xs
xsm
sm
md
lg

นัดเดตกับหนุ่มหล่อทายาทโรงแรมโฟร์วิงส์ "ศุภชัย จิระพจชพร"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>> มีนัดกับ "กึ้ย-ศุภชัย จิระพจชพร" ชายหนุ่มครบสูตร ที่มีทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ พร้อมสรรพอย่างนี้ จะให้พูดคุยกันถึงแต่เรื่องงาน ก็คงขัดใจสาวๆ ทั้งหลาย วันนี้เราเลยหันมาโฟกัสถึงไลฟสไตล์ในแบบชายหนุ่มกันดีกว่า ว่าเขามีมุมมองเรื่องความรัก ทัศนคติเรื่องความสัมพันธ์ และมีสเป็กสาว เป็นเช่นไรบ้าง

ปัจจุบันความจำเริญกำลังมุ่งหน้าสู่มหานครกรุงเทพฝั่งทิศตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่และโครงการหมู่บ้านนับจำนวนไม่ถ้วนผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ท่ามกลางการคมนาคมที่โยงใยเครือข่ายถึงกันเพียงช่วงระยะเวลาอันสั้น ทำให้วันนี้เราต้องเดินทางมายังโรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ เพื่อพบกับนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัว “กึ้ย-ศุภชัย จิระพจชพร” ชายหนุ่มที่อาจดูนิ่งเงียบในช่วงแรก แต่เมื่อได้คุ้นเคยกับเขาแล้ว จะสัมผัสได้ว่าเขายียวนไม่เบา! ส่วนเขาจะเป็นใครมาจากไหนนั้นคงต้องไปติดตามกัน!

:: ประสบการณ์หลายอย่างไม่มีอยู่ในตำรา

การที่เขาเลือกเดินอยู่บนเส้นทางงานบริการ ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาอยู่ในช่วงวัยเด็ก ที่ทุกๆ ปีจะต้องไปร่วมงานวันเกิดคุณปู่ (คุณวิเชียร จิระพจพร) ผู้เป็นคนก่อตั้งโฟร์วิงส์ กรุ๊ป ทำให้เขาได้สัมผัสบรรยากาศของโรงแรมมาโดยตลอด

“ผมวิ่งเล่นอยู่ในโรงแรมมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับธุรกิจของคุณพ่อและคุณปู่ เวลาไปโรงแรมแล้วได้เข้าไปนั่งโต๊ะ กินข้าว หรือกินขนม ผมจะรู้สึกมีความสุข จนรู้สึกว่าอยากจะทำธุรกิจที่ทำให้คนอื่นมีความสุขอย่างนี้บ้าง ทั้งๆ ที่แว่บหนึ่งเคยฝันอยากเป็นนักกอล์ฟ เพราะผมตีกอลฟ์มาตั้งแต่ 10 ขวบ พอมีว่างก็ไปตีกอล์ฟเป็นประจำ ขนาดเวลาเรียนหนังสือยังไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย จนพ่อบอกว่าลูกควรจะอ่านหนังสือบ้าง แต่พอโตขึ้นก็รู้สึกว่ากอล์ฟอาจไม่เหมาะกับผม เพราะผมต้องมาดูแลธุรกิจโรงแรมนี้ ซึ่งธุรกิจก็ยังไม่หยุดอยู่เท่านี้เพราะต้องมีการพัฒนาต่อไป

ตอนนี้ผมกำลังเตรียมสร้างคอมมูนิตี้มอลล์ แถวศรีนครินทร์อีก ซึ่งเราเป็นนักลงทุนจึงต้องดูความเหมาะสม ดูแนวโน้มต่างๆ ด้วย ที่เราวางไว้คือจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และมีที่แฮงก์เอาต์บ้าง แต่อาจจะเป็นโครงการหลังจากที่โรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ เปิดครบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว”

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี คณะมนุษยศาสตร์ สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว เกียรตินิยมอันดับ 2 จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาก็เดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ Les Roches School of Hotel Management ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เขาก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารหนุ่มของโรงแรมเดอะแกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ โดยตำแหน่งของเขาคือ EAM (Execlutive Assitant Manager) ผู้บริหารงานเป็นลำดับที่ 3 ของโรงแรม รองจาก “คุณดิลก โปษยานนท์” ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม และ “คุณสิทธิศักดิ์” (อา) ที่เป็นเอ็มดี

“ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานทั้งที่เคยทำที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี และที่บริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่มาก่อน แต่ที่ได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ผมกำลังทำอยู่ ที่มีค่อนข้างเยอะทั้งทับทิมแมนชั่น สุขุมวิท 39, โฟร์วิงส์ แมนชั่น สุขุมวิท 3, โรงแรมโฟร์วิงส์ สุขุมวิท 26และโรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ ที่ผมเข้ามาดูเต็มตัว

สำหรับตำแหน่ง EAM เน้นดูภาพรวมครอบคลุมทุกสิ่งอย่างในโรงแรม ผมว่าตำแหน่งนี้ได้เรียนรู้มากที่สุด เพราะได้สัมผัสกับทุกแผนก ในขณะเดียวกันผมก็เรียนรู้จากคุณอาที่เป็นเอ็มดีอีกด้วย เพราะบางเรื่องก็ไม่มีอยู่ในตำรา ฉะนั้น ผมจึงรู้สึกว่าตำแหน่งนี้มีค่ามาก”

:: ทั้งงานและเรื่องส่วนตัว ชีวิตนี้ไม่มีขาด!

ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวสำหรับหนุ่มวัยเพียง 26 ปีที่ต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารโรงแรมในเครือมากมายนั้น ซึ่งเขามองว่าชีวิตไม่ขาด! เพราะถึงแม้จะทำงานหนักอย่างไร ในเรื่องการพักผ่อนและการใช้ชีวิตแบบผู้ชายก็ไม่บกพร่อง

“ผมทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่เวลาทำงานจะมี ซึ่งบางทีก็อาจจะมากกว่าเวลางานด้วยซ้ำ เช่นถ้ามีจัดเลี้ยงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือตอนเย็นผมก็ต้องทำ เหนื่อยนะแต่มีความสุขเพราะได้ทำงานที่ได้เรียนรู้ตลอดเวลา แต่ผมก็ยังมีชีวิตส่วนตัวบ้าง ออกไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเปิดหูเปิดตา หรือออกไปพบเจอผู้คนและเพื่อนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

หลัง 6 โมงเย็นถ้าไม่มีอะไรก็จะไปไดร์ฟกอล์ฟ หรือตีแบด เที่ยวกลางคืนก็มีบ้าง เพราะเพื่อนบางคนก็ยังเที่ยวอยู่ เราก็ไปตามความเหมาะสม บางทีเราทำงานทั้งวันก็รู้สึกเหนื่อย เพราะต้องเดิน ต้องยืนอยู่ทั้งวันแล้ว ไปอยู่ในผับก็ต้องยืนอีกเกรงว่าจะไม่ไหว หรือถ้าไปก็จะกลับไม่เกินเที่ยงคืน ผมว่าการผ่อนคลายจริงๆ ของผมคือการนั่งคุยกันตามประสาเพื่อน ดื่มไวน์หรือไปออกกำลังกาย ไปสปาบ้าง

ตอนนี้ผมว่าผมใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ชีวิตได้เรียนรู้อะไรเยอะกว่าคนอื่น ได้เรียนรู้ในส่วนที่คนอื่นยากที่จะเรียนรู้ เมื่อผมมีโอกาสตรงนี้จึงต้องตักตวง เวลาไม่รู้อะไรก็จะปรึกษาคุณอาสิทธิศักดิ์ ฉะนั้น ผมรู้สึกว่าทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวผมว่าไม่ขาดอย่างแน่นอน”

:: ชีวิตคนขับแท็กซี่เฉียดตาย

จากชีวิตคุณหนู ไม่เคยต้องลำบาก ไม่ต้องทำงานบ้าน ใช้ชีวิตอยู่กับแสงสีของมหานครกรุงเทพ แต่เมื่อต้องไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการโรงแรมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝันของใครหลายคนที่เต็มไปด้วยทัศนียภาพอันงดงามจึงต้องมีการปรับตัวบ้าง

