xs
xsm
sm
md
lg

บทสนทนาของความคิด กับ ๖ ศิลปินแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๐

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“... ผมว่าในทุกสาขาวิชาชีพ ไม่ใช่เฉพาะสถาปัตย์นะ จงเป็นคนดีเสียก่อน แล้วค่อยเป็นสถาปนิกที่เก่ง เป็นคนดีเสียก่อน แล้วเป็นนักการเมืองที่เก่ง เป็นคนดีเสียก่อน แล้วเป็นวิศวกรที่เก่ง หรือเป็นคนดีเสียก่อน แล้วค่อยเป็นหมอที่เก่ง เพราะว่าคุณธรรมจะต้องเป็นเรื่องที่นำการตัดสินใจในสาขาวิชาชีพแต่ละอย่าง ถ้าเป็นคนมีคุณธรรมแล้ว จะแยกแยะเป็น ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรที่เป็นประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ก็ละเว้นการกระทำแบบนั้นเสีย เพราะเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ยิ่งมีความเห็นแก่ตัวมากเท่าไหร่ สังคมก็จะไม่เป็นสุข…”

เมื่อถามถึงปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จในวิชาชีพ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา หรือ “อาจารย์กฤษฎา” ของผู้คนจำนวนมาก กล่าวกับพวกเราอย่างนี้

กว่าจะถึงวันนี้ คงเป็นที่ทราบกันแพร่หลายแล้วว่าพวกเราคนไทยเพิ่งจะมีศิลปินแห่งชาติเพิ่มขึ้นอีก ๖ ท่าน จากการคัดสรรและประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติประจำปี ๒๕๕๐ โดยคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) ซึ่งได้มีการประกาศผลการพิจารณากันไป เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา และศิลปินแห่งชาติปีล่าสุดทุกท่านได้เข้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานโล่และเข็มเชิดชูเกียรติจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันศิลปินแห่งชาติ ๒๔ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สำหรับศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ 3 ท่าน ประกอบด้วยศาสตราจารย์เดชา วราชุน ในด้านศิลปะภาพพิมพ์และสื่อผสม กับคุณยรรยง โอฬาระชิน ในด้านศิลปะภาพถ่าย และศาสตราจารย์กิตติคุณ ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ในด้านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ส่วนสาขาวรรณศิลป์นั้น คุณโกวิท เอนกชัย เจ้าของนามปากกา “เขมานันทะ” ได้เป็นศิลปินแห่งชาติด้านกวีนิพนธ์ บทความ นวนิยาย และสำหรับสาขาศิลปะการแสดง เราก็มีร้อยโทชาญ บัวบังศร หรือ “ชาญชัย บัวบังศร” ในด้านนักดนตรีและนักประพันธ์เพลง กับคุณนครินทร์ ชาทอง ในด้านการแสดงหนังตะลุง

หากจะกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ในบรรดาศิลปินแห่งชาติที่ประกาศเชิดชูเกียรติกันมาทุกปีนั้น แม้หลายท่านจะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของสาธารณชนทั่วทั้งประเทศ แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่มีชื่อเสียงผลงานเป็นที่รู้จักกันอยู่เพียงในวงจำกัด ซึ่งก็อาจเป็นเพราะธรรมชาติของงานที่ท่านทำนั้น เป็นงาน “เบื้องหลัง” เสียเป็นส่วนใหญ่ หรืออีกบางท่านก็เป็นที่รู้จักกันเฉพาะในบางภูมิภาค ด้วยผลงานของท่านนั้นมีลักษณะเป็นงานเฉพาะถิ่น เฉพาะวัฒนธรรม หรือเฉพาะกลุ่มรสนิยม

ผู้คนทางภาคเหนือ ไม่ค่อยจะ “อิน” กับศิลปินแห่งชาติด้านมโนห์ราฉันใด พี่น้องชาวใต้ก็คงไม่ค่อยจะรู้สึก “ใกล้ชิด” กับศิลปินแห่งชาติด้านหมอลำฉันนั้น ในขณะเดียวกัน จะให้หนุ่มไทยหัวใจลูกทุ่งรู้สึก “คุ้นเคย” กับศิลปินแห่งชาติด้านดนตรีคลาสสิกก็เห็นจะยากสักหน่อย แม้ในใจของแต่ละคนจะตระหนักอยู่ก็ตามที ว่าคุณูปการต่อส่วนรวมที่ศิลปินแห่งชาติแต่ละท่าน ไม่ว่าในสาขาใดแขนงใดได้เคยสร้างสมมาตลอดชีวิตนั้น ควรค่าแล้วแก่การยกย่องคารวะ

