็มที่ เพื่อให้เขารู้สึกว่าเราใส่ใจในทุกปัญหาของพวกเขา”
เพอร์รี่เล่าเพิ่มเติมว่า มีบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ทำให้เธอรู้สึกท้อ แต่การที่เธอได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อทุกวัน ก็ทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง
“มีหลายกระแสที่ทำให้เรารู้สึกน้อยใจ หรือบางครั้งเราอายุเพียงแค่นี้ก็อยากจะเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นบ้าง ก็ยังทำไม่ได้ เพราะทุกวันของเราคือการทำงาน ถ้าเราอยากเที่ยวเอาไว้ให้เราโตกว่านี้แล้วค่อยเที่ยวก็ได้ แต่วันนี้ควรจะเรียนรู้และรับผิดชอบหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เพราะความสุขของเพอร์รี่คือการได้เห็นรอยยิ้มของคุณพ่อทุกวัน”
เพอร์รี่ หญิงสาววัย 21 คนนี้ น่าจะเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องเริ่มจากการเรียนรู้และจริงจังกับการทำงาน ชีวิตจึงจะมีคุณค่า