แก้วที่บรรจุเครื่องดื่มพรายฟองสีสวยถูกหมุนเวียนมารอบโต๊ะ เบียร์ในขวดพร่องไปกว่าครึ่ง ขณะที่เริ่มดึกก็ดูเหมือนดีกรีอ่อนๆ ของแป้งหมักยีสต์จะไม่พอเพียงเสียแล้ว เหล้าขวดใหม่จึงถูกเปิดเพิ่มขึ้น แน่นอนดูจากปริมาณดีกรีบนใบหน้านักดื่มแต่ละคนแล้ว คืนนี้มันคงไม่ใช่ขวดแรก และขวดสุดท้าย...
หากชายหนุ่มบางคนเลือกที่จะนั่งนิ่ง ออกรสไปกับบทสนทนาและการพูดคุยมากกว่า เมื่อถูกถาม เขาเพียงบอกสั้นๆ แต่ก็ทำให้คนถามไม่กล้าเซ้าซี้ คะยั้นคะยอให้ดื่มด้วยกันอีก
“เข้าพรรษา ผมไม่ดื่ม”
ผ่านคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เคลื่อนคล้อยมาถึงครึ่งรอบวงโคจรของดวงจันทร์ ขณะที่มีข่าวว่าเครือข่ายองค์กรต้านเหล้า 264 องค์กร เดินทางไปที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านไม่ให้นำ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จริยธรรมและระบอบทุนนิยมกำลังขับเคี่ยวกันอย่างถึงพริกถึงขิงในโลกภายนอก แต่ ณ ที่แห่งหนึ่ง สนามประลองเล็กๆ ที่ขนาดย่อมกว่านั้นกลับดำเนินอยู่มาตลอด นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 8 จนเพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อเร็วๆ นี้
ภายในหัวใจของนักดื่มทั้งเก่าและใหม่ ที่กำลังวัดใจตัวเองว่าจะต่อสู้จนผ่านพ้นระยะเวลากว่าร่วม 3 เดือนนี้ไปได้หรือไม่
พิมพ์เขียวกับชีวิตคนเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ ในเขตอำเภอเมือง ประกอบไปด้วย 85 ชุมชน และวัดอีกประมาณกว่า 80 วัด ซึ่งในโครงการหล่อเทียนหลอมใจ ไร้แอลกอฮอล์ ได้ร่วมมือกับชุมชนนำร่อง 21 ชุมชน ร่วมทำกิจกรรมลด ละ เลิกเหล้า ในช่วงเข้าพรรษา
ทั้งนี้ในอดีตชุมชนเมืองเชียงใหม่ เป็นชุมชนของเจ้าขุนมูลนาย มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นจากจำนวนวัดที่อยู่ในเขตเมืองที่มีมากถึง 80 กว่าแห่ง หรือแม้แต่ชื่อของหมู่บ้านยังตั้งขึ้นตามชื่อของวัด
แต่เมื่อการพัฒนาของส่วนกลางที่เป็นระบอบพิมพ์เขียวทั่วประเทศ ทำให้ลักษณะวิถีชีวิตที่ผูกพันเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเริ่มลดน้อยถอยลง เพราะด้วยลักษณะทางสังคมที่เปลี่ยนไปตามกระแสของการพัฒนาที่มุ่งเน้นสร้างแต่มูลค่าของวัตถุ สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นเริ่มเปราะบางลงและขาดลงไปในที่สุด กิจกรรมที่เคยร่วมกันแต่เก่าก่อนก็กลับกลายเป็นต่างคนต่างทำ
ด้วยเหตุนี้เมืองเชียงใหม่จึงเป็นเมืองที่มีสิ่งแวดล้อมเช่น สถานศึกษา ศูนย์การค้า และแหล่งบันเทิงต่างๆเป็นเมืองที่ทันสมัย ทำให้ลักษณะการทำงาน การเรียน การเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้พฤติกรรมการกินอยู่เปลี่ยนไป เช่น จากเมื่อก่อนกินข้าวกับครอบครัว เปลี่ยนเป็นออกไปกินเหล้ากับเพื่อนร่วมงาน วัยรุ่นเยาวชน เมื่อก่อนที่ต้องกลับบ้านช่วยพ่อแม่ทำงาน ก็เปลี่ยนเป็นออกมากินเหล้ากับเพื่อนฝูง