แต่บุคคลเจ้าของความสำเร็จในระดับได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาตินั้น ใครได้มีโอกาสสนทนากับท่านก็จะพบว่า แต่ละท่านจะมีดีอยู่เพียงฝีมือและผลงานในเชิงศิลปะด้านใดด้านหนึ่งก็หาไม่ หากยังเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ มีความลุ่มลึกเฉียบคมของความคิดและมุมมอง ที่ใครๆ ก็สามารถเรียนรู้และได้รับแรงบันดาลใจจาก “ผลึกความคิด” ของแต่ละท่านเหล่านี้

ยิ่งกว่านั้น การสนทนากับศิลปินแห่งชาติล่าสุดทั้ง ๖ ท่าน ก็ทำให้ได้ข้อสังเกตว่า เอาเข้าจริง บุคคลเจ้าของความสำเร็จในระดับนี้ จะมีลักษณะทางความคิดร่วมกันหลายประการ ไม่ว่าแต่ละท่านจะมีภูมิหลัง ความเชี่ยวชาญ หรือเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ต่างกันเพียงไหนก็ตาม

“... คนที่จะทำงานศิลปะให้ประสบความสำเร็จได้นี่ มันเหมือนกับว่าเราต้องมีความอัดอั้นในตัวเรา มันเหมือนมีภูเขาไฟในตัวเรา ที่มันอยากจะระเบิดออกมา เพราะฉะนั้นการทำงานมันต้องทำมาจากตัวเรา จากความชอบของเรา อยากจะแสดงอะไรออกมาก็ให้แสดงให้ถึงที่สุด แล้วไอ้ที่สุดของมันก็จะเป็นงานศิลปะ แต่ถ้าสมมติว่าเรามีเป้าหมายในเรื่องรางวัล เรื่องอามิสสินจ้างนี่ ผมคิดว่ามันก็จะเป็นสิ่งทำให้เกิดการบั่นทอนความเป็นศิลปะของตัวงานนั้น ถ้าเราทำให้มันเป็นศิลปะเสียก่อนนี่ เมื่อเขามีการประกวด เราก็ส่งงานเข้าประกวด หรือใครจะมาซื้อ มาขาย มันก็เป็นผลจากการที่มันเป็นงานศิลปะแล้ว ไม่ใช่ว่าใครมาสั่งให้เราทำ ทำแบบนั้นแบบนี้...”

คำบอกเล่าของศาสตราจารย์เดชาข้างต้น จะว่าไปก็คล้ายกับคำกล่าวของศิลปินแห่งชาติท่านอื่นๆ ในแง่ของการมีศรัทธาแน่วแน่ต่อการสร้างสรรค์ผลงานที่ดี โดยไม่มัวมุ่งเป้าหมายไปที่ผลตอบแทนในแง่ชื่อเสียงเงินทอง ซึ่งจะตามมาเองในภายหลัง เช่นในกรณีของคุณยรรยงและงานสร้างสรรค์ภาพถ่ายของท่าน

“... ถ้าทำงานเพื่อการพาณิชย์ เราต้องใช้เวลาจำกัด ใช้วัสดุจำกัด ใช้น้ำยาจำกัด น้ำยาลิตรหนึ่งอาจใช้ล้างรูปสัก 20 รูป ดังนั้นรูปที่ 20 นั้น คุณภาพมันก็ด้อยลง แต่ถ้าจะทำให้มันเป็นงานศิลปะ อาจใช้น้ำยาลิตรหนึ่งล้างแค่ 5-6 รูป แล้วก็ทิ้ง รูปนี้ขยายมาแล้ว เราไม่ชอบ เราฉีกทิ้งไป เพราะว่าอาจารย์ที่จะเป็นอาจารย์เอกของเรา คือ ’ตะกร้า’ ที่จะรองรับรูปที่เราทำเสีย อาจารย์รัตน์ เปสตันยี เป็นผู้บัญญัติคำนี้ไว้ คือการที่เราทำแล้วรูปมันเสียนี่ เราก็จะได้แนวคิด ว่าเราต้องทำใหม่อย่างไร การฉีกทิ้งแล้วทำใหม่นี่ มันคือประสบการณ์ ...”

