xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องของคนรัก (รถ) มินิ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถมินิคลาสสิค
เรื่องของรถยนต์คันเล็กสุดคลาสสิกที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ และมีอายุเก่าแก่คู่ท้องถนนมานานถึงเกือบกว่าครึ่งศตวรรษ ใครจะรู้ว่ารถมินิเป็นที่นิยมในเมืองไทยมานานแล้ว จนถึงขนาดมีการรวมตัวกันก่อตั้งเป็นชมรมสำหรับคนรักรถมินิขึ้นโดยเฉพาะ ไม่เพียงแต่ในเมืองไทยเท่านั้น กลุ่มของผู้ชื่นชอบรถมินิในประเทศไทยยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศ ในฐานะกลุ่มคนรักรถมินิที่เก่าแก่ที่สุดของโลกกลุ่มหนึ่ง

ปรากฏการณ์ "มินิ"

รถยนต์รูปทรงกะทัดรัด โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่มีอยู่ไม่เพียงไม่กี่พันคันในเมืองไทย ถูกเรียกขานและรู้จักกันในนาม "มินิ" ทั้งรุ่นเก่าแบบที่เรียกว่า "คลาสสิค" และมินิรุ่นใหม่ราคาเหยียบล้านขึ้นไป กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์สไตล์คลาสสิค หันมานิยมเล่นรถมินิกันมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

กระแสความคลั่งไคล้รถมินิ มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นแต่มีมานานแล้ว สิ่งที่ทำให้ "มินิ" ดังเป็นพลุแตกอีกครั้งเมื่อค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง "พาราเมาท์" นำรถ "มินิ" มาเป็นตัวเอกในภาพยนตร์ที่สร้างใหม่จากเรื่องเดียวกันในปี 1968 ชื่อว่า "อิตาเลี่ยนจ๊อบ" โดยที่เนื้อหาภายในเรื่องแสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่เกินตัวและความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด

ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เหล่าโจรใช้รถมินิ 3 คัน ปล้นทองและวิ่งขนทองหนีตำรวจ ทั้งลงบันได มุดท่อระบายน้ำ ขึ้นหลังคาตึก แถมยังวิ่งเหาะข้ามตึกหนีตำรวจได้ ทั้งๆ ที่ตำรวจก็ใช้สุดยอดรถสปอร์ตสัญชาติอิตาเลี่ยน "อัลฟ่า โรมิโอ" ก็ไม่อาจไล่กวดมินิทั้ง 3 คันได้ทัน หนังเรื่องนี้ทำให้ทั่วโลกเกิดกระแสคลั่งไคล้รถมินิจนเกิดกระแส "Mini Fever" ทำให้ผู้ชมหลายคนวาดฝันที่จะหารถยนต์มินิมาครอบครองให้ได้

"สิ่งที่ทำให้มินิแตกต่างจากบรรดารถยนต์ตามท้องถนนที่เราเห็นวิ่งกันอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่น่าดึงดูดสายตาคือความน่าประทับใจของรูปทรงที่ดูน่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ" ผจญ ลานเหลือ วิศวกรและนักเขียนผู้ที่ชื่นชอบในรูปทรงคลาสสิคของรถมินิ อธิบายถึงเสน่ห์ที่ทำให้มินิโดดเด่นจากรถชนิดอื่นๆ

ผจญเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประทับใจรถมินิจากภาพยนตร์เรื่องอิตาเลี่ยนจ๊อบมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน เขาได้แต่เก็บความฝันที่จะมีรถมินิไว้ในตอนนั้น ผจญเล่าว่าญาติของเขาซึ่งเป็นพี่สาวของดีไซเนอร์ดัง "ไข่ บูติก" ก็มีรถมินิอยู่คันหนึ่ง ยิ่งทำให้เขาตั้งใจว่าสักวันจะต้องมีรถมินิเป็นของตัวเองให้ได้

จวบจนกระทั่งถึงวัยทำงาน เขาและภรรยาก็ซื้อรถมินิคันแรกจากบริษัทไทยอันติเมทคาร์ ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์แลนด์โรเวอร์ในยุคนั้น พวกเขาตัดสินใจซื้อมินิป้ายแดงเพราะสามารถผ่อนชำระกับสวัสดิการเงินกู้ซื้อพาหนะของบริษัทที่ทำงานอยู่ได้ ซึ่งในยุคนั้นยังมีหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกซื้อรถคันเล็กๆ ราคาเป็นล้านมากกว่าที่จะซื้อรถอเมริกันคันใหญ่ หรือรถยุโรปอื่นๆ

