ปรัชญาการทำงานแบบ “เจแปนเวย์” ผ่านมุมมองของผู้บริหารชาวไทย ซึ่งผ่านประสบการณ์ทำงานกับชาวญี่ปุ่นมานานกว่า 10 ปี.....โดย ดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัทอิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด

ตอนที่ 34
เมื่อ “สมอของโลก” อย่างญี่ปุ่นถูกดึงขึ้น คลื่นการเงินทั้งโลกก็เปลี่ยนทิศทันที ดอกเบี้ยที่เคยถูก สภาพคล่องที่เคยล้น ความเสี่ยงที่เคยคุมได้ วันนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
ปี 2025–2026 คือช่วงที่โลกต้องหาสมดุลใหม่ และนักลงทุนต้อง “เปลี่ยนกรอบความคิด” เหมือนเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เพราะใช้วิธีคิดยุคเก่า…จะพังทันที นี่คือ 5 หลักยุทธศาสตร์ที่ผมอยากฝากให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ
1) ยอมรับความจริงว่า “ยุคดอกเบี้ยต่ำถาวร” จบแล้ว
นี่คือจุดเริ่มต้นของความอยู่รอด เพราะคนจำนวนมากยัง “ปฏิเสธความจริง” คิดว่า เดี๋ยวดอกเบี้ยจะกลับมาลง คิดว่าตลาดจะกลับไปเหมือนก่อน แต่เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเจ้าหนี้ของโลก ประเทศต้นกำเนิดของเงินต้นทุนต่ำ หันกลับมาให้ JGB yield 2–3% โลกทั้งใบต้องรีเซ็ตต้นทุนเงินใหม่
แปลว่า หุ้นเติบโตเร็วโดยไม่ทำกำไร จะอยู่ยาก อสังหาที่ใช้ leverage สูงพังง่ายขึ้น พอร์ตที่รองรับแต่สภาพคล่องสูง จะไม่รอดและยุคหน้าผู้รอดชีวิตต้องเป็นคนที่ “เชื่อในตัวเลขมากกว่าเชื่อความหวัง”
2) ถือเงินสดมากขึ้น เหมือนถืออาวุธลับ
ในโลกที่ carry trade ถูก unwind ในโลกที่สภาพคล่องไหลย้อนกลับญี่ปุ่น Cash ไม่ใช่ของตาย แต่มันคือกระสุนในสงครามการเงิน เงินสดมากพอจะช่วยรับมือความผันผวน ซื้อสินทรัพย์ดีในวันที่คนอื่นถูกบังคับขาย และป้องกันตัวเองจากการต้องขายของดีเพราะติดสภาพคล่อง
ปีข้างหน้า “คนที่มีเงินสด” จะได้ราคาดีที่สุดในสินทรัพย์หลายประเภท เพราะคนที่ใช้ leverage จะต้องขาย ไม่ใช่เพราะอยากขาย แต่เพราะเขา “ถูกบังคับให้ขาย”
3) ลดเลเวอเรจ (Leverage) ลง 50–70%
โลกเคยชินกับสภาพคล่องล้น ใครยืมก็ได้ ใครซื้อก็ได้ ใครเสี่ยงก็รอด แต่โลกหลังญี่ปุ่นตื่นขึ้น เลเวอเรจกลายเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด เพราะดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้ต้นทุนสูง ญี่ปุ่นจะทำให้เงินไหล เข้าประเทศหลายแสนล้านดอลลาร์ ราคาสินทรัพย์จะผันผวน
ดังนั้นหากยังใช้เลเวอเรจเท่าเดิม จะทำให้ พอร์ตเสี่ยงล้มทั้งชุด ปีนี้ “คนที่อยู่รอด” ไม่ใช่คนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือคนที่ “หลีกเลี่ยงการล้มก่อนคนอื่น”
4) กระจายสินทรัพย์ (Diversify) แบบเข้าใจโครงสร้างโลกจริง ๆ
ในยุคก่อน กระจาย 60:40 หุ้น–บอนด์ แต่ในยุคนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะทั้งหุ้นและบอนด์ต่างก็เจอแรงขายจากเงินไหลกลับญี่ปุ่น Fed ลดการอัดฉีดสภาพคล่อง และ Yield สหรัฐกับญี่ปุ่นบีบเข้าหากัน
ดังนั้นการกระจายทรัพย์ต้องลึกกว่าเดิม เช่นทองคำ (ป้องกันดอกเบี้ยสูง + carry unwinding) พลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์หุ้นที่มี Free Cash Flow สูง และมีตลาดที่ไม่ได้พึ่งญี่ปุ่นมากนักรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่พึ่งเลเวอเรจ ยุคนี้ไม่ต้องถือทุกอย่าง แต่ต้องถือให้ “สมดุลกับความเปลี่ยนแปลงของโลก”
5) เตรียมใจรับความผันผวนระดับ “มหาสมุทร”