“ช่วงที่ไปเรียนต่อที่สวิสได้ประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ เพราะต้องไปใช้ชีวิตเอง สวิสเป็นประเทศที่สงบมาก ถ้าเป็นคนขี้เหงาคงจะใช้ชีวิตอยู่ลำบาก แต่ผมไม่เหงา เพราะว่าเรียนหนักมาก มีโปรเจ็กต์ต้องทำส่งทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ แถมมีกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอีกด้วย ความที่เป็นโรงเรียนนานาชาติจึงได้เรียนรู้คนแต่ละชาติว่าเขามีความคิดแตกต่างกันอย่างไร สไตล์การทำงานดีหรือไม่ ซึ่งการได้ทำงานกับคนหลากหลายความคิดหลากหลายเชื้อชาติทำให้ผมรู้ว่าจะต้องดีลกับคนแต่ละชาติอย่างไร”

การหารายได้พิเศษกับชีวิตนักเรียนนอกดูจะเป็นของคู่กัน สำหรับหนุ่มกึ้ยที่ไม่เคยลำบากมาก่อน จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขาเหมือนกัน และเมื่อได้ลองทำดูแล้วเขากลับรู้สึกว่าเป็นงานที่สนุกและให้ประสบการณ์เฉียดตาย!

“ต้องเล่าก่อนว่ามหาวิทยาลัยที่ไปเรียนนั้นอยู่บนเขา การที่จะซื้อของกินขึ้นมาบนหอวันสุดสัปดาห์ก็ลำบาก เพราะต้องลงไปซื้อของข้างล่างแล้วก็ต้องยกขึ้นกระเช้ามา ซึ่งผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ชินกับความลำบาก (หัวเราะ) จึงเอาเงินเก็บที่มีไปซื้อรถมาหนึ่งคัน ตอนนั้นเพื่อนรักผมมาก เวลาจะไปซื้อของกินก็ขับรถลงไปซื้อของ บางทีก็แอบขับรถไปเที่ยวผับบนเขา แต่พอนานๆ ไปก็เริ่มรู้สึกเบื่อ แถมรถที่ซื้อมาก็แพงจึงมองหาวิธีเอาเงินด้วยการหันไปขับแท็กซี่แทน! เพราะว่าช่วงวันศุกร์-เสาร์เพื่อนๆ จะโทรศัพท์มาให้เราขับรถไปส่งที่ผับบนเขา พอเลิกก็ไปรับลงมา รายได้ดีมาก แต่ก็อันตรายเหมือนกัน

เคยมีเหตุการณ์ช่วงที่ผมขับแท็กซี่นี่แหละ ตอนนั้นหิมะตกถนนเป็นน้ำแข็งลื่นมาก ผมก็ขับรถรับ-ส่งเพื่อนตามปกติ แต่พอดีวันนั้นลูกค้าเยอะมากโทรศัพท์ตามกันจ้าละหวั่น แล้วผมขับรถด้วยเกียร์ N ลงมาจากเขา แล้วมาเจอรถคันที่อยู่ข้างหน้าขับช้า ด้วยความที่ผมรีบก็เลยแซงออกขวา แล้วก็ต้องหักกลับเข้าซ้าย แต่บังเอิญว่าข้างหน้าเป็นทางโค้งพอดี ผมจึงพยายามเหยียบเบรกจนล้อหยุดแล้ว แต่รถไม่หยุดเพราะว่ามันลื่น! พอรู้ว่ารถไม่หยุดแน่นอนก็พยายามหักพวงมาลัยสุดๆ ให้ล้อครูดไปกับถนน ซึ่งโชคดีมากที่รถหยุดก่อนถึงทางโค้งพอดี ไม่งั้นคงตกภูเขาไปแล้ว และโชคดีอีกที่ไม่มีรถสวนขึ้นมา เพราะตอนนั้นรถเสียหลักจอดขวางอยู่ 2 เลน รถคันที่ผมแซงมาคงสะใจ (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่ขับรถประมาทอีกแล้ว”

