xs
xsm
sm
md
lg

‘เจ๊เล้ง’ดอนเมือง ...อย่าเรียกฉันว่า‘มาเฟีย’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากเอ่ยชื่อ ‘อารยา อภิสิทธิ์อมรชัยกุล’ คงแทบไม่มีใครรู้จัก แต่ถ้าพูดถึง ‘เจ๊เล้ง ดอนเมือง’ ทุกคนต้องร้องอ๋อ

ด้วยเธอคือเจ้าของธุรกิจจำหน่ายสินค้านำเข้ารายใหญ่ของเมืองไทยที่ลูกค้าแห่แหนกันไปอุดหนุนเพราะจุดเด่นในเรื่องราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด

ที่สำคัญเธอยังได้รับการกล่าวขานว่าเป็น‘มาเฟียดอนเมือง’เนื่องเพราะภาพลักษณ์ในอดีตที่ทำธุรกิจขายสินค้าหนีภาษีทำให้หลายคนเชื่อว่าธุรกิจของเธอเติบโตมาได้เพราะสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายวงการ

เลี่ยงภาษีอย่างไร ไม่ถูกจับ

ณ วันนี้ ‘เจ๊เล้ง’ ยืนยันว่าเธอหันหลังให้กับธุรกิจผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาดแล้ว แม้ความตั้งใจในการทำธุรกิจโดยสุจริตจะทำให้เธอพบกับความยากลำบากมากกว่าเส้นทางมาเฟียก็ตาม

แต่เธอก็ภูมิใจว่าความอดทนและตั้งใจจริงทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งวิ่งขายของในตลาดใหม่ดอนเมืองสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักธุรกิจพันล้านในปัจจุบัน

“ ฉันเริ่มขายของมาตั้งแต่อายุ 14 แต่เริ่มมีคนรู้จักตอนอายุ 40 คือจริงๆคำว่าเจ๊เล้งนี่คนเพิ่งรู้จักเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เขารู้จักก็เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเนี่ยแหล่ะ (หัวเราะร่วน)"

"ช่วงนั้นหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเพิ่งวางแผงฉบับแรก ก็มีนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งมาขอสัมภาษณ์ ตอนนั้นฉันกลัวมากเพราะสมัยนั้นยังขายของหนีภาษีอยู่ ถ้าให้สัมภาษณ์ก็ต้องถูกหน่วยงานราชการเล่นงานแน่ ทั้งศุลกากร สรรพากร ตำรวจ ต้องเข้ามาตรวจสอบ เลยบอกเขาว่าอย่ามาสัมภาษณ์เลย ฉันพูดไม่รู้เรื่องหรอก"

" เขาก็บอกว่าพี่ผมเป็นนักข่าวใหม่ เพิ่งมาทำงานครั้งแรก แล้วหนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็จะออกเป็นฉบับแรก ถ้าพี่ไม่ให้ความร่วมมือผมแย่แน่ ฉันก็ให้สัมภาษณ์ไป ปรากฏว่าเขาไปลงว่าจับเข่าคุยกับเจ้งเล้งถึงกึ๋น เจ้เล้งจ้างแอร์โฮสเตทหิ้วของหนีภาษี โห..เป็นเรื่องใหญ่เลย เขาก็ตั้งให้เป็นเจ้าแม่ของเถื่อน ก็มาจากหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของผู้จัดการเนี่ยแหล่ะ ทำให้ฉันดัง (หัวเราะขำ)"

หลังจากนั้นทุกหน่วยราชการระดมกันมา ฉันก็โดนซะหืดขึ้นคอ บังเอิญสามีฉันเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เราก็เตรียมทำบัญชีไว้แต่แรก คือฉันเป็นคนขายของหนีภาษีที่เตรียมความพร้อม กฎหมายมันมีช่องโหว่ ฉันก็เข้าไปประมูลของหนีภาษีจากกรมศุลกากรเพื่อเอาใบประมูลมาคุ้มครองยืนยันกับเจ้าหน้าที่

แต่ของที่เราขายมันแยกไม่ได้ว่าเป็นของประมูลจริงหรือของที่ลักลอบนำเข้าเอง อีกส่วนหนึ่งเราก็เอาของที่สามารถนำเข้าได้โดยไม่ต้องผ่าน อย.มาขาย อย่างเรานำเข้าผ้า ได้กำไรปีละตั้ง 100 ล้านบาท ก็เอาของหนีภาษีเข้ามา 7 เที่ยว ฉันจะเสียภาษีแค่ 1 เที่ยว เพราะสมัยก่อนมันไม่มีระบบคอมพิวเตอร์ ขายไปแล้วเราไม่ตัดบัญชีก็ได้ เวลายื่นเสียภาษีจะแจ้งยอดขายเท่าไรก็ได้” เจ๊เล้งอธิบายถึงวิธีเลี่ยงภาษีในการทำธุรกิจในยุคแรกๆ

สนิทกับผู้ใหญ่ แต่ไม่เคยส่งส่วย

ด้วยความเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเจ๊เล้งจึงไม่ปฏิเสธถึงสายสัมพันธ์อันอันเหนียวแน่นระหว่างขาใหญ่ดอนเมืองอย่างเธอกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงต่างๆ

เจ๊เล้งยอมรับว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ในระดับบิ๊กๆจริงแต่ไม่เคยวิ่งเต้นส่งส่วยเพื่อให้ผู้ใหญ่เหล่านั้นช่วยปกป้องหรือให้การหนุนหลังในการทำธุรกิจแต่อย่างใด จะมีบ้างก็เป็นน้ำใจที่เธอยินดีหยิบยื่นให้โดยไม่มีใครร้องขอ

