ณ ศาลาสิงหเสนี วัดศรีประวัติในเย็นวันที่ 8 ตุลาคมเต็มไปด้วยความโศกเศร้า มันเป็นความเศร้าที่เงียบงัน... ไม่มีเสียงร่ำไห้ให้ได้ยิน นอกเหนือจากเสียงปี่พาทย์บรรเลงแว่วมาจากศาลาใกล้เคียงที่ประกอบพิธีฌาปนกิจศพเป็นวัดสุดท้าย ขณะที่สังขารหนึ่งกำลังจะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี แต่อีกร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวผู้หนึ่งเพิ่งถูกนำมาส่งที่วัดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ผ่านมา
ช่วงเวลาเดียวกันเมื่อวานนี้ หญิงสาวที่นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพสีทองตรงหน้า กำลังเดินทางออกจากบ้านพร้อมกับแม่และน้องสาว โดยมีผู้เป็นพ่อของเธอขับรถมาส่งบริเวณใกล้ๆ คลองผดุงกรุงเกษม ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล โดยเธอและครอบครัวไม่มีโอกาสรู้เลยว่า นั่นจะเป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย
ใครเล่าจะนึกว่า หญิงสาวผู้มีอุดมการณ์ มีความใฝ่ฝัน และมีคนรักที่พร้อมจะสร้างอนาคตร่วมกัน จะจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 28 ปี เพราะความโหดร้ายของผู้ที่ใช้อำนาจรัฐ ซึ่งยัดเยียดข้อหากบฏก่อความวุ่นวายให้กับประชาชนบริสุทธิ์ที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องด้วยมือเปล่า แต่กลับถูกตอบแทนด้วยกระสุน ระเบิด หยาดเลือด และคราบน้ำตา
..
แม้กำหนดสวดอภิธรรมคืนวันแรกจะเริ่มพิธีตอนเกือบหนึ่งทุ่ม แต่รถยนต์หลากหลายประเภทก็มุ่งหน้าจากถนนใหญ่หลั่งไหลเข้ามาสู่ซอยศรีประวัติไม่ขาดสาย จนทำให้รถติดตั้งแต่บริเวณช่วงปากซอยไปจนถึงเกือบท้ายซอย เป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรต้องมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ แทบทุกคันมีจุดหมายอยู่ที่วัดเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลในย่านชานเมือง แต่วันนี้คนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงต่างพร้อมใจกันเดินทางมาร่วมเคารพศพ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักวิชาการ สื่อมวลชน นักธุรกิจ พ่อค้า ไปจนถึงประชาชนคนธรรมดาต่างก็ทยอยมาร่วมเคารพศพหญิงสาวผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่คนนี้
โบว์ - อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ดอกไม้ประชาธิปไตยกลีบแรกที่ร่วงหล่นลงสู่ผืนดินก่อนวัยอันควร
“ผมคงไม่เรียกร้องให้รัฐบาลมารับผิดชอบ เพราะคงไม่ได้ประโยชน์อะไร และรัฐบาลทำอะไรอยู่ ก็ควรรู้อยู่แก่ใจ ตอนนี้อย่าเพิ่งถามเรื่องกำลังใจเลย เพราะขณะนี้อาการของนางวิชชุดา (ภรรยาซึ่งบาดเจ็บเช่นกัน รักษาตัวอยู่ที่ รพ. ศิริราช ) แม้ว่าจะดีขึ้น แต่ก็ยังบาดเจ็บที่ขา” จินดา ระดับปัญญาวุฒิ พ่อผู้เพิ่งเสียลูกสาวไปกล่าวทั้งน้ำตา และเขายังกล่าวอีกว่าขณะนี้ประเทศชาติเป็นแบบนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวตนนั้น ลูกสาวของตนก็ไม่ได้ไปบุกรุกที่ไหน ไปมือเปล่า และไปเดินขบวนประท้วง ซึ่งถือว่าประชาชนมีสิทธิ เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทำได้ เพราะหากประชาชนเดินประท้วงไม่ได้ จะถือว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
