xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ประกาศฯ หน้าใหม่ กับศักยภาพในความหล่อ - สวย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สำหรับผู้ประกาศข่าวหนุ่ม - สาว หน้าใหม่ๆ ใสๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่หน้าจอทีวี ณ ห้วงเวลานี้

มองกันอย่างผิวเผิน มันคงเป็นเรื่องปกติของการเปลี่ยนถ่ายที่เป็นไปตามวัน เวลาที่แปรผัน

หากแต่เมื่อมองลึกเข้าไปให้มากกว่าเดิม เราอาจจะพบว่า...นัยของมันหาใช่จบอยู่ที่ประเด็น เมื่อของเก่าไปก็หาของใหม่เข้ามาแต่อย่างใด

หล่อ - ใส ไร้สมอง?

- พี่เอ้ นิชานันท์ น่ารักจังครับ...จากเต้

- ขอภาพคุณบุ๊ค สืบสกุล พันธุ์ดี ผู้ประกาศข่าวช่อง 5 หน่อยค่ะ (เล็งมานานแล้ว น่ารักใสเด้ง หลุดเทรนช่อง5มาก). ขอรูปหน่อยค่ะ ค้นในกูเกิ้ลไม่เจอเลย

- วันนี้เปิด ดูข่าวภาคค่ำช่อง7 ตกใจมากเจอสุดหล่อ ตี๋หน้าหยก คุณไก่ ภาษิตของดิฉันมาอ่านข่าวภาคค่ำแล้วค่ะ หล่อมากมาย เย็นนี้คงเจริญอาหารอีกเป็นกองเลยค่ะ

- วันนี้น้องนุ๊กแต่งตัวสวย แถมยังอ่านข่าวดีอีกต่างหาก...แฟนพันธุ์แท้ASTV ฯลฯ

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสารในวันนี้มันคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้วสำหรับการสะท้อนซึ่งการแสดงออกทางด้านความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนโดยทั่วไปต่อเรื่องราวเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งผู้คนรอบข้างดังตัวอย่างขั้นต้นที่แสดงออกซึ่งความคิดเห็นของคนดูทีวีทั่วไปต่อการทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ

แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย ทว่าก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแนวคิดบางอย่าง

"โดยส่วนตัวผมคิดว่า มันคงไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าเป็นดาราอะไรมั้งครับ ผมว่ายังห่างไกลจากดาราค่อนข้างเยอะนะ..." หนึ่งในผู้ประกาศฯ หน้าใหม่จากช่อง 7 "ไก่ ภาษิต อภิญญาวาท" แสดงทัศนะถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ที่มีต่อผู้ที่ทำหน้าที่ผ่านหน้าจอทีวีทั้งหลายที่นับวันดูจะใกล้เคียงกับการเป็นดารานักแสดงมากยิ่งขึ้นไปทุกทีๆ

ไม่เว้นแม้กระทั่งเหล่าผู้ประกาศฯ ทั้งหลาย ซึ่งจะว่าไปแล้วทั้งพวกเขาและเธอเหล่านี้เองก็ดูเหมือนจะพยายามทำตัวให้เดินเข้าไปใกล้ในจุดที่ว่าอยู่เช่นกัน

"แต่มันก็มีบางส่วนที่เหมือนหรือชวนให้คนดูเขารู้สึกได้นะ เพราะผู้ประกาศบางคนก็ทำหน้าที่พิธีกรรายการด้วย บางคนเขาก็อาจจะไปรับงานหนังงานแสดงละคร ออกงานสังคมบ่อยๆ แต่ถ้ามองกันเฉพาะสายงาน ผมว่าผู้ประกาศยังไงมันก็ห่างไกลที่จะเรียกว่าดารา แล้วคนที่ติดตามเราก็เพราะอยากจะฟังข่าวสาร ไม่ใช่ลีลาของเราเวลาอยู่หน้าจอ คือเอาแค่บทบาทผมว่ามันก็ต่างกันแล้วครับ"

ภาพโดยรวมของผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ที่พอจะเรียกได้ว่าหน้าใหม่นั้น แม้จะมีหนุ่มสาวรุ่นใหม่ทั้งที่เรียนมาในสายวิชาที่เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวมากมายให้ความสนใจ ทว่าปริมาณที่จะเกิดบนหน้าจอจริงๆ ต้องบอกว่าน้อยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3 ช่อง 5 โมเดิร์นไนน์ ทีวี ซึ่งหาผู้ประกาศอายุงานต่ำกว่า 3 ปีได้ยากเหลือเกิน

ขณะที่หนุ่มไก่เอง ที่ผ่านมาเขาต้องฝ่าด่านในอัตราที่สูงเฉียดประมาณถึง 400 - 500 ต่อ 1 เลยทีเดียวกว่าจะได้มาทำหน้าที่ตรงนี้พร้อมกับเพื่อนผู้ประกาศรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง เหมือนฝัน ประสานพาณิชย์, ขนิษฐา สาระจูฑะ, เจษฎา จันทรนาดี

"ถามว่าเวทีตรงนี้มันน้อยไปหรือเปล่าก็อาจจะ อย่างทีวีเราก็มีไม่กี่ช่องแล้วตำแหน่งตรงนี้มันก็น้อยด้วย ที่สำคัญก็คือบางช่องเขาจะเน้นพวกที่มีประสบการณ์มากกว่า ซึ่งเราคงต้องยอมรับนะว่าผู้ประกาศหน้าใหม่นั้นมันเหมือนสีสันให้กับทางช่องน่ะ เป็นสีสันที่แซมขึ้นมา แรกๆ อาจจะอ่านข่าวต้นชั่วโมง คั่นรายการ พอคนเห็นก็อาจจะสะดุดแล้วก็พูดถึง ก็อาจจะได้ขึ้นมาเป็นหลัก มันก็เป็นเสต็ปน่ะ"

"ของผมถ้าเรียกว่าเป็นผู้ประกาศฯ จริงๆ ก็ 2 ปีได้แล้วครับ คือถ้าใครอยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้ผมว่าอย่างแรกคุณต้องกล้าที่จะเดินเข้าไปหาโอกาส คุณต้องมีความมั่นใจ เพราะจริงๆ แต่ละช่องเขามีแคสติ้งอยู่เรื่อยๆ นะ อย่างผมก่อนจะมาช่อง 7 ผมไปสมัครมาหมดแล้วทุกช่องเลยนะ ก็ไม่คิดว่าจะได้มาอ่านข่าวที่นี่เหมือนกัน"
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือหน้าตาของบรรดาผู้ประกาศฯ รุ่นใหม่ ที่ต้องบอกว่าส่วนใหญ่จะดูหล่อ - สวย ซึ่งเมื่อถามว่าตรงนี้มีความสำคัญมากน้อยเพียงใด? และจะเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถือในระดับที่สูงพอสมควรหรือไม่?

เรื่องนี้เจ้าตัวมองว่า...

"โดยรวมมันน่าจะเป็นเรื่องของบุคลิกมากกว่านะ คงไม่ใช่เรื่องของหน้าตาเพียงอย่างเดียว อย่างผมตอนที่มาสมัครที่ช่อง 7 เขาให้ลองอ่านข่าว ผมอ่านแค่ 2 บรรทัดเท่านั้นนะ เพราะว่าคนมันเยอะมาก กรรมการเขาก็บอกว่าเรื่องออกเสียง เรื่องอักขระฝึกฝนได้ เทรนนิ่งพัฒนาได้ เขาจะดูเรื่องบุคลิกภาพมากกว่า แล้วถ้าผานเข้ามาก็จะมีการอบรมรอบ 2 รอบ 3 เรื่องการใช้ภาษาไทย การออกเสียง"