ซึ่งจุดนี้ทำให้เมืองเชียงใหม่จึงเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากผู้ที่ดื่มเหล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โครงการสื่อพื้นบ้านเพื่อการลด ละเลิกเหล้า (สพล.) ภายใต้มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (มรภ.) โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถือกำเนิดขึ้น เพื่อส่งเสริมขบวนการขับเคลื่อนทางสังคมสำหรับการลด ละ เลิกเหล้า ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยภาคีในโครงการจะเป็นนักวิชาการ พระ นักพัฒนา ศิลปินและครู ที่สนใจในการนำแนวคิดเรื่องการใช้สื่อพื้นบ้านเป็นสื่อหรือเครื่องมือ เพื่อรณรงค์ให้มีการลด ละ เลิกเหล้าในพื้นที่
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค : ข้าวก้นบาตร
พระณรงค์ฤทธิ์ ขตฺติโย (ตุ๊เอ๋) พระนักพัฒนาจากวัดศรีสุพรรณ ในชุมชนเขตเทศบาลเชียงใหม่ได้ริเริ่มโครงการเพื่อสร้างสุขให้กับคนในชุมชนโดยการลดละเลิกเหล้า เนื่องจากท่านใช้หลักอริยสัจสี่มองเห็นว่า ทุกข์ของคนในชุมชนคือ ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ, ทางด้านสังคมครอบครัวมีความรุนแรง ทั้งทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์, เด็กเยาวชนติดเกมส์ขาดการเชื่อฟังพ่อแม่ ตลอดจนการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนในชุมชนหายไป บทบาทของวัดและพระสงฆ์ลดลงคงเหลือแต่หน้าที่งานพิธีกรรม เช่น งานศพ เป็นต้น
เมื่อพิจาณาสาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) พบว่ามีหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นมีสาเหตุมาจากการดื่มเหล้า จึงนำไปสู่การวางเป้าหมายเพื่อดับทุกข์ และลงมือปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ (นิโรธและมรรค)
จากที่ตุ๊เอ๋วิเคราะห์ชุมชนแล้วท่านได้เริ่มพูดคุยกับคนในชุมชนเพื่อหาแกนนำมาร่วมกันคิดที่จะหาทางดับทุกข์โดยการเลิกเหล้า เริ่มต้นจากในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาโดยการลงพื้นที่ไปพูดคุยกับชาวบ้าน แต่เมื่อท่านเริ่มทำงานก็พบปัญหาการต่อต้านจากคนในชุมชน ชาวบ้านบางคนบอกว่า "มันไม่ใช่เรื่องของพระนะที่มาทำงานแบบนี้”
ตุ๊เอ๋จึงถามกลับว่า “ทุกวันนี้พระฉันข้าวหรือเปล่า? แล้วพระได้ข้าวมาจากไหน ข้าวพระได้มาจากการที่ชาวบ้านใส่บาตรให้พระ นั่นคือถ้าไม่มีชาวบ้านพระก็อยู่ไม่ได้พระอยู่ได้เพราะมีชาวบ้านใส่บาตรให้ ทุกวันนี้พระเห็นคนในชุมชนมีทุกข์ พระจึงอยากมีส่วนร่วมช่วยชาวบ้านแก้ทุกข์ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ชาวบ้านเริ่มเข้าใจการทำงานของตุ๊เอ๋มากขึ้น โดยท่านมีกิจกรรมที่หลากหลายในช่วงแรกเน้นการทำงานทางความคิดเพื่อหาแนวร่วม จากนั้นให้แนวร่วมมาร่วมกันคิดกิจกรรมเพื่อค่อยๆแก้ไขปัญหา เช่น การลดละเลิกเหล้าช่วงเข้าพรรษา กลุ่มออมทรัพย์เงินจากเหล้า ขอความร่วมมือร้านค้างดขายเหล้าในช่วงวันสำคัญ และสร้างเครือข่ายกับวัดอื่นๆ