ผู้เป็นพ่อบอกว่าปกติลูกสาวมีนิสัยร่าเริง ขยันขันแข็งช่วยงานที่บ้าน และมักจะไปชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ เป็นประจำตั้งแต่ปี 2549 โดยไปทั้งครอบครัวบ้าง หรือน้องโบว์ ไปกับแฟนบ้าง ในวันเกิดเหตุตนส่งลูกและภรรยา เวลา 18.00 น. และบอกให้ลูกกลับมาอาบน้ำก่อนแต่ลูกไม่ยอมกลับ ซึ่งขณะเกิดเหตุตนไม่คิดว่าจะมีอะไรแล้ว คิดว่า น้องโบว์ออกมาเดินอยู่กับแม่ ขณะที่ นางวิชชุดา เองก็ไม่คิดว่าลูกจะเป็นอะไรมาก ไม่คิดว่าจะว่าเสียชีวิต เพราะระหว่างนั้นถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลคนละที่ และในที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยแก๊สน้ำตา มองอะไรไม่เห็น ซึ่งหลังจากนี้อีกระยะหนึ่งตนจะกลับไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ ส่วนลูกๆ หากจะร่วมชุมนุมต่อตนก็ไม่ห้าม
“ผมฝากถามรัฐบาลว่า หากเป็นแก๊สน้ำตาไม่ใช่ระเบิด ลูกสาวและภรรยาผมจะถูกสะเก็ดระเบิดได้อย่างไร เพราะเพื่อนลูกหลายคนก็ถูกสะเก็ดระเบิดด้วยเช่นกัน”
ขณะที่ผู้เป็นอาของอังคณาเล่าว่า ในวันเกิดเหตุอังคณาหรือน้องโบว์ได้เดินทางไปเยี่ยมย่าที่บ้านพักในย่านคลองถม โดยบอกว่าจะไปชุมนุมร่วมกับพันธมิตรพร้อมแม่และน้องสาวที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นก็ได้มีข่าวออกมาว่าเกิดการปะทะกันขึ้นและมีผู้บาดเจ็บ ทางญาติๆ ได้เป็นห่วงและพยายามตามหาโดยการโทรเช็คข่าวจากโรงพยาบาลหลายแห่ง จนกระทั่งพบว่าน้องโบว์เสียชีวิตแล้วอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี
“ตอนแรกญาติๆ ก็เป็นห่วงพอรู้ว่าพวกเขาจะไปร่วมชุมนุม เพราะสถานการณ์ยังชุลมุนสับสนอยู่มาก พอได้ยินข่าวทางโทรทัศน์ น้องชายกับดิฉันที่เป็นอาของน้องโบว์ก็ช่วยกันโทรเช็กรายชื่อผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ เพราะติดต่อน้องโบว์ไม่ได้ ทางพี่ชายก็ได้รับโทรศัพท์จากน้องนุ่น น้องสาวของน้องโบว์ซึ่งโทรมาร้องไห้บอกว่าเกิดระเบิดและน้องโบว์บาดเจ็บ จากนั้นสายก็ตัดไป เบอร์มือถือของน้องโบว์ก็ไม่มีใครรับสาย จนกระทั่งมีบุรุษพยาบาลเค้าได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกางเกงน้องโบว์มารับ เขาถามว่าเป็นอะไรกับเจ้าของโทรศัพท์ พอน้องชายบอกว่าเป็นอา ทางนั้นก็แจ้งว่าหลานของเราเสียชีวิตแล้ว บรรยายลักษณะทุกอย่างมาตรงกับน้องโบว์หมดเลย”
อาของน้องโบว์เล่าว่า หลังทราบข่าวว่าน้องโบว์เสียชีวิตแล้ว อาม่าของน้องโบว์ซึ่งอายุ 75 ปีโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก เพราะน้องโบว์เป็นหลานสาวคนแรกของครอบครัว ตนเองก็ได้แต่พยายามปลอบคุณแม่ว่าหลานไปสบายแล้ว ไม่เจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว
โดยน้องโบว์นั้นได้ช่วยครอบครัวทำกิจการที่บ้านซึ่งเป็นธุรกิจขายยางประเก็นอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลกลางอย่างขยันขันแข็ง และมีคนรักที่ทำธุรกิจร้านค้าอยู่ใกล้เคียงกัน โดยทั้งคู่คบกันมาหลายปีแล้วและวางแผนว่าจะแต่งงานกันในอนาคต แต่น้องโบว์ก็ต้องมาจบชีวิตลงเสียก่อน
ทางด้านแฟนหนุ่มของน้องโบว์นั้นมีอาการเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก เพราะทำใจไม่ได้กับการสูญเสียแฟนสาวไปอย่างกะทันหัน ร้องไห้เสียใจจนนัยน์ตาบวมแดง เช่นเดียวกันกับญาติสนิทและเพื่อนๆ ของน้องโบว์ที่ต่างรู้สึกช็อคกับการเสียชีวิตไปในครั้งนี้ เพราะการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามของตำรวจ
หลายคนบอกว่า การจากไปของเธอไม่สูญเปล่า เหมือนประกายไฟที่แม้จะดูเล็กน้อยในสายตามือระเบิดและผู้ที่ถือกระบอกปืน หากเปลวไฟดวงเล็กๆ นั้นกลับไม่มอดดับลงไปพร้อมชีวิต และมีแต่จะเจิดจ้าสว่างไสวในหัวใจของเพื่อนร่วมอุดมการณ์สืบเนื่องต่อไป
“เรามีความรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันยิ่งใหญ่ การมาร่วมงานศพครั้งนี้อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้ครอบครัวของเขาว่า สิ่งที่ลูกของเขาทำถูกต้องแล้ว และเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว” พันธมิตรผู้หนึ่งที่มาร่วมงานศพกล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้า
ระหว่างที่ศพของน้องโบว์ยังตั้งอยู่ที่ ร.พ.รามาธิบดี ได้มีผู้ไปมอบเงินช่วยเหลือให้กับนายจินดา ผู้เป็นพ่อ ซึ่งนายจินดาขอขอบคุณทุกคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ และขอมอบเงินเหล่านั้นบริจาคให้กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้รับการติดต่อจาก นางสาวอัญชลี ไพรีรัก ทั้งการช่วยเหลือประสานงาน และติดต่อเรื่องโรงพยาบาลมาโดยตลอด อีกทั้งแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนก็พร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพในพิธีศพน้องโบว์ แต่ตนขอปฏิเสธ เพราะเรื่องนี้ไม่จำเป็น และไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน สามารถจัดการได้ทั้งหมด แต่ขณะนี้ประเทศชาติยังอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติและไม่รู้จะดีขึ้นเมื่อไหร่จึงขอให้พันธมิตรฯ สู้ต่อไป
“ผมไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว ลูกก็ไปแล้ว เขาได้ทำเพื่อชาติ และพระมหากษัตริย์ ได้ไปสวรรค์แล้ว ไม่รู้สึกกลัวเพราะลูกก็ไปแล้ว” พ่อผู้สูญเสียบอกถึงความรู้สึกเป็นครั้งสุดท้าย
แม้ว่าความตายจะเป็นธรรมดาของโลก แต่การจากไปของวีรสตรีผู้กล้าอย่างอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ รวดเร็วเกินกว่าที่ใครหลายคนจะตั้งรับ สวรรค์ย่อมรับรู้ว่าเธอไม่ได้จากไปอย่างโดดเดี่ยว แต่เธอจากไปท่ามกลางความชื่นชมของมวลชนมากมาย