“พศิน มนูรังษี” เด็กหนุ่มที่ได้รับยกย่องว่าเป็น อัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ของไทย ซึ่งเพิ่งสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมาสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยการคว้าเหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิกครั้งล่าสุดด้วยวัยเพียง 15 ปี
เบื้องหลังความสำเร็จของเด็กคนนี้น่าสนใจ เพราะ เขาคือเด็กเก่ง เข้าขั้นอัจฉริยะ ครอบครัวมนูรังษี ซึ่งมีคุณพ่อและคุณแม่เป็นทันตแพทย์ หลายคนอาจเชื่อว่า เป็นเพราะยีนส์เด่นทางพันธุกรรมของผู้เป็นพ่อและแม่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้เกิดมาเป็นคนเก่ง แต่สิ่งหนึ่งที่น่ายืนยันได้ชัดเจน นั่นคือ ความรักอย่างเข้าใจของผู้เป็นแม่ และพ่อ
ทันตแพทย์หญิง วันเพ็ญ มนูรังษี คุณแม่ของพศิน เล่าว่า พศินเติบโตมาเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป แต่ฉายแววความเป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์ตั้งแต่วัยเยาว์ เริ่มตั้งแต่ประถมปีที่ 3 เขาสามารถคว้าเหรียญทองการแข่งขันคณิตศาสตร์ระดับประเทศของ สสวท.ได้ จากนั้นตอนประถมปีที่ 5 เขาก็ได้เหรียญทองอีกครั้ง
“ตอนเรียนประถมช่วงเริ่มต้นก็ดูแลบ้าง หาแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์มาให้เขาทำ ยังพอสอนได้บ้าง ตอนเด็กๆ เลิกเรียนเขาก็มานั่งทำการบ้าน ทำแบบฝึกหัดที่คลินิก นั่งข้างๆ เก้าอี้ทำฟันมาตั้งแต่เล็ก แต่พอถึงประถม 5 ก็ไม่มีโอกาสได้สอนเขาแล้ว ลูกเก่งมาก เราสอนไม่ได้ เขาก็จะอ่านเอง ทำแบบฝึกหัดเอง”
พอถึงช่วงมัธยมต้น พศิน ได้ลงสนามแข่งขันระดับโลก ด้วยวัยเพียง 13 ปี ซึ่งเป็นตัวแทนที่อายุน้อยที่สุด เขาสามารถคว้าเหรียญเงินคณิตศาสตร์โอลิมปิกมาครองได้สำเร็จ
คุณแม่ของพศิน เล่าย้อนไปถึงการเลี้ยงดู “พศิน” ตั้งแต่เด็กๆ ว่า ทางครอบครัวไม่ได้คาดหวังกับเขามาก จึงไม่ได้คิดพัฒนาในเรื่องวิชาการอะไรมากมาย ชอบให้เขาเรียนแบบธรรมชาติ และมีความสุขกับการเรียน แต่จะปลูกฝังในเรื่องการรับผิดชอบและการอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ
“การฝึกเขาทำแบบฝึกหัดและอ่านหนังสือ เป็นมันเหมือนกับการปูทางให้กับเขา โชคดีที่เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่หนังสือเรียนอย่างเดียว การ์ตูนหรือหนังสืออะไรเขาก็อ่านได้หมด หัดอ่านมาตั้งแต่เล็ก ต้องอ่านด้วยตัวเอง ต้องทำด้วยตัวเอง”
นับเป็นความโชคดีอย่างมากของ “ครอบครัวมนูรังษี” ที่มีลูกอัจฉริยะ แต่ทั้งคุณพ่อ นาวาตรี ทันตแพทย์วิเชียร และ คุณแม่ วันเพ็ญ มนูรังษี ย้ำกับ “ผู้จัดการ Lite” ว่า ตลอดเวลาที่คุยกันว่า อยากให้ พศินเติบโตเป็นทั้งคนเก่ง คนดี และเป็นคนที่มีความสุขอยู่ในสังคม
ด้วยความอัจฉริยะของ “พศิน” การเลี้ยงดูลูกของครอบครัวนี้จึงแตกต่างไปจากสังคมทั่วไปที่มุ่งเน้นทางด้านวิชาการอย่างหนักทั้งการกวดวิชาหรือเข้มงวดกวดขันในการอ่านหนังสืออย่างหนัก แต่จะมุ่งการอยู่ในสังคมอย่างปกติสุขมากกว่า
“เลี้ยงลูกอัจฉริยะตอนนี้สำคัญว่าจะอยู่ในสังคมอย่างไร ความเก่งไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ต้องเก่ง ต้องดี และมีความสุข คุณแม่จะเน้นตรงนี้ คือเลี้ยงลูกให้ปกติที่สุด” คุณแม่ บอกถึงหลักการเลี้ยงลูก
คุณพ่อของพศิน กล่าวเสริมว่า ทางครอบครัวเป็นห่วงว่าเขาจะขาดหายชีวิตในช่วงวัยเด็กไป จึงต้องเลี้ยงดูให้เหมือนกับเด็กๆ ทั่วไป เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กธรรมดา เนื่องจากเกรงว่าเขาจะผ่านพ้นในช่วงเวลาของความเป็นเด็กไป ครอบครัวจึงต้องทำกิจกรรม เด็กคนอื่นเล่นโปเกมอนเราก็ต้องเล่น คนอื่นเล่นเกมออนไลน์เราก็ให้เขาเล่นไปด้วย เมื่อเขาโตขึ้นจะได้ไม่รู้สึกว่าช่วงชีวิตตอนเป็นเด็กเขาขาดหายอะไรไป
“เวลาที่เราให้กับลูก เน้นไปเรื่องกิจกรรมความบันเทิงอื่นๆ เรื่องวิชาการไม่มีสิทธิ์ เราไม่ต้องคิดอะไรเลย เราให้เวลา ให้ความสุข ความอบอุ่น และเติมให้เต็มในสิ่งที่ขาดไป อยากจะไปเที่ยวไหนก็ไป บางทีก็ไปเล่นกีฬา ตีเทนนิส หรือลากโต๊ะปิงปองมาตีกัน เพราะเรากลัวว่าเขาจะดูแต่หนังสือ”