“บอกขี้ตง” สัจจะออมทรัพย์เลิกเหล้า
ชุมชนรอบๆ วัดศรีสุพรรณซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเขินนั้น ทำให้ชุมชนแห่งนี้กลายเป็นชุมชนช่างพื้นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ พระณรงค์ฤทธิ์เล่าว่า จากการให้เยาวชนลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าคนในชุมชนที่ติดเหล้านั้นต้องเสียเงินไปกับค่าเหล้าเฉลี่ยแล้วคนละ 100 บาท ต่อคนต่อวัน ทำให้ท่านเกิดแนวคิดทำโครงการสัจจะออมทรัพย์ขึ้น โดยใช้บอกขี้ตง หรือกระบอกออมสินไม้ไผ่ ซึ่งพระณรงค์ฤทธิ์ใช้เป็นสื่อให้ร่วมกันลดเหล้าและหันมาออมเงิน
โดยกระบอกไม้ไผ่นั้น ไม่ใช่ออมสินธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นเสาเรือนของชาวบ้านในชุมชนที่โดยทั่วไปมักใช้ไม้ไผ่มาทำเสาบ้านเป็นกระต๊อบ การนำเงินที่จะไปเสียเป็นค่าเหล้ามาหยอดบอกขี้ตงดังกล่าวทุกวัน เมื่อถึงเวลาปลูกเรือนใหม่ ก็จะรื้อถอนกระต๊อบเดิมและนำเงินที่อยู่ในเสาไม้ไผ่นั้นมาปลูกสร้างบ้านใหม่ต่อไป นับเป็นการรู้จักเก็บออมอย่างชาญฉลาดโดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านวิธีหนึ่ง
“ปกติชาวบ้านที่ติดเหล้าจะมีฐานะยากจน ไม่ค่อยเก็บออมเงินเพราะไปลงกับขวดเหล้าหมด ช่วงเวลาเข้าพรรษาเป็นโอกาสทองที่จะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ รื้อฟื้นประเพณีให้คนในชุมชนหันหน้าเข้าวัดมากขึ้น” พระณรงค์ฤทธิ์กล่าว โดยในอดีตนั้น วัดใกล้เคียงในชุมชนจะมีลักษณะเป็นวัดพี่วัดน้อง เมื่อมีงานประเพณีทางศาสนาใดๆ ชาวบ้านก็จะมาร่วมมือร่วมใจ แต่ปัจจุบันสังคมในชุมชนเริ่มมีการแยกตัวออกไป การไปมาหาสู่เริ่มลดลง เป้าหมายของพระณรงค์ฤทธิ์คือ ต้องการให้ร้านขายเหล้า คนกินเหล้า และวัดร่วมมือกัน โดยจัดกิจกรรม “ธรรมะสัญจร” เวียนไปทุกวัดในชุมชน
“เราขอความร่วมมือกับร้านขายเหล้าในชุมชนว่าไม่ให้ขายเหล้าในวันพระ จากนั้นจึงคุยกับคนที่กินเหล้าให้เขียนใบปาวารณา ไม่ใช่เลิกเลยทันทีเพราะเป็นเรื่องยาก คนที่ดื่มจัดๆ มีเหล้าอยู่ในกระแสเลือด ถ้าคนไหนดื่มจัดจะไม่ดุด่าว่ากล่าวเขา แต่จะใช้จิตวิทยาให้เขาค่อยๆ ลดเหล้าวันละ 20-30 เพื่อนำไปสู่การออม”
คนกินเหล้า เหล้ากินคน
สวัสดิ์ มูลเทพ หรือลุงปึ้ง อายุ 54 ปี เป็นสล่า หรือช่างตอกลายเงินที่มีรายได้เฉลี่ยวันละประมาณ 300-500 บาท ลุงปึ้งเริ่มกินเหล้าครั้งแรกอายุประมาณ 18 ปี เริ่มจากเหล้าขาว 1 ก๊ง (3บาท) โดยเพื่อนชวนหลังเลิกงานเพื่อนบอกแก้เมื่อย จากนั้นการกินเหล้าได้เพิ่มปริมาณการกินขึ้นเรื่อยๆ เป็นวันละประมาณ 200 บาท ลุงปึ้งเป็นตัวอย่างบุคคลที่น้ำเมามามีอิทธิพลอยู่เหนือชีวิต เพราะหลังจากนั้นรายได้เกือบทั้งหมดที่หามานั้น แทบจะลงไปในขวดเหล้าและซองบุหรี่ทั้งหมด หากนับช่วงเวลาที่กินเหล้ามาประมาณ 30 ปี รวมเป็นเงินที่ลุงปึ้งต้องจ่ายค่าเหล้าและค่าบุหรี่ไปถึงประมาณสองล้านบาท!!
