ถ้าจะนับคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายมากว่า 30 ปี หลายคนคงมีชื่อ เจ้าแมวสีฟ้า “โดราเอมอน” เป็นอันดับต้นๆอย่ในใจแน่ๆ เพราะตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นแฟนพันธ์แท้รุ่นใหญ่ที่วันนี้กลายมาเป็นคุณพ่อและคุณแม่ไปหลายคนแล้ว หรือจะเป็นแฟนพันธ์แท้รุ่นคุณหนูๆ ต่างก็ยกใจให้โดราเอมอนกันเป็นแถว นั่นเพราะเรื่องราวของโดราเอมอนและผองเพื่อน และของวิเศษต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องราวที่สามารถจินตนาการได้ไม่รู้จบจริงๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าเนื้อหาของเนื้อเรื่องไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ก็ยังดูเข้ากับยุคสมัยได้ตลอดมา แล้วใครล่ะจะอดใจไม่หลงมนต์ “โดราเอมอน”ได้
ดังนั้นหากมองในแง่ของมาร์เก็ตติ้งแล้ว โดราเอมอนถือได้ว่ามีกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างกว้างมาก เริ่มตั้งแต่เด็กน้อยอายุ ตั้งแต่ 2-3 ขวบขึ้นไป จนถึงระดับวัยผู้ใหญ่ 20-30 ปีขึ้นไป ซึ่งตั้งแต่โดราเอมอนมาสร้างจินตนาการบนหน้าหนังสือ จนมาโลดแล่นสร้างความสุขบนหน้าจอโทรทัศน์ ยอมรับว่า โดราเอมอน กวาดเงินกลับญี่ปุ่นไปได้มากโขเชียวล่ะ แต่จะทำยังไงได้ ก็หลงรัก แมวสีฟ้า จนหมดใจซะแล้วสิ นั่นยิ่งทำให้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโดราเอมอน ไม่ว่าจะเป็นโมเดล กระเป๋า เสื้อผ้า นาฬิกา ฯลฯ ต่างก็สามารถนำมาต่อยอดสร้างรายได้กับการใช้คาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนจากเรื่อง โดราเอมอน ได้มีนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้กับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โทรศัพท์บ้านก้าวสู่โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยในปัจจุบันโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโทรศัพท์มือถือ กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 โดยปริยายนั้น ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ โดราเอมอน และชาวแก็งค์ จะมาปรากฏอยู่หน้าจอมือถือ ซึ่งที่ผ่านมาคอนเท้นต์เกี่ยวกับโดราเอมอน ที่หลายๆคนขยันโหลดลงมือถือนั้น เป็นคอนเท้นต์ที่เป็นลักลอบทำ หลายคนจะพบว่า ภาพวอลล์เปเปอร์ที่โหลดมา จะเบลอ ความละเอียดของภาพไม่ได้ ภาพแตก หรือพบปัญหาอื่นๆตามมา
ล่าสุดคนไทยคนหนึ่ง คือ “เอก -ชาญวิทย์ วิทยสัมฤทธิ์” ประธานกรรมการ บริษัท อีเมจิเนชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโมบายคอนเท้นต์ ทางด้านอะนิเมชั่น ซึ่งมองเห็นความต้องการของตลาด กอปรกับการที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านโมบายคอนเท้นต์ จึงได้มีการติดต่อขอเจรจากับทางเจ้าของลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนอะนิเมชั่น เรื่อง โดราเอมอน จากประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยขอเป็นผู้ดูแลลิขสิทธิ์ทางด้านโมบายคอนเท้นต์ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว
“ 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทฯได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านโมบายคอนเท้นต์ ซึ่งจะมุ่งเน้นทางด้านคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนเป็นหลัก พบว่าแต่ละปีมีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดด จาก 5-10 ล้านบาทในปีแรกในปี 2549 สู่ 50 ล้านบาทในปี 2550 ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทฯได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการเป็นตัวแทนลิขสิทธิ์ด้านดิจิตอล คอนเท้นต์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากบริษัทฯที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นค่ายหนังอย่าง Warner Bros, Sony Pictures, Paramount Pictures รวมถึงค่ายหนังของไทย อย่าง สหมงคลฟิล์ม นอกจากนี้บริษัทฯยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนชื่อดังอีกหลายตัว เช่น Hello Kitty จากค่าย Sanrio,Crayon Shinchan, San-X, Snoopy” พร้อมกับกล่าวต่อว่า