"ส่วนเรื่องความน่าเชื่อถือในหน้าที่การทำงานตรงนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของอายุงานด้วยนะ สะสมอายุ พอทำไปนานๆ ความน่าเชื่อถือมันจะเกิดขึ้นมาเอง แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องเริ่มต้นดีแล้วมีการพัฒนาด้วยนะ ซึ่งตรงนี้เวลาไปรับงานนอกผมก็จะดูด้วยว่าเป็นแบบไหน เพราะไม่อยากรับงานที่มันจะกระทบต่อภาพของการเป็นผู้ประกาศ แล้วก็จะเน้นงานที่เป็นพิธีกรเป็นหลักเพราะว่าจะได้ช่วยฝึกในเรื่องของการพรีเซ้นท์ต่อหน้าคน สร้างความคุ้นเคย จะได้ไม่ประหม่า"

ด้าน "เก๋ กมลพร" ผู้ประกาศสาวช่อง NEWS1 ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี อีกหนึ่งสถานีฯ ที่ถือได้ว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้ก้าวขึ้นมาแสดงความสามารถทางด้านงานข่าวมองเกี่ยวกับเรื่องความน่าเชื่อถือนี้ว่า...

“ความน่าเชื่อถือมันมี 2 อย่างคือน่าเชื่อถือด้วยท่าที หรือน่าเชื่อถือด้วยแบ๊คกราวน์ ท่าที หน้าตา มันดึงคนได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ทุกสถานีทำตัวเป็นสถานีข่าวหมด แต่ซักพักคนดูก็จะรู้ว่าใครรู้จริง หรือไม่จริง ผู้ประกาศมันอยู่ที่ข้อมูลมากกว่า ไม่ใช่หน้าตา”

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้งานผู้ประกาศข่าวขาดแคลนเด็กรุ่นใหม่ นอกจากเรื่องของเวทีแล้ว ในความคิดจากหนุ่มหล่อ สาวสวยหลายคนที่มีความคิดในการอยากใช้เวทีตรงนี้สร้างให้ตัวเองเป็นที่รู้จักก่อนจะก้าวเดินไปอาชีพอื่นๆ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ทว่าสำหรับผู้ประกาศสาวคนนี้แล้วเจ้าตัวบอกว่าจะเป็นคนตอบมากกว่าเป็นคนถาม

“จะบอกว่าผู้ประกาศข่าวตั้งแต่รุ่นเก๋มาเนี่ยมันมีการเปลี่ยนแปลงนะ มันไม่ใช่คนอ่านข่าวเฉยๆ แล้ว ถ้าตอนเราเด็กๆ เราจะเข้าใจว่าถึงเวลาเข้าข่าว เขาก็อ่านๆๆ แล้วก็จบ แต่เดี๋ยวนี้คนที่ถ่ายทอดเรื่องนั้นๆ ข่าวตรงนั้น ทำเอง"

“ถ้าถามว่าเก๋อยากก้าวไปถึงตรงไหน คืออาชีพผู้ประกาศมันจะแบ่งออกเป็นหลายๆ แบบนะ เป็นผู้วิเคราะห์ เป็นคอมเม้นเตเตอร์ เราจะมีความรู้ในระดับหนึ่ง แต่จุดมุ่งหมายของเก๋เนี่ย เก๋อยากเลิกเป็นคนถามแต่อยากเป็นคนให้แทน อยากเป็นคอมเม้นเตเตอร์ อยากเป็นนักวิเคราะห์ อยากมองให้ขาด ไม่ต้องเอาหนังสือพิมพ์มากางแล้วใส่ความเห็นซึ่งมันยังไม่มีแนวคิดของเราจริงๆ แต่เก๋เชื่อว่าน้อยคนนะ ที่จะเล่าข่าวออกมาจริงๆ คิดเอง มองเกมขาด นั่นคือความฝัน ซึ่งผู้ประกาศน้อยคนมากจริงๆ จะเป็นได้"

ผู้ประกาศอย่างเรา จำเป็นที่จะต้องอยู่กับข้อมูลข่าวสารมากน้อยขนาดไหน?