“ ยืนยันว่าเจ๊เล้งไม่เคยส่งส่วยใคร ไม่มีเลย แต่ถามว่ามีการคบผู้ใหญ่ไหม เยอะแยะ แต่ไม่เคยให้อะไรผู้ใหญ่ มีแต่ผู้ใหญ่เอ็นดูเมตตา ฉันถึงได้รวยเพราะฉันไม่เคยต้องส่งส่วยใครเลย แต่เอาล่ะ พอถึงวันหนึ่งฉันผงาดขึ้นมา มีสตางค์ ฉันก็เปิดตัวกับหนังสือพิมพ์ว่ามีสตางค์"

" ผู้ใหญ่บางท่านที่เคยช่วยเหลือฉัน ฉันก็จะช่วยเหลือท่านกลับ พี่คะหนูมีตังค์แล้ว หนูช่วยพี่ได้ หนูอยากตอบแทนบุญคุณพี่บ้าง ผู้ใหญ่เขาก็ตกใจ คำว่ามีตังค์น่ะมีแค่ไหนล่ะ คำว่าช่วยได้นี่ช่วยยังไง ฉันก็บอกว่าเอ้า..พี่จะวิ่งพลตำรวจโทเหรอ...หนูมีตังค์ ฉันใส่กล่องให้เลย มากกว่า 7 หลัก ผู้ใหญ่ก็ตกใจ จนเดี๋ยวนี้ฉันก็ยังดูแลอยู่"

" ฉันถึงเป็นคนที่มีผู้ใหญ่เมตตา เขาไม่ได้มาเรียกร้องเราก็ยิ่งยากให้ ส่วนคนที่เรียกร้องเนี่ยเราถือว่าให้แล้วจบ แต่คนที่ไม่เรียกร้องนี่ถือว่าบุญคุณยังไงก็ตอบแทนไม่หมด ฉันเป็นคนไม่เคยลืมบุญคุณคน จนบัดนี้แม้ผู้ใหญ่บางท่านจะเกษียณไปแล้วแต่มีอะไรที่เรา เราก็ช่วยตลอด”

ทำถูกต้องยากกว่าหนีภาษี

เจ๊เล้งบอกกับเราว่าสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจเลิกขายสินค้าหนีภาษีก็เพราะวันนี้ธุรกิจ ‘ร้านเจ๊เล้ง’นั้นเติบใหญ่กลายเป็นธุรกิจพันล้านดังนั้นการบริหารงานจึงต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของบริษัท อีกทั้งการนำเข้าสินค้าภายใต้กรอบกฎหมายยังทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานของสินค้าอีกด้วย

“ ตอนเริ่มขายของใหม่ๆ ฉันมีทุนแค่พันกว่าบาท ก็มุมานะทำมาเรื่อย จนเดี๋ยวนี้มีเป็นพันล้านแล้ว เราจะทำผิดกฎหมายเหมือนแต่ก่อนก็อยู่ไม่ได้ ตอนนี้ฉันทำอย่างถูกต้องหมด"

" แต่น่าแปลกว่าพอเราเสียภาษีถูกต้องกลับทำธุรกิจยากกว่าตอนหนีภาษี เพราะคำว่าเจ๊เล้งนี่ทำให้ศุลกากรเข้ามาตรวจสอบทุกกระเบียดนิ้ว เข้ามาตรวจร่วมทุกครั้ง"

" จนฉันต้องเข้าไปหาผู้ใหญ่ในกรมศุลกากร ก็ถามเขาว่า เอ๊ะ..ทำแบบนี้จะไม่ให้คนได้ผุดได้เกิดเหรอ คนที่เคยหนีภาษีแต่วันนี้กล้าเข้ามาให้ตรวจสอบน่ะเขาจะทำอะไรผิดเหรอ ตรวจร่วมกลัวไหม ไม่กลัว แต่ว่ามันเสียเวลา สินค้าบางอย่าง เช่น อาหาร มันโดนความร้อนไม่ได้ ต้องรีบเอามาเก็บในตู้เย็น บางทีรื้อของเราจนแตกเสียหาย"

"ทำแบบนี้เราลำบากมาก แต่คนที่หนีภาษีจริงๆกลับสบาย ไม่โดนตรวจสอบ แล้วไม่ใช่นำเข้ามาเล็กๆน้อยนะ เป็นรายใหญ่ นำเข้ามาเป็นตู้ๆ แต่เขาไม่เสียภาษีเพราะส่งส่วย แต่เราเสียภาษีถูกต้องกลับโดนตรวจสอบ ” เจ๊เล้ง พูดถึงอุปสรรคในการนำเข้าสินค้าอย่างถูกกฎหมายด้วยความคับแค้นใจ

อดีตเจ้าแม่ค้าของเถื่อนยังออกตัวว่าเธอนั้นไม่ใช่มาเฟียอย่างที่หลายคนเข้าใจและให้สมญานาม

“ คนก็มองว่าฉันเป็นมาเฟีย แต่จริงๆไม่ใช่ แม้แต่ลูกสาวฉัน หนุ่มๆจะมาจีบก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าฉันจะถือปืนไล่ยิง (หัวเราะ) เขากลัวฉันกันทุกคน ทุกคนมองภาพเจ๊เล้งว่าอยู่บ้านนี่ถือปืนกระบอกหนึ่ง ทาปากแดงๆ หัวหยิก เดินลากเกี๊ยะทั้งวัน ถ้าถามว่าเครียดไหมที่มีคนมาเรียกฉันว่ามาเฟีย ก็ไม่เครียดนะ เพราะเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น” เจ๊เล้งกล่าวตบท้ายอย่างอารมณ์ดี


กำลังโหลดความคิดเห็น