ด้านภรรยาของลุงปึ้งซึ่งมีอาชีพรับจ้างทั่วไปเพื่อช่วยสามีหาเงินจุนเจือครอบครัว เย็นมาต้องกลับมาบ้านเพื่อทำอาหารให้สามีและลูก นางเล่าว่าทุกครั้งที่กลับถึงบ้านจะลุงปึ้งเมามาและจะต้องให้เมียออกไปซื้อเหล้ามาให้กินอีก บางครั้งตนเอ่ยปากบอกสามีว่าไม่มีเงินแล้วแต่สามีก็ตวาดกลับบอกว่า“ตังฮาๆ เซาะคนเดียว มึงบ่าต้องมาปากฮื้อฮา มึงหยังบ่าไปซื้อเหล้ามา”
เมียของลุงปึ้งบอกว่าคำนี้มันเจ็บปวดเข้าไปถึงในหัวใจ เคยคิดน้อยใจและจะเลิกกันหลายครั้งแต่นึกถึงลูก ในช่วงที่ผ่านมามีครั้งหนึ่งลูกชายของลุงปึ้งขณะนั้นกำลังจะเรียนชั้น ม.2 ขอเงินพ่อจะไปโรงเรียน เช้าวันนั้นพ่อยังเมาไม่สร่างเมาและไม่มีเงินจึงตวาดใส่ลูกชายว่า”ฮาบ่ามี ฮายะก๋านนัก บ่ามีเงินกะบ่าต้องไปเฮียนหนังสือ” (กูทำงานหนัก กูเหนื่อย ไม่มีเงินก็ไม่ต้องไปเรียน)
ลูกชายลุงปึ้งบอกว่าวันนั้นตนเองก็คิดน้อยใจเหมือนกัน ว่าทำไมพ่อพูดกับเขาแบบนี้ ทั้งที่หากเป็นเงินกินเหล้าแล้วพ่อมีไม่อั้น จากหัวหน้าครอบครัวที่เคยเป็นหลัก หาเลี้ยงลูกเมียด้วยฝีมือเชิงช่างติดตัวที่ร่ำเรียนมาจากบรรพบุรุษ ช่วงเวลานั้น พรสวรรค์ในการตอกลายเครื่องเงินของลุงปึ้งกลับถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์บดบังจนแทบไม่เป็นอันทำงาน
มือของคนเป็นช่างต้องนิ่ง ไม่สั่นไหวเวลาถือลิ่มหรือสิ่วในการตอกสลักลวดลาย สายตาต้องแจ่มชัด ไม่ฝ้าด้วยฤทธิ์สุราที่ยังเหลือค้างซ่านเป็นเส้นเลือดในดวงตาแดงก่ำ แต่ ณ ห้วงเวลานั้น เหล้าได้ครอบงำเหนือชีวิตจิตใจของสล่าสูงวัยผู้นี้อย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
บรรเจิด รัตนมลิกุล หรือลุงใหญ่ ช่างซ่อมรถยนต์วัย 60 ปี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยอมรับว่า เหล้าได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือชีวิตเขาในอดีต นับตั้งแต่เริ่มดื่มเหล้าครั้งแรกตอนอายุ 26 ปี ซึ่งเป็นเหล้าเถื่อน 2 แก้ว ที่กินฟรีโดยถูกเพื่อนชวน นับจากนั้นลุงใหญ่ก็กินเหล้ามาเรื่อยๆ ทุกวัน
"คอเริ่มแข็งกินน้อยไม่เมา” ลุงใหญ่บอก แต่เมื่อค่อยๆ ติด ปริมาณก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยต้องเสียค่าเหล้าเป็นเงินวันละ 70 บาท จากวันที่ลุงใหญ่เริ่มกินเหล้าครั้งแรกนับจนถึงวันที่ลุงใหญ่เลิกกินเหล้ารวมประมาณ 30 ปีรวมเป็นเงินที่ต้องจ่ายค่าเหล้าประมาณเจ็ดแสนบาท จากรายได้เป็นเงินเดือนเพียงเดือนละ 6,000 บาท และมีลูกสาวหนึ่งคนกับภรรยาซึ่งทอดทิ้งไปให้ดูแล
ลุงใหญ่เล่าว่าตอนที่เขากำลังติดเหล้าอย่างหนัก ช่วงนั้นลูกสาวกำลังเรียนชั้นปวช. ครูเรียกผู้ปกครองไปพบเพื่อจ่ายค่าเทอม ลุงใหญ่ไม่มีเงินต้องเอารถจักรยานยนต์ไปขายเพื่อเป็นค่าเทอมลูก แต่สุดท้ายเพราะความที่นำเงินไปเป็นค่าเหล้าเกือบหมด ลูกสาวของลุงใหญ่ก็ต้องออกจากโรงเรียน ไม่ได้เรียนต่อ