:: จุดสนใจของผมอยู่ที่ต้นขากับผิว

สำหรับความเป็นผู้บริหารที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ อาจจะดูขัดเขินหากต้องมานั่งพูดถึงสัญชาตญาณของความเป็นผู้ชายที่พร้อมจะเป็นนักล่าเมื่อเห็นเพศตรงข้าม เพราะขืนพูดมากไปอาจเหมือนผู้ชายบ้ากาม! แต่จะว่าไปของแบบนี้ก็เป็นเรื่องปุถุชนธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องมีทั้งเรื่องรัก โลภ โกรธ หลงทั้งนั้น ในที่สุดเขาก็ยอมเผยถึงสัญชาตญาณของความเป็นชายที่ออกมาจากรูขุมขนเมื่อเจอผู้หญิงให้เราฟัง

“สเปกผู้หญิงอันดับแรก ผมมองขาและรูปร่างก่อนเลย พูดไปจะหาว่าบ้ากาม ผมชอบมองผู้หญิงที่มีทรวดทรง เรียกว่าหน้าตาเป็นเรื่องรอง ส่วนที่ดึงดูดที่สุดคือขากับผิว ผมชอบผู้หญิงที่มีผิวเนียน ไม่จำเป็นว่าต้องขาวแต่ขอให้เนียน เห็นแล้วดึงดูดอยากเข้าไปพูดคุยด้วย เอาแบบดูมีเสน่ห์ ไม่ปฏิเสธนะเพราะว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก อันนี้อาจไม่ได้พูดถึงคนที่อยากจะให้เป็นแม่ของลูก เราพูดถึงในมุมมองผู้ชายที่มีความรู้สึกเมื่อเห็นผู้หญิงเท่านั้น

ส่วนนิสัยขอเป็นผู้หญิงที่เข้ากับที่บ้านเราได้และมีจิตใจดี อยู่ด้วยแล้วโลกสดใส มีความสุข สามารถให้คำปรึกษาผมได้ ชอบผู้หญิงที่ยิ้มสวย น่ารัก สรุปโดยรวมถ้าเลือกได้ขอแบบ “หุ่นเหมือนเมย์-พิชญนาฎ เสียงเหมือนพลอย-เฌอมาลย์ ยิ้มเหมือนกิฟซี่-เกิร์ลลิเบอร์รี” (หัวเราะ) ลองคิดดูถ้าได้แบบนี้สุดยอดเลย! แล้วก็ต้องดูด้วยว่าคุยกันรู้เรื่องหรือไม่ เพราะถ้าต่อให้ยิ้มหวานแค่ไหน สวยขนาดไหน แต่ทะเลาะกันทุกวันก็คงไปด้วยกันไม่รอด”

:: ถ้าโสดก็มีสิทธิ์เลือก

หากในช่วงที่ไม่มีแฟนก็ไม่ผิดนักที่จะคบกับผู้หญิงหลายคน เพราะไม่ว่าเป็นใครก็ต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ยิ่งหากเป็นหนุ่มหล่อ โปรไฟล์ดี ฐานะไม่น้อยด้วยแล้วหล่ะก็ ยังไงก็เลือกได้อยู่แล้ว!

“ผมว่าถ้าโสดทำอะไรก็ไม่ผิด ผมคุยได้กับทุกคนที่เข้ามา คุยแบบไม่ได้ให้ความหวังนะครับ แต่คุยเป็นเพื่อนกันมากกว่า ผมไม่เคยเรียกผู้หญิงว่า “กิ๊ก” ผมคุยกับทุกคนเป็นเพื่อน ตอนนั้นเราอาจยังไม่อยากมีแฟน แต่เมื่ออยากจะมีแฟน ก็รู้สึกว่าต้องเริ่มจริงจัง มองหาคนที่จะจริงจัง แต่บางครั้งก็หาไม่เจอ

สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะจริงจังกับใครคือ ถ้าคุยกับใครแล้วรู้สึกดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ จากเครียดๆ มาอยู่ด้วยแล้วไม่เครียดได้ และรู้สึกว่าเขาแคร์และห่วงใยเรา แค่นี้ก็พอใจแล้ว เคยคบผู้หญิงบางคนงอแง เราทำงานมาเหนื่อยๆ ต้องมาเจอแบบนี้อีก ยิ่งเหนื่อยไปกันใหญ่ ผมว่าสุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้เลือกคนที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ขอเลือกอยู่กับคนที่มีเสน่ห์ น่ารัก ไม่ยึดติดกับวัตถุ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจดีจะดีกว่า

แต่หากเป็นพวกความสัมพันธ์ประเภท One Night Stand ที่เมืองไทยผมว่ายากนะ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศน่าจะโอเค.กว่า จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมา ส่วนใหญ่ผมคบผู้หญิงผมไม่ได้หวังอะไรในตัวเขามากมาย แต่เวลาคบใครแล้วกลับหวังว่าจะคบเธอให้นานๆ...

