เป็นตัวเป็นตน รวมเป็นคนขึ้นมาได้ จะโตจะตาย ไม่แน่นอน
จะตึงจะตัง ขึงขัง หรือโอนอ่อน แล้วแต่ทำเพื่อใคร
จะดีจะเลว เธอก็ยืนเคียงข้าง จะจำไม่จาง ยังซึ้งใจ
จะเป็นจะตาย ดีร้ายสักเพียงใด ฉันทำได้...เพื่อเธอ
สาบาน ว่าไม่เสียใจ เสียใคร ไม่เท่าเสียเธอ จะยอมให้ใคร
มาทำร้ายเธอ เป็นไปได้ไง แม้ตายก็ต้องยอม (รักเธอประเทศไทย)
แม้จะถูกสร้างสรรค์ขึ้นมานานเกือบร่วม 2 ทศวรรษแต่ดูเหมือนว่าบทเพลง "รักเธอประเทศไทย" ที่ขับร้องโดยร็อกเกอร์ดังในอดีต "หรั่ง ร็อคเคสตร้า" นี้จะยิ่งฟังยิ่งเข้มข้น ยิ่งฟังยิ่งฮึกเหิม ยิ่งฟังยิ่งกระตุ้นเลือดรักชาติให้เดือดปุดๆ ขึ้นมาได้เป็นอย่างดีเอาในปี พ.ศ. 2551 นี้เอง
เฉพาะอย่างยิ่งหากมองไปถึงสิ่งที่นักร้องผู้นี้กำลังกระทำอยู่ในชื่อของโครงการ We love the King We love Thailand
...
"ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีว่ะ..." พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ( 25 ม.ค.2549)
"คนที่ให้ผมออกจากตำแหน่งนายกฯได้มีอยู่คนเดียวเลยครับ ไม่ต้องหลายคนนั่นคือพระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบรับสั่งคำเดียว ทักษิณออกเถอะ รับรองกราบพระบาทออกแน่ครับ" ทักษิณ ชินวัตร (4 ก.พ. 2549)
“เขาอาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ผมทำ แต่สิ่งที่ผมทำ ผมไม่คิดว่าหมิ่นพระเดชานุภาพ” โชติศักดิ์ อ่อนสูง (23 เม.ย.2551) ภายใต้เสื้อรณรงค์แคมเปญ "ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร เห็นต่างไม่ใช่อาชญากรรม” ในวันไปรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หลังจากเจ้าตัวไม่ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อกันยายนปี 2550
22 พ.ค. 2551 ตำรวจนครบาลร่วมกันแถลงข่าวจับกุม น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล อายุ 51 ปี หรือ "ดา ตอร์ปิโด" ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภายหลังกล่าวปราศรัยบนเวทีเสียงประชาชน ท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 18 ก.ค. ต่อเนื่องวันที่ 19 ก.ค. 2551ซึ่งทางสน.ชนะสงคราม ได้มีการบันทึกเทปการปราศรัยไว้ และในวันต่อมาได้ถอดเทปการปราศรัยทั้งหมด เพื่อตรวจสอบ ตั้งแต่นาทีแรกที่พูด
12 มิ.ย.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาพร้อมทนายความ พร้อมด้วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปที่กองปราบปราม เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
15 ส.ค.2551 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐ์ผล ผกก.สน.ชนะสงคราม เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เพื่อรายงานคดีหมิ่นองค์รัชทายาท โดยเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มี นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยก้าวหน้า ขึ้นปราศรัยที่เวทีท้องสนามหลวง ซึ่งในการปราศรัยได้มีบางช่วงกล่าวพาดพิงถึงองค์รัชทายาท เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง
15 ส.ค.2551 ศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับ นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และพิธีกรรายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