แต่แม้จะเป็นเจ้าของรถมินิสมดังใจแล้ว แต่ผจญก็มักจอดมินิโรเวอร์ของเขาไว้ในโรงรถมากกว่าที่จะนำออกขับไปไหนมาไหน เหตุก็เพราะไม่อยากให้รถสุดรักสุดหวงเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ตั้งแต่ซื้อมาในปี พ. ศ.2538 ถึงปัจจุบันรถมินิของเขายังวิ่งเพียงแค่หมื่นกิโลเมตรเศษๆ เท่านั้น

นอกจากมินิคันนั้นแล้ว ผจญก็ยังมีรถโบราณอยู่อีกคันหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาได้เข้ามาสู่แวดวงชุมชนของคนที่รักรถมินิในเมืองไทย โดยในตอนแรกเขาได้ไปเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนรักรถโบราณในชื่อกลุ่ม "กระดก" ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งมักนัดพบปะกันเสมอในตอนเย็นวันอาทิตย์ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นคืนวันเสาร์ในเวลาต่อมา หนึ่งในกลุ่มผู้ที่รักรถโบราณนั้นก็มีรถมินิรวมอยู่ด้วย

"ก็เป็นยุคแรกเลยที่มีรถมาจอดโชว์กันที่ลานพระรูป พอตอนหลังรถโบราณต่างๆ นานาก็จะมาจอด คือกลายเป็นว่าลานพระรูปยุคนั้นเป็นแหล่งรวมรถโบราณ ซึ่งถือว่าสมัยลานพระรูปนั้นถือว่าเป็นยุคสูงสุดเลยสำหรับมินิ เพราะว่าคนไม่ว่าที่ไหนก็สามารถขับมาเจอกันได้ อย่างต่างจังหวัดสระบุรีหรือฉะเชิงเทราก็คือจะรู้กันโดยอัตโนมัติเลยว่าถ้าว่างเมื่อไหร่จะขับมินิมาเจอกันคืนวันเสาร์ที่ลานพระรูป ก็จะอยู่กันตั้งแต่หัวค่ำจนตีหนึ่งตีสองตีสามแล้วค่อยกลับบ้าน"

ผจญเล่าว่า การรวมตัวของกลุ่มคนรักมินิในประเทศไทยนั้นมีมานานแล้ว ในยุคแรกเริ่มที่มีบุคคลที่มีฐานะและชื่อเสียงในสังคม ก่อนจะกลายเป็นชุมชนคนรักรถมินิที่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนเป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่ม "มินิคลับไทยแลนด์" ที่ผจญเป็นผู้ริเริ่มจัดสร้างเว็บไซต์ให้คนที่รักรถมินิมาพบปะพูดคุยกัน

"กลุ่มมินิคลับไทยแลนด์ เมืองนอกเขาจะรู้จักเราดี ในสมาคมมินิทั่วโลก มินิเราดังมาก คือดังด้วยว่าเก่าแก่"
นอกจากเป็นพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรถมินิแล้ว สมาชิกที่นี่ยังมักจะนัดกันไปขับรถท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นกลุ่มๆ เป็นประจำทุกปี และมักจะทำการกุศลไปด้วย

"คือคนรักมินิเนี่ย ความสุขนอกจากเอาสมบัติมาอวดมาโชว์กันแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือขับรถเที่ยว เมื่อก่อนมินิที่ป๊อบปูล่าร์ที่สุดคือขับไปที่สวนผึ้ง เพราะที่นั่นจะมีกางเตนท์มีที่พัก พอไปแล้วพวกเราก็คุยกันว่าน่าจะทำอะไรที่เป็นสาธารณประโยชน์บ้าง เริ่มตั้งแต่เอาของเหลือใช้ไปให้โรงเรียนแถบนั้น หรือไปทำบุญที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ คือกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเลยว่าไปไหนก็ต้องมีอะไรไปให้เขา" นอกจากขับรถไปบริจาคสิ่งของในแถบทุรกันดารแล้ว อีกกิจกรรมหนึ่งที่ชาวมินิคลับไทยแลนด์กระทำเสมอๆ ก็คือ การตอบรับไปร่วมงานการกุศลต่างๆ โดยเอารถไปโชว์เพื่อดึงดูดความสนใจและประชาสัมพันธ์งานอีกทางหนึ่ง

people's car กับ "มินิ" โฉมใหม่

นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปลายทศวรรษ 50 มินิก็กลายเป็นรถยอดนิยมของชาวอังกฤษและทั่วโลก ด้วยยอดขายเกินกว่าหนึ่งล้านคันในยุค 60's จนถึงการผลิตคันที่ห้าล้านในปี1986 ล่าสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 มินิทั่วโลกมียอดขายรวมกันมากกว่า 126,000 คัน