เวลาไปผับเคยมีผู้หญิงมาจีบก่อนเหมือนกัน เข้ามาคุยแนะนำตัว ถามเราว่าวันนี้เอารถมาหรือเปล่า ขับรถไปส่งที่คอนโดหน่อยซิ!? มาจู่โจมเสนอตัวขนาดนี้ ผมว่าดูง่ายและน่ากลัวเกินไป!? แล้วสุดท้ายผมก็ไม่ยุ่งกับเธอ เพราะบางครั้งเวลาไปเที่ยวผมอยากสนุกกับเพื่อนมากกว่า ไม่ได้คิดไปหาความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวแบบนั้น”

จากที่พูดคุยมาเหมือนว่าจะเป็นผู้ชายที่พราวเสน่ห์ไม่เบา แต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่พร้อมจะ “หยุด” เมื่อเจอคนที่ใช่!

“ผมไม่เจ้าชู้นะ แต่ถ้าไม่มีแฟนก็มองไปเรื่อยๆ ยอมรับว่าถึงตอนนี้จะมีแฟนแล้ว แต่ก็มีบางครั้งที่แอบมองผู้หญิงสวยๆ ซึ่งมันเป็นสัณชาตญาณดิบของผู้ชายอยู่แล้ว (หัวเราะ) แต่ผมแค่มองแล้วก็จบ ไม่ได้ว่ามองแล้วเข้าไปจีบ อย่างเช่น บางคนเดินมาน่ารักจังเลย หุ่นดี แค่นั้น!! แต่ไม่ใช่ว่า อุ๊ย! น่ารักกว่าแฟนเราอีกเลิกดีกว่า อันนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเลวไปหน่อย เพราะคนเรามีสิ่งดีและไม่ดีบาลานซ์กัน

นิสัยผู้หญิงที่ผมไม่ชอบคือผู้หญิงที่ไม่มีเหตุผล ทำอะไรไปตามอารมณ์ เช่น ผู้หญิงจะหงุดหงิดเวลามีประจำเดือน บางทีก็จะเผลอมาหงุดหงิดใส่แฟน บางทีขอให้มีเหตุผลในการวีนมาซับพอร์ตนิดหนึ่งจะดีกว่า หรือถ้าบอกกันตรงๆ ว่า ตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี ผมก็จะไปอยู่กับเพื่อน ให้เขาอารมณ์ดีขึ้นค่อยมาคุยกันต่อ ขอให้บอกกันก่อน เพราะผู้ชายไม่เคยมีเมนส์ก็คงไม่เข้าใจหรอก(หัวเราะ)”

เป็นการกล่าวทิ้งท้ายแบบแอบตัดพ้อน้อยๆ ตามประสาชายหนุ่ม ที่ดูจะเป็นข้อสนับสนุนของคำพูดที่ว่า ไม่ว่าโลกจะหมุนไปขนาดไหน แต่จิตใจหญิงสาวก็ยังเป็นปริศนาชิ้นใหญ่ที่หนุ่มๆ ทั้งหลายได้ขบคิดกันมาทุกยุคทุกสมัย เฉกเช่นเดียวกับที่หนุ่มกึ้ยต้องเผชิญนี้ :: Text by FLASH mag.

นายแบบ :: ศุภชัย จิระพจชพร
แต่งหน้า :: ณัฐวัฒน์ มีศรี จากเครื่องสำอางค์ Jean Paul Gautier โทรศัพท์ 0-2719-9515
สถานที่ :: โรงแรมเดอะแกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น ศรีนครินทร์ โทรศัพท์ 0-2378-8080 http://www.grandfourwings.com
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ


 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น