20 ส.ค.2551 ศาลอาญากรุงเทพใต้ อนุมัติหมายจับนายชูชีพ ชีวสุทธิ์ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภายหลังกล่าวพาดพิงก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ออกอากาศผ่านทางวิทยุชุมชน และผ่านทางเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต ฯลฯ
เป็นส่วนหนึ่งของข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างจะถี่ในระยะปีถึงสองปีที่ผ่านมาชนิดที่ทำเอาหลายคนต้องตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับความคิดของผู้คนในสังคมบ้านเราที่ล้วนแล้วแต่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด
"ก็ต้องถือว่าเป็นช่วงประจวบเหมาะกันพอดีระหว่างเรื่องต่างๆ คดีต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่..." คำบอกเล่าจาก "หรั่ง ร็อกเคสตร้า" หรือ "ชัชชัย สุขขาวดี" หัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดตั้งโครงการ We love the King We love Thailand
วัตถุประสงค์หลักๆ ของวีเลิฟ เดอะคิง วีเลิฟ ไทยแลนด์ ก็คือการพยายามปลุกและสร้างจิตสำนึกให้คนไทยมีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รวมไปถึงเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามแนวพระราชดำรัส ซึ่งหากมองย้อนกลับไปก็เป็นที่น่าสังเกตว่าอดีตร็อกเกอร์ดังคนนี้ได้ใช้เสียงเพลงพยายามกระตุ้นเตือนในสิ่งที่ว่ามาแล้วหลายต่อหลายเพลง
ส่วนที่มาของโครงการอย่างเป็นรูปธรรมของความคิดก็คือหลังจากที่ในปีพ.ศ.2547 ที่หรั่งออกอัลบั้มพิเศษ “ไกล...กังวล” ร่วมกับวงซิมโฟนี ออเคสตร้า ราชนาวี โดยมีเพื่อนนักดนตรีรับเชิญฝีมือดี ทั้ง โอฬาร พรหมใจ - ดิโอฬารโปรเจ็ค, เศกพล อุ่นสำราญ - โก้ Mr.SAX MAN มาร่วมงานด้วย
"ตอนที่ทำอัลบั้มไกล...กังวลตอนนั้นก็ได้รับพระราชทานเพลงมา 2 เพลง คือ เราสู้ กับความฝันอันสูงสุด จากนั้นมันก็เลยเกิดความคิด ก็เริ่มทำเลย ทำคนเดียวมาโดยตลอด อย่างทางภาคใต้ก็ไปมา ก็ไปตามจังหวัดต่างๆ กระจายออกไป"
"ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการจัดงาน ไปเล่นดนตรี ไปพูด ไปเล่า ไปกระตุ้นเตือน แรกๆ ต้องยอมรับว่าหลายคนไม่เข้าใจว่าทำอะไร ทำไปทำไม คนมาร่วมงานกันเยอะนะแต่ว่ายังไม่เข้าใจอย่างที่ว่า จนหลังจากที่ปีที่แล้วไปจัดงานวันแม่พอตอนปีใหม่ก็เลยเข้ามาในกรุงเทพก็กลับมานำเอาเรื่องนี้มาเสนอกับกระทรวงศึกษาธิการ"
"ทางนั้นก็รับไปอยู่ในโครงการปลุกจิตสำนึกให้นักเรียน แล้วก็มีการจัดงานกันผ่านทางทีวี จากนั้นก็จะไปตามโรงเรียนไปกับพระอาจารย์เด่น สุวัณโณ ท่านก็จะสอนเรื่องความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เรื่องของการรักษาศีล การนั่งสมาธิ ส่วนตัวผมเองก็ใช้เพลงดังกล่าวปลุกจิตให้รักสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แรกๆ เป็นแบบนี้"
หลังเริ่มเป็นที่รู้จัก We love the King We love Thailand ก็มีคนในภาคส่วนอื่นๆ เข้ามาเป็นสมาชิก โดยเฉพาะแนวร่วมทางด้านศิลปิน อาทิ จิ๊บ วสุ, เล็ก ฮิวโก้, หนุ่ย อำพล, โป่ง หินเหล็กไฟ, บุ๋ม ปนัดดา...