จุดเริ่มต้นของรถมินิที่เริ่มจากรถยนต์คันเล็ก ราคาไม่แพง ประหยัดน้ำมัน ทำให้ มินิกลายเป็นพีเพิลคาร์ (people's car) หรือรถที่ประชาชนทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้
"คอนเซปต์มินิมันคือ English poor man's car มันเป็นคอนเซปต์เดียวกับโฟล์คเต่าซึ่งเป็นรถของคนเยอรมัน ทุกคนมีสิทธิซื้อเพราะว่าราคาถูก มินิก็เป็นรถของประชาชนอังกฤษ"

ส่วนทางด้าน "นิวมินิ" หรือรถมินิรุ่นใหม่ที่ออกมาภายหลังจากที่มินิเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป นั้น ผจญมองว่าเป็นพรีเมี่ยมคาร์ ที่วางตำแหน่งเดียวกับรถเบนซ์ในตลาด แต่สิ่งที่ทำให้รถมินิรุ่นใหม่ที่ผลิตโดย BMW มีความแตกต่างจากนิวบีเทิลที่ออกแบบโดยอเมริกันก็คือ การพยายามรักษาเอกลักษณ์ของรถมินิเอาไว้

"ผมว่ามินิแก้เกมตรงนี้ได้ดี เขามีจดหมาย มีแบบสอบถามผู้ที่รักรถมินิคลาสสิคว่า มินิใหม่ควรจะเป็นอย่างไร เขาให้คนที่รักมินิมีส่วนร่วมในการออกแบบ"

รถมินิรุ่นใหม่ เข้ามาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ปี 2002 โดยมินิ ประเทศไทย ได้นำเอาความตื่นเต้นและขี้เล่น ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะของมินิ มาแนะนำให้ชาวไทยได้ลองอะไรใหม่ๆ โดยเฉพาะกับดีไซน์ใหม่ล่าสุดของมินิ ที่มีความเก๋ บวกกับความรู้สึกที่เหมือนกำลังขับรถโกคาร์ท มินิจึงได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากเหล่าเทรนด์เซตเตอร์ในประเทศไทย จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ความนิยมมินิในหมู่คนรุ่นใหม่

ปรีชา นินาทเกียรติกุล ผู้จัดการทั่วไป มินิ ไทยแลนด์ บอกว่า ณ ปัจจุบันตอนนี้มีรถมินิที่วิ่งอยู่บนถนนในเมืองไทยประมาณ 2,000 คัน โดยแบ่งออกเป็นรุ่นมินิคลาสสิคจำนวน 400-500 คัน และนิวมินิหรือรถมินิรุ่นใหม่ 1,500-1,600 คัน ซึ่งกว่า 90% ของรถมินิทั้งหมดจะอยู่ในกรุงเทพฯ

"ผมเชื่อว่า คนที่มีมินิส่วนใหญ่ไม่ใช่มีเป็นคันแรก แต่อาจจะมีมินิเป็นคันที่สองคันที่สาม บางคนก็ซื้อเก็บ บางคนก็ซื้อไว้สำหรับขับเล่นเสาร์อาทิตย์สบายๆ ไปพัทยา หัวหิน หรือไปทองหล่อ สุขุมวิท หรือบางคนจันทร์ถึงศุกร์ก็อาจมีรถประจำตำแหน่งอาจจะเป็น BMW เสาร์อาทิตย์ก็ต้องการไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง ใส่ยีนเสื้อยืดธรรมดา" แต่ด้วยสนนราคาระดับนี้ทำให้นิวมินิถูกมองว่า เป็นรถสำหรับกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อในสังคมมากกว่าคนรักมินิคลาสสิครุ่นเก่า