ขวัญตา รัตนมลิกุล ลูกสาวลุงใหญ่กล่าวว่า ตอนนั้นเธอเสียใจที่ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมาทำงานเลยโดยไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่รู้ว่าโชคชะตาข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ต้องระหกระเหินไป ตอนนั้นรู้สึกโกรธพ่อเหมือนกัน เพราะตอนที่พ่อไม่กินเหล้าก็ดี แต่พอกินเหล้าแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคน ขวัญตาบอกว่า เวลาที่เห็นพ่อกินเหล้า ไม่ว่าลุงใหญ่จะพูดอะไรก็ไม่รู้สึกเชื่อถือศรัทธา แต่ก่อนถึงขนาดเคยคิดว่าเวลาเลิกเรียนไม่อยากกลับบ้าน เพราะไม่อยากกลับไปเห็นพ่อกินเหล้า ถ้าพ่อกับแม่ทะเลาะกันก็จะร้องไห้ทุกครั้ง ส่วนมากอาทิตย์ละประมาณ 4 วัน ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่อยากให้พ่อเป็นแบบนี้อีก ทำไมต้องเลิกงานแล้วกินเหล้าทั้งที่ไม่มีเงิน บางครั้งเพื่อนมาเที่ยวบ้านก็รู้สึกอายเพื่อน ก็เลยไม่ค่อยได้พูดกับพ่อ
ศักดิ์ศรี หน้าตา และเหล้า
ลุงปึ้งและลุงใหญ่บอกว่าในการกินเหล้ามีสิ่งที่เหมือนกันคือ เริ่มจากเหล้าที่มีราคาถูกที่สุดจากเหล้ากลั่น เหล้าเถื่อน เหล้าขาว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหล้าสี เหล้าที่มียี่ห้อแพงขึ้นเรื่อยๆ และต้องกินเต็มที่ กินให้เมา เพราะเริ่มกินกับคนหมู่มาก ถ้าหากกินเหล้าราคาถูกเดี๋ยวคนจะมองว่าเป็นคนจน ไม่มีศักดิ์ศรี คนที่กินเหล้าส่วนมากจึงยอมทุ่มเพื่อศักดิ์ศรีของตนเองไม่ได้คิดเรื่องผลกระทบที่ตามมา เช่น เป็นหนี้ หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ
หลังจากที่ลุงทั้งสองเริ่มเลิกเหล้าแล้วได้มองย้อนกลับไปในวันที่ผ่านมาพบว่าการกินเหล้าสีมียี่ห้อ และกินให้เมานั้นไม่ใช่เป็นการสร้างศักดิ์ศรีและหน้าตาเลย เพราะเมื่อเราเมาแล้วไม่มีใครมองว่าเราเป็นคนดี แม้แต่ลูกเมียที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันยังไม่ให้เกียรติ สิ่งที่จะสร้างศักดิ์ศรีและหน้าตานั้นคือการสร้างประโยชน์ให้กับคนในชุมชนต่างหาก
จุดหักเหหนึ่งที่ทำให้ลุงใหญ่เลิกเหล้าได้คือ ลูกๆ และครอบครัวที่เกือบแตกสลายไปเพราะเหล้า ปัจจุบันทั้งลุงใหญ่และลุงปึ้งเลิกเหล้าได้ก็มีเวลาดูแลครอบครัวมากขึ้น คนในครอบครัวกินข้าวร่วมกัน มีเวลาพูดคุยปรึกษาหารือกัน ลุงทั้งสองมีเวลาเลี้ยงหลานและช่วยทำงานบ้าน
ดังคำยืนยันของลูกสาวลุงใหญ่ที่บอกว่า ปัจจุบันพ่อของเธอเปลี่ยนเป็นคนละคน จากที่แทบไม่เคยพูดกันเลย ก็หันมาพูดกันมากขึ้น มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากัน อีกทั้งสุขภาพกายและใจลุงใหญ่ก็ดีขึ้น จากคนที่ไม่มีใครเชื่อถือ ก็กลายเป็นหนึ่งในแกนนำรณรงค์เลิกเหล้าในชุมชน
วันนี้ลูกสาวของลุงใหญ่รู้สึกภูมิใจที่พ่อกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่น กลับมาเป็นพ่อที่ดีและตาที่ดีของหลาน ณ ตอนนี้ลุงใหญ่มีหน้าตาทางสังคมมากขึ้น เวลาพูดก็จะมีคนเชื่อฟัง มีคนเคารพนับถือมากขึ้นที่สามารถเลิกเหล้าเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นได้