"แล้วก็อีกหลายท่าน ก็ดึงเข้ามาโดยที่บางคนก็ยังเม่เข้าใจมาก ซึ่งผมก็จะบอกแบบผิวเผินว่าเราจะร่วมกันสร้างสถานีวิทยุชุมชนให้กับนักเรียนเพื่อเผยแพร่เรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน เรื่องของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ไม่ให้ชุมชนตัวเองเกิดความฟุ้งเฟ้อ"
"โดยเป็นสื่อของนักเรียนเลย ไม่ใช่ของเรา วันหนึ่งผมตายไปก็เป็นของนักเรียน แล้วนักเรียนคนนั้นก็ไม่ใช่ของเขา พอปีสุดท้ายก็เปลี่ยนรุ่นก็มีคนใหม่เข้ามาดูแล มันก็จะอยู่คู่กับประชาชน ตอนนี้ก็มีเข้ามาร่วมเป็น 182 เขตการศึกษาทั่วประเทศแล้ว แต่ตรงส่วนนี้ต้องบอกว่ามันยังไม่ค่อยเห็นผลสักเท่าไหร่"
"เพราะต้องยอมรับเลยว่าตามวิทยุชุมชนต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่จะมีบริษัทเอกชนเขาเข้าไปดูแลจัดการอยู่ ก็สองค่ายเทปใหญ่ๆ นั่นแหละครับ เข้าไปยากมาก แต่เราก็จะพยายามสร้างชุมชน ซึ่งไม่ใช่ของค่ายเทป ไม่ใช่ของนักการเมือง เหนื่อยแต่ก็ต้องเริ่มขยับเขยื้อนไม่งั้นมันก็จะไม่มีเกิดผลอะไรเลย"
แม้จะมีความตั้งใจดี ทว่ากลับมีบางส่วน อาทิ กระทู้ในห้องราชดำเนินของเว็บไซต์พันทิบที่มองว่าชื่อโครงการ We love the King We love Thailand นั้นไม่เหมาะสมเพราะเป็นการแอบอ้างเบื้องสูง
"ถ้าบอกว่าแอบอ้างนี่ผมว่าต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามแน่ๆ ที่คิดแบบนี้ ผมว่าคนดีๆ เขาต้องเข้าใจ เพราะอยู่ดีๆ ผมจะมาใช้ชื่อนี้ได้อย่างไร ไม่ได้ ถ้าแอบอ้างป่านนี้ผมติดคุกไปแล้ว เพราะเขารู้ว่าผมทำงานแบบนี้มานาน ทำด้วยความซื่อสัตย์มาโดยตลอด เพราะสโลแกนของผมคือเรื่องนี้ อย่าลืมว่ารักเธอประเทศไทยมัน 15-16 ปีแล้ว"
"นั่นคือคำพูดของประชาชนที่ไม่รู้เรื่องหรืออาจจะเป็นฝ่ายตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่ผมทำนี่ยังไม่ได้ทำร้ายอะไรใครเลย มีแต่ทำงานตลอด ยังไม่ได้หารายได้อะไรใดๆ ด้วย ไม่ได้รับบริจาคไม่ใช่มูลนิธิอะไรเลย แค่กระตุ้นเรื่องจิตสำนึก เพราะฉะนั้นเลิกคิดได้เลยว่าจะเป็นเรื่องของการหาประโยชน์หรือว่ามีการเมืองหนุนหลัง"
"ผมอยากให้คนที่พูดแบบนี้จะที่ไหนก็ตามเข้ามาร่วมงานกับวี เลิฟ ไทยแลนด์ดูก่อน แล้วจะรู้ว่าเราทำอะไร ฝากกระจายไปด้วย จริงๆ อย่าเอาแต่พูด อย่าเอาแต่ติ ให้ลงมือทำเลย ขอให้สมัครเข้ามา ติดต่อเราโดยตรงที่เว็บไซต์ได้เลย"
อดีตร็อกเกอร์ชื่อดังบอกต่อไปว่าระยะหลังๆ นี้มักจะมีข่าวทำนองนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องแสดงให้เป็นว่ามีผู้ที่คิดไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จริง!