“แหล่งพลังงาน” ที่ผลักดันการทำงานที่ดีนั้นก็คือแรงดลใจ อันมีรายละเอียดที่มาที่แตกต่างกันไปในแต่ละท่าน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือการไม่ได้เพียงคิดแค่จะทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่มุ่งมั่นที่จะสร้าง “สิ่งพิเศษ” โดยใช้วิชาชีพเป็นเครื่องมือ


“... ระหว่างเรียนที่ MIT ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อเรียนจบวิชาขั้นพื้นฐาน ถึงช่วงที่เราจะต้องเลือกคณะสำหรับเรียนต่อนั้น เขาให้เราไปฟังคณบดีคณะต่างๆ กล่าวถึงความน่าสนใจของแต่ละคณะ ผมก็ไปฟัง คณะวิศวะหลายคณะเขาก็บอกทำนองว่า เป็นวิศวกรไฟฟ้านี่มันดีนะ เป็นการเรียนวิศวกรรมที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนั้น ด้านไฟฟ้านี้มันก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อน ทางวิศวกรโครงสร้างก็บอกว่าเขาก็ดี เพราะยุคนั้นกำลังมีการพัฒนาตึกสูงอะไรต่อมิอะไรกันเยอะ

“พอมาถึงคณะสถาปัตย์ คณบดีซึ่งเป็นชาวอิตาลีชื่อ Pietro Belluschi เขาพูดเรื่องสถาปัตยกรรม ผมก็ไปฟังด้วยเพราะผมชอบวาดรูป เขาก็เริ่มด้วยการบอกว่าสถาปนิกนี่หากินลำบากนะ เพราะว่างานนี้ไม่เหมือนวิศวะ งานวิศวะนี่เวลาเราทำอะไรเราคิดอะไรขึ้นมาได้ เราสามารถตั้งบริษัท แล้วเราก็หาผู้จัดการจากที่ไหนก็ได้ มาดำเนินการผลิตสินค้าของเรา แล้วของพวกนั้นก็จะทำเงินให้เราได้ โดยตัวเราไม่ต้องไปทำงานเองโดยตลอด


“ส่วนสถาปนิกนี่ ตราบใดที่ยังทำงานอยู่ มันจะต้องทำงานอยู่ตลอดไป เพราะโครงการที่จะทำ มันจะเป็นโครงการใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น การที่จะทำอะไรให้เด่น แล้วหากินบนงานนั้นไปตลอดแบบวิศวะนี่ไม่มี แล้วนอกจากนั้นในประวัติศาสตร์ก็ยังไม่มีใครเป็นสถาปนิกแล้วร่ำรวย ผมก็คิดว่า เออ...นี่มันคณบดีบ้าอะไรวะ มาเล่าให้ฟังว่าคณะมันนี้ไม่น่าเรียนอย่างไร แล้วเขาก็ทิ้งท้ายว่า แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบศิลปะ แล้วก็อยากทำงานอะไรที่มีคุณค่ากับมนุษยชาติได้ยาวนานกว่าชีวิตของคุณเอง มันไม่มีวิชาการใดหรือวิชาชีพใดที่จะให้เลือก นอกจากเป็นสถาปนิก เพราะงานของสถาปนิกนั้น ถ้าดีจริง จะอยู่ไปเป็นร้อยเป็นพันปีก็มี อันนี้แหละที่สะกิดใจผม...”

แรงดลใจของอาจารย์กฤษฎา เกิดขึ้นระหว่างการศึกษาร่ำเรียนในต่างประเทศ ในขณะที่แรงดลใจของคุณนครินทร์มีที่มาจากกลิ่นอายวัฒนธรรมและประสบการณ์ชีวิตวัยเยาว์ในชนบท หากสิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างกันก็คือ ศรัทธาในการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น

“...นายหนังตะลุงต้องเป็นคนที่ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ต้องใฝ่รู้ตลอดเวลา เรื่องธรรมะธัมโมนี่ เพราะเขาบอกว่าการเล่นหนังตะลุงก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งในการเผยแพร่ธรรมะ ธรรมะบางอย่าง ฟังจากพระคุณเจ้านี่เราก็ฟังเป็นประเพณี แต่ถ้าหากว่าผ่านสื่อนี่ อย่างน้อยคนที่มาฟัง ได้ซึมซับรับรู้ ได้มีความบันเทิงไปด้วย เล่นหนังตะลุงนี่ก็เพื่อเผยแพร่ธรรมะไปด้วย เพราะฉะนั้นนายหนังตะลุงนี่ ต้องเรียนรู้ทั้งคดีโลกและคดีธรรม