ลุงใหญ่กล่าวว่า หากย้อนเวลาไปได้ก็อยากจะขอโทษที่ทำให้ลูกเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่กินเหล้าเมายาลูกคงได้เรียนสูงกว่านี้ จึงรู้สึกเสียใจ ตอนนี้ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาของลูกได้ เลยพยายามมีความรับผิดชอบมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเหลือชี้แนะ หาทางออกให้คนที่ติดเหล้าคนอื่นๆ ในชุมชน โดยเฉพาะใช้แนวทางศีล 5 ตอนนี้เมื่อเลิกเหล้าได้เด็ดขาดแล้วก็รู้สึกเป็นเกียรติ หันมาเข้าวัดช่วยงานพระแทน เพราะลุงใหญ่บอกว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเลิกเหล้าได้ก็เพราะได้รับคำสอนจากพระ
“สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลิกเหล้าได้ เพราะตอนเช้าเวลาตามพระไปบิณฑบาต แรกๆ ตุ๊เจ้าก็บอกว่า เหม็นเหล้านะโยมนะ ยั้งๆ เหล้าหน่อยเน้อ ตอนหลังเวลาไปฟังเทศน์ฟังธรรมคนอื่นๆ ก็บ่นว่าเหม็นกลิ่นสาบเหล้าจากไหน ผมเลยนึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนอื่นเขาเหม็นสาบเหล้า ก็เลยค่อยๆ ลดมาเรื่อย ผมลดมาตั้งแต่ปี 2546 ตอนนี้ก็ได้ครอบครัวกลับมาแล้ว”
สำหรับลุงใหญ่แล้ว การเลิกเหล้าได้ถือเป็นอานิสงส์อย่างหนึ่ง โดยใช้วิธีแบบ “บันไดสามขั้น” คือ ค่อยๆ ลด ละ เลิก ไม่หักโหม “อยากให้คนที่ยังดื่มอยู่ใช้บันได 3 ขั้น คือ ลด ละ เลิก อย่างน้อยค่อยๆ ลด ละก่อน การเลิกอาจต้องใช้เวลาบ้าง เพราะคนเราดื่มเหล้ามานาน เดิมเคยกินวันละสองก๊ง อาจจะเหลือหนึ่งก๊ง พอทำได้แล้วบางช่วงอาจจะละ พอทำใจได้แล้วค่อยเลิก หากเลิกได้แล้วครอบครัวจะมีความสุข เศรษฐกิจดี ที่สำคัญคือสุขภาพ สิ่งเหล่านี้เห็นได้ชัดมาก”
ในจำนวนผู้ที่ติดเหล้าในชุมชนเกือบ 40 คนนั้น มีอยู่เพียง 4-5 คนเท่านั้นที่ตั้งใจจะเลิกเหล้าตลอดช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน ซึ่งลุงใหญ่มองว่าอย่างน้อยนับเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“ในชุมชนของเราอดีตมีสิ่งยั่วยวนมาก ไม่ว่าจะบาร์ ผับ หรือเทศกาลงานบุญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกฐิน ผ้าป่า หรืองานถวายสลากภัตรที่เคยมีการเลี้ยงเหล้าฉลองในงาน แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกจะเบาบางลง เพราะรัฐบาลมี พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สามารถดื่มเหล้าในวัดได้แล้ว ถ้าหากเจ้าอาวาสวัดไหนปล่อยปละอนุญาตให้มีการดื่มเหล้าในวัด ทางคณะสงฆ์ซึ่งมี พรบ.ของสงฆ์สามารถถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสได้”
ลุงใหญ่บอกอีกว่า ทุกวันนี้เงินเดือนแค่ 3,000 กว่าบาท กลับมีเงินเหลือเก็บ ประมาณพันกว่าบาทและยังไม่เป็นหนี้ มีรถมอเตอร์ขี่ รถยนต์อีก 1 คัน จากเมื่อก่อนเดือน 6,000 กลับไม่มีเงินเก็บเลยแถมยังเป็นหนี้
“ในศีลทั้งหมด 5 ข้อ ศีลข้อ 5 คือสุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา ถ้ารับศีลข้อนี้ไม่ได้ อีกสี่ข้อก็ไม่สามารถจะรับได้แล้ว เพราะจะขาดสติ หากคนเราขาดศีลข้อนี้เพียงข้อเดียว ศีลข้ออื่นก็ไม่มีความหมาย” ลุงใหญ่ทิ้งท้าย