"มีจริง เห็นได้ชัดเจนเราก็เห็นอยู่ แต่พี่ว่าน้อยมากเพียงแต่คนพวกนี้มีอำนาจพอที่จะทำได้ ซึ่งบางทีผมก็สงสัยว่าทำไมคนที่มีหน้าที่จัดการเรื่องนี้เขาไม่ทำอะไร มีคน มีเว็บไซต์โจมตีสถาบันแต่กว่ากระทรวงไอซีทีหรือว่าตำรวจจะดำเนินการอะไรได้ต้องให้สื่อ ให้คนออกมาเรียกร้องมาประท้วงเสียก่อนมันน่าเศร้านะ"
ต้องยอมรับว่าการขึ้นเวทีพันธมิตรของหรั่งนั้นทำให้เขาถูกบางส่วนมองไปในทางที่ไม่ดีอยู่เช่นกัน ทว่าเมื่อถามถึงความรู้สึก หรั่ง ร็อคเคสตร้าตอบทันทีอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นสิ่งที่เขาคิดถูกที่สุด
"โอ๊ย ตัดสินใจถูก เพราะว่ามีคนหนุนหลังอีกเพียบที่เขาเป็นผู้ใหญ่ อาจารย์ต่างๆ ทุกวันนี้ได้รับแต่คำสรรเสริญ ไอ้คำด่ามันมีน้อยครับแล้วจะต้องไปหวั่นไหวทำไม ขนาดพระพุทธรูปท่านอยู่นิ่งในโบสถ์ ท่านยังโดนว่าอย่างนั้นอย่างนี้"
"ถ้าใครคิดดีไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนกับการกระทำของเราเลย เพราะเรามีแต่เชิดชู เราปกป้อง เราไม่มีอะไรแอบแฝง คนจ้างพี่ก็นี่แหละเจ๊ๆ จ้างด้วยข้าว จ้างด้วยใจ คือถ้าใครจ้างบอกให้มาเลย เดี๋ยวเราเนี่ยจะเอาเงินที่เขาจ้างเราเนี่ยให้เธออีกด้วย มาเลยๆ เวลาเจอคนที่พูดแบบนี้ต้องอย่าปฏิเสธ ไม่งั้นเขาแอนตี้ พามาเลย คือพอเราเถียงคนพวกนี้จะแอนตี้ทันที บางคนพอคุยกันไปคุยมาจนจนมุม ก็ไม่เอาดีกว่า"
"เราทำไม่มีอะไรเลยที่แอบแฝง ในเว็บไซต์หลักก็มีแต่เรื่องของพระองค์กับประเทศชาติ ไม่ได้มีขายของอะไรเลย พี่อายุขนาดนี้เหลือสักกี่ปีกัน ทุกวันนี้ก็ดีใจนะที่มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาช่วยด้วยเราก็ไม่เหนื่อยมากด้วย"
...
เสียงจากสายเลือดใหม่
"ไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าเขาเป็นนักร้อง เห็นว่าแกแก่ แล้วตอนนั้นก็ร้องเพลงคนละแนวกันเลย..." ใบเฟิร์น มนัสนันท์ ณ นคร ตัวแทนของบรรดาสายเลือดใหม่ที่เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ We love the King We love Thailand บอกถึงการเจอกันครั้งแรกของเธอกับอดีตร็อกเกอร์
"ไปเจอกันที่ตอนที่งาน 12 พรรษามหาราชินีที่ภูเก็ตเมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ตอนนั้นเฟิร์นเป็นเอ็มซีให้กับธนาคารหนึ่งแล้วบังเอิญว่าธนาคารนั้นเขาเป็นสปอนเซอร์การจัดงาน ก็ไม่ได้รู้ลึกมาก แต่พอรู้ก็เลยสนใจก็เลยมาเข้าร่วมด้วย"
งานหลักๆ ของเธอและเพื่อนๆ ก็คือการหาเวลาว่างมาทำหน้าผู้ดำเนินรายการ รวมทั้งชวนน้องๆ เด็กๆ ตามโรงเรียนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดทำกิจกรรมต่างๆ...
"บางวันก็จะมีเพื่อนๆ มาช่วยเยอะ 7-8 คน แต่บางวันก็มาแค่ 2 คน เพราะต้องเอาเวลาว่างมาทำ ก็ออกไปตามจังหวัดต่างๆ ไปตามโรงเรียนต่างๆ ทางภาคใต้ ไปหลายที่แล้วค่ะ"
"ที่มาทำจริงๆ เพราะเห็นว่าตัวเองไร้สาระมานานแล้ว อย่างเมื่อก่อนวันนึงทำงานเสร็จก็กลับห้อง ดูหนังเกาหลี ดูจนถึงสว่าง พอได้มารู้จักโครงการปลุกจิตสำนึกก็รู้สึกว่าดี ก็อยากจะช่วยเป็นส่วนหนึ่ง แล้วเราก็พอพูดได้ สอนน้องได้ แต่ว่าจะเอาความตลกเข้าแทรกไปกับความรู้"
มีหลายคนที่คิดว่าทุกคนก็ต้องรักในหลวงรักสถาบันอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาทำอะไรที่ว่านี้อีกเรื่องนี้เฟิร์นมองว่า...