“ ขณะที่โดราเอมอน ที่เพิ่มได้ลิขสิทธิ์ในปีนี้ เชื่อว่าโดราเอมอน จะได้รับความนิยมอย่างสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนมั่นใจว่าจะเป็นการ์ตูนเรื่องเดียวที่จะสร้างรายได้ให้เกินครึ่งของรายได้รวมในปีนี้ แซงหน้า Hello Kitty ครองตำแหน่งนี้ไว้ หรือทั้งปีคาดว่าบริษัทฯจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก 50 ล้านบาทในปีก่อน เป็น 100 ล้านบาทในปีนี้” จากคำบอกเล่าของเอก
ซึ่งล่าสุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทาง “อีเมจิเนชั่น” ได้ร่วมกับทางเอไอเอส ในการให้บริการโหลดคอนเท้นต์ต่างๆเกี่ยวกับคาร์แรกเตอร์ตัวการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับลูกค้าเอไอเอสเท่านั้น ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวนี้อีเมจิเนชั่นและเอไอเอสได้ใช้งบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์รวมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งหลังจากพ้น 3 เดือนไปแล้วหลังช่องทางของการโหลดคอนเท้นต์ดังกล่าว จะมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะอีเมจิเนชั่น เตรียมแผน 2 ขอเจรจาพูดคุยเพิ่มจำนวนพันธมิตรเพื่อให้ผู้ใช้โทรทัศน์มือถือเครือข่ายอื่นสามารถดาวน์โหลดคอนเท้นต์โดราเอมอนได้ต่อไป
เบื้องต้นของคอนเท้นต์โดราเอมอนนี้ ทางอีเมจิเนชั่นจะเป็นผู้พัฒนาขึ้นมาเอง โดยคอนเท้นต์แรกๆที่จะนำมาให้บริการ ได้แก่ วอลล์เปเปอร์ ภาพเคลื่อนไหว สกรีนเซฟเวอร์ เกมส์ และอื่นๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ทางบริษัทฯยังมีการเจรจาที่จะเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนด้านดิจิตอล คอนเท้นต์บนมือถืออีกหลายตัวในปีนี้ เช่น นารุโต๊ะ และเคโระโร๊ะ ส่วนภาพยนตร์นั้น ปีนี้กำลังเจรจาภาพยนตร์เรื่อง อินเดียน่าโจนท์ และเทอร์มิเนเตอร์4 อีกด้วย
อย่างไรก็ตามปีนี้ยังเป็นปีแรกที่บริษัทฯขยายธุรกิจไปสู่ระดับต่างประเทศ ซึ่งมีความชัดเจนแล้ว 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซียและสิงคโปร์ คาดว่าอินโดนีเซียซึ่งมีประชากรมากกว่าไทย 4 เท่า จำนวนกว่า 240 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ คาดว่าปีแรกน่าจะมีรายได้ที่ 50 ล้านบาท ส่วนสิงคโปร์เป็นตลาดที่เล็ก คาดว่าน่าจะมีรายได้ในปีแรกประมาณ 10 ล้านบาท ภายใต้งบการตลาดรวมกันกว่า 30 ล้านบาท โดยใช้ในอินโดนีเซียมากกว่า นอกจากนี้ทางบริษัทฯเตรียมที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วย เช่น เวียดนามคาดว่า 2-3 เดือนข้างหน้านี้จะเริ่มเข้าไปทำตลาดได้
โดยคอนเท้นต์ที่จะนำไปทำตลาดต่างประเทศนั้น จะมีรูปแบบเช่นเดียวกับที่ให้บริการในประเทศไทย คาดว่าน่าจะได้รับความสนใจจากชาวต่างประเทศ ที่จะเข้าไปทำตลาดครั้งนี้ค่อนข้างสูง เพราะปัจจุบันประเทศที่จะเข้าไปบุกตลาดนั้น ยอมรับว่าคอนเท้นต์บนหน้าจอมือถือยังตามหลังไทยค่อนข้างมาก การเข้าไปทำตลาดครั้งนี้ เหมือนเข้าไปบุกเบิก จึงมองว่าน่าจะสร้างกระแสได้ค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นไปตามที่คาดหมาย อนาคตจะกลายเป็นแหล่งรายได้หลักแทน ทั้งนี้ถือเป็นเวทีระดับประเทศ ที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ว่ามีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านโมบายคอนเท้นต์ด้วย