"อย่างเมืองไทยขายรถมินิ 2 ล้าน เมืองนอกที่อังกฤษขายแค่ล้านเดียว มันเป็นเพราะภาษีนำเข้าที่ทำให้ราคามันสูงถึงเกือบ 200 เปอร์เซ็นต์ พอราคามันสูงมากทำให้กลุ่มหนึ่งที่มีกำลังซื้อค่อนข้างจะจำกัด บางทีก็เป็นกลุ่มคนทำงานมีเงิน หรือพ่อแม่ซื้อมอบเป็นของขวัญให้กับลูก บางทีลูกเอนท์ติด ด้วยตัวฐานภาษีนำเข้าที่ทำให้ราคามันสูงถึงเกือบ 200 เปอร์เซ็นต์ มันทำให้การวาง positioning ของมินิในเมืองไทยค่อนข้างจะแตกต่างกว่ายุโรป เมืองไทยกลุ่มคนที่จะขับมินิ โดยเฉพาะนิวมินิตัวใหม่มันจะต้องเป็นคนที่มีรายได้พอสมควร เพราะตัวเริ่มต้นก็ปาเข้าไปสองล้านแล้ว"

ปรีชากล่าวว่า เท่าที่เขาเจอลูกค้ามา หลายคนที่เลือกซื้อรถมินิคือเพื่อเก็บสะสม เนื่องจากรถชนิดนี้มี Trading Value สูง สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในอนาคตในราคาดี ทำให้ตลาดรถมินิมือสองคึกคักไม่แพ้กับรถคลาสสิคชนิดอื่นๆ ซึ่งทุกวันนี้ทางมินิประเทศไทยมีธุรกิจมือสองชื่อว่า mini next สำหรับรับซื้อรถมินิมือสองโดยเฉพาะ

"รถมินิ มันจะตอบสนองโจทย์หลายๆ อย่าง บางคนก็คือขับสบายแบบชิลๆ ไม่ก็ขับขี่ให้ได้ฟีลลิ่งของการขับขี่ในเมืองแบบสนุก สไตล์น่ารักเพราะโดยทรงของมินิใครๆ ก็ชอบ หรือบางคนโดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นผู้ชายอาจจะชอบเอารถมินิไปแข่ง เราก็จะมีตัวท็อปไลน์ของมันคือ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ สำหรับนักแข่งรถโดยเฉพาะ"

ที่ผ่านมา มินิ ประเทศไทย ได้จัดกิจกรรมตลอดทั้งปีให้กลุ่มคนรักมินิได้มีมาร่วมสนุกกัน และในทุกๆ ปี มินิจะจัดงานใหญ่ประจำปี โดยมีธีมแตกต่างกันออกไป เพื่อตอกย้ำความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของความเป็นมินิและผู้ที่รักรถชนิดนี้ ซึ่งในปีที่แล้วพวกเขาก็ได้รวมกลุ่มกันจัดกิจกรรมเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยนำรถมินิทั้งหมดกว่า 445 คันทั่วประเทศ มาทำลายสถิติโลกด้วยการเรียงเป็นตัวอักษร "Long live The King"

ส่วนในปีนี้ ทาง มินิ ไทยแลนด์ และกลุ่มผู้ที่ขับขี่รถมินิในเมืองไทย จะมารวมตัวกันอีกครั้งในงานมินิ เฟสติวัล 2008 ที่จะจัดขึ้นวันที่ 13 กันยายนในชื่องานว่า "I love Earth" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบอกให้คนที่รักรถมินิทราบว่า รถยนต์ของมินิที่ผลิตขึ้นมาในยุคปัจจุบันได้มีส่วนในการช่วยลดสภาวะโลกร้อน เช่น รถที่ผลิตในปีที่แล้วมีระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงถึง 28% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และยังมีระบบเบรคอัจฉริยะที่สามารถผันพลังงานความร้อนมาใช้ชาร์จแบตเตอรี่ได้ ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากขึ้น รถก็ประหยัดไม่ต้องใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน ซึ่งเรียกคอนเซ็ปต์ของรถมินิรุ่นนี้ว่า "minimalism"

โดยปรีชากล่าวว่ารายได้ทั้งหมดในงานจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิโลกสีเขียว "ภายในงานนี้เราจะเปิดตัวรถมินิโมเสก ที่เราจะมีการตกแต่งรถมินิโมเสกขึ้นมาเป็นคันแรกของเอเชียอีกด้วย" ปรีชาทิ้งท้ายถึงไฮไลท์ที่จะจัดขึ้นในงานรวมพลคนขับรถมินิในเมืองไทยประจำปี