สำหรับชีวิตประจำวันโดยปกติของ พศิน เนื่องจากไม่มีเรียนพิเศษ ไม่เคยเรียนกวดวิชา พอเลิกเรียนก็จะไปที่คลินิกของคุณพ่อและคุณแม่ ชีวิตปกติของครอบครัวคือจะอยู่ด้วยกันตลอด คุณแม่จะรับผิดชอบในเรื่องของอาหารการกิน ส่วนคุณพ่อจะรับหน้าที่พาเขาเล่นให้เหมือนกับเด็กๆ ทั่วไป
เนื่องจากครอบครัวมั่นใจในเรื่องความรับผิดชอบของเขา การเลี้ยงดูจึงค่อนข้างไปทางปล่อยให้เป็นอิสระอย่างมาก ไม่มีข้อจำกัด ดูทีวีบ้าง เล่นดนตรี เล่นเกมบ้าง เล่นฟุตบอล หรือ ไปดูหนังกับเพื่อนๆ บางทีก็ดูฟุตบอลดึกดื่น โดยเฉพาะเมื่อทีมโปรดอย่างเชลซีลงสนาม
“ผมเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กธรรมดา ไปเที่ยว ไปเตะบอลหรือไปจีบสาว เดี๋ยวพาไปดูแฟน คืออยากให้เขาอยู่กับเด็กปกติเหมือนเด็กทั่วไป“ นาวาตรี ทันตแพทย์วิเชียร ย้ำและสิ่งสำคัญที่ครอบครัวปลูกฝังให้กับเขาคือยากให้เป็นคนดีของสังคม จึงเน้นเรื่องของรับผิดชอบและความเสียสละมากเป็นพิเศษ โดยหยิบยกเอาเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันมาสอนลูกอย่างสม่ำเสมอ
“ทั้งพ่อและแม่เวลาเจอปัญหาก็จะบอกเขา อย่างเช่นยกตัวอย่างเรื่องการจอดรถ ก็จะบอกลูกเห็นไหมเขาเข้าไปอีกแค่เมตรเดียว จะจอดได้อีกคันทันที แต่ทำไมเขาไม่เข้า หรือเวลาที่เขาจอดรถ ในขณะที่คนอยู่เยอะแยะทำไมคุณไม่ดับเครื่องยนต์”
สิ่งที่ยืนยันได้ถึงผลจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ทั้งสองคือ มองจากภายนอก “พศิน” เป็นเด็กที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ช่างพูดคุยและอัธยาศัยดี เขาดูแตกต่างไปจากภาพของเด็กอัจฉริยะในจินตนาการ ของคนทั่วไป ที่มักจะเป็นคนเคร่งเครียด กอดตำราและอ่านหนังสืออย่างหนัก ไม่ค่อยคุยเจรจาปราศรัยกับใคร
แต่สำหรับ “พศิน” แล้ว เขาเป็นคนเข้ากับคนง่าย จึงมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ ทั้งเพื่อนในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และเพื่อนจากต่างสถาบันที่อยู่ในแวดวงการแข่งขัน หรือแม้แต่ครูบาร์อาจารย์สาขาคณิตศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัย พศิน ก็รู้จักเป็นอย่างดี นอกจากเรื่องการเรียนแล้ว “พศิน” ก็ทำกิจกรรมในโรงเรียนเป็นสภานักเรียนมาตลอด
“พศิน” บอกว่า ด้วยความที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์มากเป็นพิเศษ โตขึ้นจึงอยากเป็นนักคณิตศาสตร์ อยากไปศึกษาต่อทางด้านคณิตศาสตร์ในต่างประเทศ แต่ทางครอบครัวอยากให้เรียนแพทย์ แต่ก็ไม่ได้บังคับ ในที่สุดถ้าต้องการเรียนอะไรก็ตามนั้น จึงยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนว่าหลังจากจบ ม.6 แล้วจะเรียนต่อสาขาใด เพราะยังเหลือเวลาให้ตัดสินใจอีก 3 ปี
แต่สำหรับอนาคตอันใกล้คือในปี 2552 “พศิน” กำลังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่า จะเข้าร่วมคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยระหว่างวิชาคณิตศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์ดี เพราะตัวเองก็ชอบทั้งสองวิชา
ประวัติ
พศิน มนูรังษี
วันเกิด : 6 สิงหาคม 2536
งานอดิเรก : ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ เล่นฟุตบอล
ความสามารถพิเศษ : เล่นระนาด คณิตศาสตร์
อนุบาล : โรงเรียนอนุบาลยุวภัทร
ประถมศึกษา-มัธยมต้น : กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
ปัจจุบัน ( พ.ศ. 2551) : กำลังศึกษาชั้น (ม.4 ) กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
เกียรติประวัติ
- เหรียญทอง คณิตศาสตร์โอลิมปิก ประจำปี 2551 มีคะแนนเป็นอันดับ 8 ของโลก
- รางวัลเหรียญเงิน การแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี 2550
- รางวัลเหรียญทอง ประเภทบุคคล การแข่งขันคณิตศาสตร์โลก ครั้งที่ 6 ประเทศไต้หวัน
- รางวัลเหรียญทอง ประเภทบุคคล การแข่งขันคณิตศาสตร์นานาชาติ ครั้งที่ 2 ประเทศอินเดี