“เราเรียนกฎหมายเพื่อจะเอามาใช้ในบางอย่างของหนังตะลุง ไม่ได้เอามาใช้ว่าความ เราเรียนเศรษฐกิจเพื่อเอามาใช้เตือนสติชาวบ้าน อย่างเช่นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงนี่ ต้องให้ประชาชนเข้าใจ ให้มันลุ่มลึกให้เข้าใจถึงพื้นฐาน ว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ไม่ใช่ถึงกับอดอยากยากจน นายหนังก็ต้องศึกษาตรงนี้ ต้องให้คติ ปรัชญา ให้ด้านศีลธรรม จริยธรรม อย่างเช่นว่าบทแม่สอนลูก แม่สอนลูกว่าต้องรักนวลสงวนตัว คนที่พาลูกผู้หญิงไปดูก็ชี้ให้ดูนางคนนี้ ดูแม่เขาสอนลูก ลูกต้องเอาเยี่ยงอย่าง เด็กๆ ก็ซึมซับรับรู้ เพราะหนังตะลุงนี่มันผ่านกระบวนการทางความคิดนะครับ นอกจากนั้น ก็มีการสะท้อนสังคม เรื่องโกงกิน ใครทำตัวเกเรนี่ หนังตะลุงก็สะท้อนให้เห็น ได้เป็นครูของสังคมอย่างหนึ่ง ซึ่งผมภูมิใจ ผมจำได้ว่าผมไปเล่นหนังตามบ้านนอกนี่ ชาวบ้านนี่มีความรู้จากหนังตะลุงจากโนราห์นี่ เยอะนะครับ เพราะว่าคนบ้านนอกคอกนานี่ ไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปศึกษาในระดับสูงๆ ขึ้นไป แต่ได้ซึมซับรับรู้จากหนังตะลุง ...”

ในบรรดาศิลปินแห่งชาติทั้ง ๖ ท่านของปีนี้ กล่าวได้ว่าคุณโกวิทมีภูมิหลังทางความคิดที่แตกต่างจากท่านอื่นๆ อย่างมาก ด้วยท่านเคยอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่นานถึง ๑๖ ปี ขณะจำพรรษาที่สวนโมกขพลารามนั้น ได้สร้างสรรค์งานพุทธศิลป์เอาไว้เป็นจำนวนมาก ดังปรากฏอยู่ทั้งในโรงมหรสพทางวิญญาณและในบริเวณอื่นๆ ของสวนโมกข์ฯ มาจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งงานเขียนที่ท่านสร้างสรรค์ขึ้นตั้งแต่ระหว่างถือเพศบรรพชิต กระทั่งลาสิกขาบทออกมาใช้ชีวิตอย่างฆราวาส เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่ท่านได้รับจากพลังศรัทธาและการแสวงหาทางจิตวิญญาณ สู่ผู้คนในวงกว้าง

“... ทุกศาสนา ผมเชื่อว่ามีคำสอนดีๆ แต่ผมรู้สึกว่าผมใกล้ชิดกับคำสอนของพระพุทธองค์มากกว่า ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าผมรู้แจ้งเห็นจริง ประจักษ์แจ้งแล้ว ไม่ใช่นะ เพียงแต่รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างซึ่งพระองค์ต้องการจะบอกเล่า และต้องเป็นธรรมชาติที่ง่ายดาย และทุกคนเข้าถึงได้ เพราะเป็นสากล คำสอนของท่านเริ่มต้นด้วยวิทยาศาสตร์ ความจริงอันประเสริฐที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ ผมรู้สึกว่าพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีถ้อยคำจะพูดครับ สวยงามจริงๆ...”

ศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปะบริสุทธิ์ เช่นศาสตราจารย์เดชานั้น วิธีคิดในการสร้างสรรค์ผลงานย่อมคำนึงถึงความงามสมบูรณ์พร้อมขององค์ประกอบศิลป์เป็นหลักใหญ่ แต่ยังมีศิลปินท่านอื่นๆ อีกมาก ที่สร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบสนองความนิยมชมชอบของมหาชน จึงย่อมต้องรู้จักรู้ใจผู้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเสพงานสร้างสรรค์ของท่านเป็นสำคัญ ซึ่งความเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอื่นๆ ที่อาจเรียกง่ายๆ ว่าเป็น “ความเข้าใจมนุษย์” นั้น นับเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของศิลปินส่วนใหญ่ แม้จะเป็นศิลปินในสาขาที่โดยปกติแล้วไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจำนวนมากโดยตรง เช่นงานด้านออกแบบสถาปัตยกรรมของอาจารย์กฤษฎาก็ตาม