แม้จะผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่รถยนต์คันเล็กรูปทรงกะทัดรัดที่เริ่มต้นจากความเป็นรถของทุกคนในราคาประหยัด จนกลายเป็นรถหรูคลาสสิคราคาแพงในทุกวันนี้ ยังคงเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่เรียกสายตาทุกคู่บนท้องถนนให้เหลียวมองทุกครั้ง ด้วยหัวใจสำคัญของความเป็น "มินิ" ที่เป็นยังคงมัดใจผู้ที่รักรถมินิและหลงใหลในเสน่ห์ของมินิ คือเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจนกลายเป็นตำนานรถคลาสสิคที่ "ขนาด" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ขอบคุณ ข้อมูลและภาพประกอบจาก www.miniclubthailand.com


ประวัติย่อของ MINI

"MINI" แปลความหมายตามศัพท์ภาษาอังกฤษจะหมายถึง เล็ก กะทัดรัด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อรถยนต์อังกฤษสุดคลาสสิก โดดเด่นด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดเหมาะสมกับชื่อเรียก รถยนต์มินิถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษในปลายยุค 50 ซึ่งเป็นยุคที่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ เครื่องยนต์แรงม้าสูงมากๆ เกินความจำเป็น ส่งผลให้มีราคาที่สูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะหาครอบครองเป็นเจ้าของได้

จนกระทั่ง ปี ค.ศ.1956 อียิปต์เข้ายึดคลองสุเอซ (Suez Canal) ซึ่งเป็นแหล่งคมนาคมหลักของการค้าขายน้ำมันในยุคนั้น ส่งผลให้เกิดวิกฤตการน้ำมันในอังกฤษ ยอดขายรถขนาดใหญ่ตกลงมาก บริษัท British Motor Corporation (BMC) จึงว่าจ้าง อเล็ก อิสซิโกนิส (Alec Issigonis) วิศวกรมือฉมัง ผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ที่ได้ปฎิวิติการออกแบบรถยนต์ได้ตรงตามโจทย์ที่ต้องการคือ รถยนต์ 4 ที่นั่ง ประหยัดน้ำมัน

1958 มินิเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามความคิดของอิสซิโกนิส ซึ่งเป็นการกระโดดก้าวผ่านจินตนาการทางด้านวิศวกรรมรถยนต์ในยุคนั้น เช่น การวางชุดเกียร์ไว้ใต้เครื่องยนต์ เครื่องยนต์วางขวางขับเคลื่อนล้อหน้า กระทะล้อขอบ 10 นิ้ว และระบบกันสะเทือนแบบเต้ายางเป็นต้น

1959-1961 มินิเปิดตัวครั้งแรก โดยติดตราทั้ง ออสตินมินิ และ มอริสมินิ ไมเนอร์ เซเว่น ปฏิกิริยาจากสาธารณชนค่อนข้างหลากหลาย เพราะเมื่อเทียบกับรถที่ออกตัวไล่ๆ กันอย่าง ไทรอัมพ์ เฮรัลด์ และฟอร์ด แองเกลีย 105E แล้วมินิค่อนข้างจะเสียเปรียบในด้านการตกแต่ง อย่างไรก็ตาม ขนาดความยาวแค่ 10 ฟุต และที่นั่ง 4 ที่ โดยเฉพาะราคาเพียง 496 ปอนด์ ซึ่งนับว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับรถชนิดดังกล่าวข้างต้นก็ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบอย่างมาก ในเดือนสิงหาคม เป็นการเปิดตัวของ ออสติน เซเว่น (Austin Seven) มอริส มินิ-ไมเนอร์ (Morris MINI-Minor) และมอริส มินิ-ไมเนอร์ ดีแอล ซึ่งเป็นรถเก๋ง 2 ประตู (Morris MINI-Minor DL) กับเครื่องยนตร์ขนาด 848cc และเกียร์ 4 สปีด

มินิปรับโฉมและเปิดตัวอีกหลายรุ่น จนกระทั่งปี 2001 มินิเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป โดยเริ่มด้วยการเปิดตัวของ มินิ วัน (MINI One) และมินิ คูเปอร์ (MINI Cooper) ตามมาด้วย คูเปอร์ เอส (Cooper S) ที่โด่งดังไปทั่วโลก

จวบจนถึงทุกวันนี้ นับเป็นเวลาร่วม 50 ปี ที่มินิแสดงให้เห็นว่า มินิทุกคันได้ตอบสนองความต้องการรถเล็กประหยัดน้ำมันและเนื้อที่ มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ มีความเก๋ไก๋เฉพาะตัว ซึ่งทำให้มินิประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก








รถมินิรุ่นใหม่ หรือ นิวมินิ

อเล็ก อิสซิโกนิส (Alec Issigonis) ผู้ออกแบบมินิ
กำลังโหลดความคิดเห็น