"ถูกต้องค่ะ ลึกๆ ในใจรักทุกคนย่อมรักในหลวงอยู่แล้ว ไม่มีใครสงสัยหรอกค่ะ แต่ถ้าเรามาร่วมกลุ่มกันมันจะเกิดกิจกรรมดีๆ ขึ้นมาอีก มันจะเห็นภาพที่ชัดขึ้น"
"คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่ารักแต่ไม่ยอมทำ ทำอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์คุณอยากจะทำอะไร ไม่ใช่จะมัวมาคิดว่าแฟนฉันอยู่ไหน ทำอะไร คิดแต่เรื่องแบบนี้ หรือไม่ก็แบบไม่รู้จะต้องทำอะไร ไปใช้เงินไปช้อปปิ้ง คิดแต่เรื่องของตนเองโดยไม่คิดเลยว่าสังคมมันเปลี่ยนไปจนจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่แล้ว"
"อย่างมีผู้ชายคนหนึ่งเขาก็ไม่ได้อะไรนะ ไม่ได้มาชุมนุมกับพันธมิตรอะไรด้วย ก็รับรู้ข่าวสารเฉยๆ ไปเรื่อยๆ แต่พอเขาได้รับรู้เรื่องของดา ตอร์ปิโด เขาก็รู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว เขาจะมารักในหลวงแบบนิ่งๆ ไม่ได้ ต้องออกมาแสดงตัวแล้ว"
นอกจากเรื่องของความภาคภูมิใจแล้วสิ่งที่พวกเขาและเธอได้กลับไปจากการเข้าร่วมโครงการนี้ก็คือการได้รับรู้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนและผืนแผ่นดินไทย
"ค่าจ้างไม่มีค่ะ แต่ได้กินข้าว ได้อิ่ม มีวันหนึ่งไปโรงเรียนผู้นำโรงเรียนของท่านมหาจำลอง แล้วน้องๆ เกือบประมาณ 50 - 60 คนพวกเขาตั้งใจฟังมาก มันก็ทำให้เรารู้สึกว่ามีความสุขที่ได้มาทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ แล้วจริงๆ มันน่าห่วงตรงที่ว่าเด็กรุ่นใหม่เองไม่ค่อยจะรู้สึกเท่าไหร่ในตรงนี้ ต่างจากคนเก่าคนแก่ที่รู้ว่าพระองค์ท่านทำอะไรมา"
"แต่เด็กรุ่นใหม่จะน้อยหรือสัมผัสได้ว่าพระองค์ท่านได้ทำอะไรมาบ้าง ใครจะรู้บ้างว่าท่านทำโครงการมากว่า 3,000 โครงการแล้วนะ แล้วล้วนแต่เป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาว ให้ประชาชนอยู่ได้ด้วยความพอเพียงอย่างเข้มแข็ง ไม่ใช่แบบว่าเป็นโครงการลด แลก แจก แถมแบบที่พวกนักการเมือง พวกรัฐบาลชอบทำ"
"แล้วจริงๆ ก็มีหลายโครงการที่ชาวบ้านเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาจากโครงการในพระราชดำริ ไม่ใช่มาจากนักการเมือง บางทีนักการเมืองนี่แหละที่เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ให้กับของตนเอง ซึ่งมันทำให้เราเทิดทูลพระองค์เพราะท่านเป็นคิง แต่เราเทิดทูลในพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน เราสำนึก"
ยอมรับรู้สึกแปลกใจมากที่มีคนกล้าที่จะพูดจาในทำนองที่ว่ารู้สึกไม่ดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์
"คือคนที่จาบจ้วงมันน้อยมากอย่างพี่หรั่งบอก แต่พอดีว่าคนเหล่านั้นเขาสามารถใช้สื่อใช้อะไร แต่สุดท้ายเชื่อว่ามันไม่มีใครเขาคิดแบบคุณกันหรอก มันเป็นคำตอบที่ว่าเราทุกคนรักในหลวง ซึ่งบางทีหนูมาคิดเรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเหล่านี้เขาคิดอะไร อะไรไปดลใจให้เขาคิดแบบนั้น"
"แต่เชื่อเถอะว่าคนพวกนี้นะ แม้จะไม่ถูกลงโทษตามกระบวนการทางกฏหมายแต่เขาย่อมรู้ดีว่าเขาทำอะไร เขาคิดอะไร แล้วสิ่งที่เขาจะได้ไปแน่ๆ ก็คือความเกลียดชังของคนส่วนใหญ่ซึ่งมันคือการสาปแช่งนะ..."
***************************