"ไม่ได้เวอร์นะ แต่ตลอดทั้งวันที่ตื่นอยู่ ต้องตาดูหูฟัง ต้องเร็ว ทุกเรื่องมันคือข่าวได้เสมอๆ ขึ้นอยู่ว่าเราจะให้น้ำหนักกับมันแค่ไหน ต้องอยู่เป็นชีวิตประจำวันยิ่งกว่าแฟน คอยฟังคอยอ่าน”

“เก๋อยากให้น้องๆ รุ่นใหม่เนี่ย อย่างน้อยที่สุดก่อนจะเดินเข้ามาในวงการนี้ต้องดูตัวเองก่อนว่าพร้อมมั้ยที่จะยึดมั่นในอาชีพของตัวเอง อยากให้มาพร้อมแนวคิดมากกว่า ถ้าไม่มีอุดมการณ์ทางความคิดก็อย่า มันดูอาจจะเป็นคำเก่าๆ เชยๆ อุดมการณ์มันจะกินได้หรือเปล่า ถ้าไม่มีแนวคิดแบบนี้แล้วลำบาก เพราะว่าอาชีพนี้ แค่คุณแค่อยากจะสวย เป็นดารา ก็จะทำได้แค่นั้น ความสวยมันไม่จีรัง แต่ความน่าเชื่อจากข้อมูลข่าวสาร การเป็นที่ยอมรับของคนดู ทักษะ ความรู้รอบตัว สำคัญมากกว่า”

ออกปากตอบอย่างไม่มีลังเลว่าสงสารคนดูต่อกรณีที่สถานีโทรทัศน์บางช่องพยายามจะทำให้นักข่าวไม่ต่างอะไรจากดารา และบางช่องก็ถึงขนาดที่เอาดาราจริงๆ มานั่งอ่านข่าวเพราะหวังเพียงความหวือหวามากกว่าจะเข้าถึงแก่นแท้ของงานข่าวจริงๆ

“ช้ำใจ เรารู้สึกว่าคนดูคนอ่านเป็นอย่างไรนะ แต่เราเสียใจ คนดูเดียวนี้ไม่โง่นะ อย่าดูถูกคนดูด้วยวิธีการแบบนี้ คนดูแบบนี้มีข้อมูล บางคนมีข้อมูลมากกว่าเราอีก คนบางคนดูข่าวทุกวัน ดูเยอะกว่าเราอีก อย่าดูถูกด้วยการเอาดารามานั่งอ่าน บางคนเอามานั่งอ่าน แล้วไม่เตรียมข้อมูลให้เขาด้วย เอาแค่ความสวย เอาความเป็นดารา มาเรียกคนดู เน้นที่เนื้อหาสาระได้มั้ย มีบางช่องนะ พูดผิดได้ทุกวัน แต่ดาราบางคนเขาก็ทำได้ดีก็มีนะ”

คิดว่าผู้ประกาศในวันหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง?

“นอกจากมีความรู้ ความสามารถแล้วต้องมีแนวคิดด้วยน่ะ ไม่ใช่คิดว่าแค่อยากมาเป็นผู้ประกาศเพราะว่าชอบพี่คนนั้นแล้วหนูอยากเป็นแบบเขาค่ะ มันไม่ใช่แค่นั้นแล้วนะ งานคนข่าวไม่ใช่งานสบาย หนัก อย่างเอเอสทีวีเนี่ยกดดันหลายอย่าง คือควรทำให้ผู้ประกาศข่าวคือคนข่าว ไม่ใช่ดารา"

กว่าจะเป็นผู้ประกาศ

"สวย เท่ห์ เก๋ มีบุคลิก มีรสนิยม ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง..."  อัญชลีพร กุสุม หัวหน้าผู้ประกาศฯ เอเอสทีวีบอกถึงคอนเซ็ปต์โดยรวมในการคัดเลือกเด็กรุ่นใหม่มาทำหน้าที่ผู้ประกาศฯ พร้อมเน้นย้ำว่าคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่ในหัว

"หน้าตาก็มีส่วน มีส่วนมาก แต่ที่สำคัญมากกว่าหน้าตาก็คือสิ่งที่อยู่ในหัวมากกว่า เพราะหน้าตาเป็นแค่โอกาสในการทำงานครั้งแรก ซึ่งโดยทั่วไปเชื่อว่าทุกสถานีก็เป็นอย่างนี้ แต่หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะต้องถึงกับขนาดดีมาก ดูเค้าแล้วว่าสามารถพัฒนาปรับโน่นปรับนี่แล้วโอเคได้"