“...ผมดูๆ ไปแล้ว สถาปนิกนี้ก็เหมือนนักประพันธ์ ที่เขาเก็บเรื่องเล็กๆ เก็บนิสัยของคนแต่ละคนที่เขารู้จัก ใส่สมุดบันทึกของเขาเอาไว้ แล้วเวลาเขาจะประพันธ์เป็นเรื่องนี่ เขาจะมีคนแบบไหนในเรื่อง เขาจะเลือกมาจากบันทึกของมนุษย์จริงๆ ที่เขาทำเอาไว้ นี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะต้องเข้าใจความต้องการของคน เพราะว่าสถาปนิกจะสร้างโรงแรมสักแห่งหนึ่งนี่ ไม่ใช่ตามใจแต่เจ้าของโรงแรมอย่างเดียว แต่จะต้องให้คนที่มาอยู่ Presidential Suite ซึ่งราคา 5 หมื่น 6 หมื่นนี่พอใจด้วย

“ในขณะเดียวกัน คนที่จ่ายค่าเช่าห้องธรรมดาๆ ก็ต้องมีความพึงพอใจได้เหมาะสมกับเงินทองที่จ่ายไป แล้วก็ต้องเป็นของที่บริหารได้ เพื่อให้ผู้จัดการโรงแรมบริหารได้ ไม่เกิดปัญหา จะต้องมีครัวที่ระบายอากาศได้ดี คนทำครัวต้องไม่ร้อนเกินไป มีที่ทิ้งขยะที่ลับตาแต่ว่าขนถ่ายสะดวก คือต้องทำใจให้เป็นคนที่มีหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่คนทิ้งขยะไปจนถึงคนพัก Presidential Suite ทำใจให้เป็นคนที่ใช้อาคารทั้งในและนอกอาคาร คำว่านอกอาคารก็คือมองเห็น แม้ไม่ได้เข้าไปใช้ แล้วก็ต้องทำอาคารนั้นให้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ควบคุมให้อยู่ในงบประมาณที่ไม่เกินเลย เราจะได้ทำงานสถาปัตยกรรมที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงในระยะยาวนานพอสมควร นอกจากนั้น สิ่งสุดท้ายก็คือการที่จะรักษาบุคลิกของผลงาน ซึ่งเป็นแนวทางเฉพาะตัวของสถาปนิกเอง...”

บทสนทนากับศิลปินแห่งชาติแต่ละท่าน นำมาสู่บทลงเอยที่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว แรงดลใจและเจตนารมณ์ของแต่ละท่าน ล้วนนำมาสู่การสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญอย่างเดียวกัน นั่นคือความเป็นเอกของจินตนาการ และความกล้าหาญที่จะบุกเบิกเส้นทางใหม่ เพื่อถากถางทางให้คนรุ่นหลังได้ก้าวตาม

“...คนเป็นนักแต่งเพลงต้องมีจินตนาการ ละเอียดอ่อน เพลงสมัยก่อนนี้ เขาแต่งแล้วมันละเอียดอ่อน ตั้งแต่ทำนอง เนื้อร้อง คนอื่นเขาแต่งอย่างเดียว ลูกทุ่งเขาก็แต่งลูกทุ่ง ลูกกรุงเขาก็แต่งลูกกรุง ผมแต่งทั้งลูกทุ่งและลูกกรุง ผมเป็นคนอย่างนี้ คืออยากจะทำอะไร ต้องทำให้ดี ทำให้แปลก นี่คือนิสัยผม ผมจะทำงานที่ไม่ซ้ำแบบใคร นี่คือการทำงานของผม...”

ร.ท.ชาญ ผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงทั้งลูกทุ่งและลูกกรุงในหลายบทบาท สร้างปรากฏการณ์ในวงการเพลงมาหลายครั้ง ฝากบทเพลงต่างๆ เอาไว้เป็นมรดกความบันเทิงของสาธารณชนนับหลายหมื่นเพลง กล่าวทิ้งท้ายบทสนทนาระหว่างท่านกับพวกเราไว้เช่นนี้

*********





กำลังโหลดความคิดเห็น