"เพราะการดูทีวี เราไม่ได้ฟังแค่เสียง เราต้องมอง ดังนั้นถ้ามองแล้วจะต้องรู้สึกว่าเจริญหูเจริญตา ถ้ามองแล้วคนดูรู้สึกแปลกๆ นั่นก็หมายความว่าไม่โอเคแล้ว อย่างบางคนที่คนดูๆ แล้วมัวแต่ค้นหาความผิดปกติบนใบหน้าตลอดเวลา ตาเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน หรือไปทำตามาแบบไม่สวยแล้วเห็นชัดว่าผิดปกติ คนดูก็จะมัวแต่พิจารณาความแปลกบนใบหน้า"

อีกสิ่งที่สำคัญก็คือรูปปาก

"แต่ที่มากกว่าหน้าตาคือ รูปปาก รูปปากเวลาพูด เพราะการออกทีวีจะต้องเห็นริมฝีปาก การขยับปากออกมาด้วยลักษณะปกติ การออกเสียงที่ไม่ผิดปกติ ถือว่าสำคัญที่สุดของการทำงานทีวี บางคนอาจจะสวยแต่ออกเสียงส.เสือไม่ได้ หรือน้ำเสียงไม่รื่นหูก็จะต้องสกรีนออก อย่างบางคนตอนยังไม่พูดคะแนนเต็มร้อยทั้งที่หน้าตาธรรมดา แต่บางคนพอพูดแล้วคะแนนลดลง ไม่ใช่สวยเฉพาะเวลาไม่พูด"

"บางคนพูดแล้วทองแดง มีพลังแบบคนใต้ พูดแล้วออกซื่อๆ เหมือนอีสาน พูดแล้วเสียงออกจมูก อ่อนหวานเหมือนคนเหนือ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าจะทำให้คะแนนลดแต่อย่างใด ทั้งหมดที่ออกมาแล้วต้องน่าฟัง มีบุคลิกไม่ใช่ออกมาแล้วดูไม่น่าเชื่อถือ ดูก้าวร้าว ดูไม่มีความจริงใจ ต้องหน้าตาดี มีบุคลิก เปล่งเสียงออกมาแล้วจะต้องดูดี มีความรู้ความสามารถ ถ้าความสามารถโดดเด่นจนกลบข้อด้อยของใบหน้าได้ก็โอเค"

"และมีข้อสังเกตอีกอย่างสำหรับคนที่สวยมากๆ คุณจะต้องเก่งมากกว่าใบหน้าคุณ ไม่งั้นคุณจะโดนข้อหาสวยอย่างเดียว ความสวยจะโดดเด่นเกินสมองของคุณ ก็จะอันตรายอีกเหมือนกัน"

หัวหน้าผู้ประกาศฯ ยอมรับว่าการรับเด็กใหม่เข้ามาทำหน้าที่ผู้ประกาศในปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรแม้โดยรวมจะมีคนให้ความสนใจในปริมาณที่ค่อนข้างเยอะ โดยสาเหตุหนึ่งก็เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจดมุ่งหมายของคนที่เข้ามาทำหน้าที่ในตรงนี้คืออะไรกันแน่

"โดยส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง และนี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้การรับผู้ประกาศยากมาก เพราะไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นต้องการอะไรในชีวิต เป้าหมายในชีวิตจริงๆ คืออะไร บางคนบอกว่าอาจจะต้องเรียนต่อด็อกเตอร์ ต้องการจะเป็นอาจารย์ก็จะไม่รับเลย รู้สึกว่าเสียเวลา เพราะสุดท้ายแล้วคุณก็จะไปทำงานอื่น"

"เพราะอาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพที่ง่ายโดยเฉพาะASTV แล้วด้วย คุณไม่สามารถมาทำงานแบบพอถึงเวลาก็มาอ่านข่าวให้ฟังเพียงอย่างเดียว เพราะเราเป็นสถานีข่าว เราต้องการคนที่มีศักยภาพ สร้างตังเองได้เร็ว เพื่อที่จะไปทำงานที่มันยากขึ้น ถ้าคนที่ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะทำอาชีพนี้จริงๆ เสียเวลาทั้งเขาทั้งเรา"

"เราก็เลยถามว่าคุณต้องการโตในการทำอาชีพนี้รึเปล่า เป้าหมายของคุณถ้าคุณไม่ต้องการขึ้นเป็นท็อปเท็นของวงการทีวีก็อย่ามาดีกว่า เพราะเราต้องการสร้างคุณให้ถึงระดับนั้น ขณะที่บางคนอาจจะเข้ามาเพราะต้องการมีชื่อเสียงเพื่อที่จะทำงานอย่างอื่นได้ง่ายขึ้น"

พร้อมแนะเด็กรุ่นใหม่ นอกจากจุดยืนของตนเองแล้ว แนวทางของเวทีที่จะให้ยืนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

"อยากให้เขาวิเคราะห์ให้ดี เพราะคนเราจะทำอะไรจะต้องมีความรู้จริงๆ ถ้าต้องการเข้ามาในตลาดคนทำข่าวก็ต้องทำการบ้านว่าช่อง 3, 5, 7, 9,11,ไทยพีบีเอส, ASTV หรือโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องต่างๆ คุณต้องรู้ว่าจุดยืนของแต่ละช่องมีความต่างกันยังไง เส้นทางการเข้าไปทำงานแต่ละช่องต่างกันยังไง"

"เพราะแต่ละที่สไตล์การทำงานไม่เหมือนกันเลย และเขาก็ต้องการให้ไม่เหมือนกันเลย...หรือสนใจแบบ ASTV ถ้ามีจุดยืน มีทางเลือกทางการเมืองชัดเจน คุณไม่ชอบพูดคำว่า “รึเปล่า” “รักกันดีกว่ามั้ย” “อยู่แบบเรียบๆ ไม่ดีกว่าหรือ จะมีปัญหากันทำไม” ถ้าคุณเบื่อคำเหล่านี้ก็มา ASTV เลย สามารถประกาศจุดยืนได้อย่างชัดเจน ลองศึกษาดู"

"คุณจะต้องคิดว่าจะทำตัวให้เป็นสินค้าที่เหมาะกับสถานีแบบไหน คุณต้องเป็นคนที่เลือกบ้าง อย่าทำตัวให้เป็นคนถูกเลือก ทุกวันนี้สินค้าแต่ละตัวไม่ใช่สินค้าที่วางตลาดไหนก็ได้ ไม่ใช่ผ้าสีขาวที่แล้วแต่ใครจะแต้ม ใครจะระบาย คุณต้องเลือก ต้องมุ่งมั่นแล้วศึกษาตลาดให้ดี วิเคราะห์ให้ดี ถ้าคุณไม่ได้ต้องการแค่อ่านข่าวแต่อีก 10 ปีข้างหน้าเชื่อว่าจะสามารถมาเล่าข่าวได้อย่างดี ติดท็อปเท็นของประเทศ คุณอาจจะลำบากแค่ 10 ปีนี้แต่ 10 ปีข้างหน้าไม่มีใครสบายเท่าคุณ คุณก็น่าจะรู้ว่าคุณจะไปที่ไหน"

"ทุกวันนี้ดิฉันก็ยังไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวที่ดี แต่เป็นคนทำงานที่วิเคราะห์ข่าวได้จากการเป็นผู้สื่อข่าวมาเท่านั้นเอง นี่เป็นคำแนะนำที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับน้องๆ เพราะบางครั้งเราอาจจะไม่มีความสุขหรอกกับการทำงาน รู้สึกอึดอัด เราก็ไม่อยากเห็นบุคลากรที่มาทำข่าวแบบซังกะตาย อยากให้คุณมีความสุขกับการทำงานไปตลอดชีวิตในวิชาชีพนี้ จะได้มีคุณูปการกับวงการนี้"
 




กำลังโหลดความคิดเห็น