ปี 2025–2026 จะเป็นปีที่กราฟตลาดเหวี่ยงแบบไร้ความปรานีขึ้นแรง ลงแรง เด้งเร็ว ดิ่งเร็ว ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจพื้นฐานแย่แต่เพราะ “แรงบังคับขาย” (forced liquidation) จะเป็นตัวเดินเกม
มีเงินไหลเข้า–ออกเป็นแสนล้านดอลลาร์ เพียงเพราะประเทศหนึ่งปรับดอกเบี้ย 0.25% นี่คือโลกใหม่ โลกที่เงินไหลเร็วกว่าสติของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ ผู้ที่มีโอกาสรอดคือคนที่ไม่ตื่นตระหนก ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ไล่ราคาตลาด และวางแผนก่อนวิกฤต ไม่ใช่ระหว่างวิกฤต
บทสรุป
โลกใหม่ไม่รอคนที่ยังคิดแบบเดิม และญี่ปุ่นเพิ่งเป็นคนตีระฆังให้เราตื่น วิกฤตที่กำลังจะมาไม่ใช่เรื่องของ “ตลาด” อย่างเดียว แต่คือเรื่องของ “ความเชื่อ” และระบบการเงินทั้งโลกกำลังค้นพบว่า
ความเชื่อที่ว่า “ญี่ปุ่นจะคงดอกเบี้ยศูนย์ตลอดไป” คือ สมมติฐานที่ผิดพลาดที่สุดในรอบ 30 ปี และเมื่อสมมติฐานหนึ่งตาย โลกจะต้องรีเซ็ตทั้งวิธีคิดและวิธีลงทุน ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ดีที่สุด แต่เป็นปีที่ “คนที่อ่านเกมทัน” จะมีโอกาสดีที่สุดในรอบทศวรรษ
ตอนที่ 34
เมื่อ “สมอของโลก” อย่างญี่ปุ่นถูกดึงขึ้น คลื่นการเงินทั้งโลกก็เปลี่ยนทิศทันที ดอกเบี้ยที่เคยถูก สภาพคล่องที่เคยล้น ความเสี่ยงที่เคยคุมได้ วันนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
ปี 2025–2026 คือช่วงที่โลกต้องหาสมดุลใหม่ และนักลงทุนต้อง “เปลี่ยนกรอบความคิด” เหมือนเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เพราะใช้วิธีคิดยุคเก่า…จะพังทันที นี่คือ 5 หลักยุทธศาสตร์ที่ผมอยากฝากให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ
1) ยอมรับความจริงว่า “ยุคดอกเบี้ยต่ำถาวร” จบแล้ว
นี่คือจุดเริ่มต้นของความอยู่รอด เพราะคนจำนวนมากยัง “ปฏิเสธความจริง” คิดว่า เดี๋ยวดอกเบี้ยจะกลับมาลง คิดว่าตลาดจะกลับไปเหมือนก่อน แต่เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเจ้าหนี้ของโลก ประเทศต้นกำเนิดของเงินต้นทุนต่ำ หันกลับมาให้ JGB yield 2–3% โลกทั้งใบต้องรีเซ็ตต้นทุนเงินใหม่
แปลว่า หุ้นเติบโตเร็วโดยไม่ทำกำไร จะอยู่ยาก อสังหาที่ใช้ leverage สูงพังง่ายขึ้น พอร์ตที่รองรับแต่สภาพคล่องสูง จะไม่รอดและยุคหน้าผู้รอดชีวิตต้องเป็นคนที่ “เชื่อในตัวเลขมากกว่าเชื่อความหวัง”
2) ถือเงินสดมากขึ้น เหมือนถืออาวุธลับ
ในโลกที่ carry trade ถูก unwind ในโลกที่สภาพคล่องไหลย้อนกลับญี่ปุ่น Cash ไม่ใช่ของตาย แต่มันคือกระสุนในสงครามการเงิน เงินสดมากพอจะช่วยรับมือความผันผวน ซื้อสินทรัพย์ดีในวันที่คนอื่นถูกบังคับขาย และป้องกันตัวเองจากการต้องขายของดีเพราะติดสภาพคล่อง
ปีข้างหน้า “คนที่มีเงินสด” จะได้ราคาดีที่สุดในสินทรัพย์หลายประเภท เพราะคนที่ใช้ leverage จะต้องขาย ไม่ใช่เพราะอยากขาย แต่เพราะเขา “ถูกบังคับให้ขาย”
3) ลดเลเวอเรจ (Leverage) ลง 50–70%
โลกเคยชินกับสภาพคล่องล้น ใครยืมก็ได้ ใครซื้อก็ได้ ใครเสี่ยงก็รอด แต่โลกหลังญี่ปุ่นตื่นขึ้น เลเวอเรจกลายเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด เพราะดอกเบี้ยสูงขึ้นทำให้ต้นทุนสูง ญี่ปุ่นจะทำให้เงินไหล เข้าประเทศหลายแสนล้านดอลลาร์ ราคาสินทรัพย์จะผันผวน
ดังนั้นหากยังใช้เลเวอเรจเท่าเดิม จะทำให้ พอร์ตเสี่ยงล้มทั้งชุด ปีนี้ “คนที่อยู่รอด” ไม่ใช่คนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือคนที่ “หลีกเลี่ยงการล้มก่อนคนอื่น”
4) กระจายสินทรัพย์ (Diversify) แบบเข้าใจโครงสร้างโลกจริง ๆ
ในยุคก่อน กระจาย 60:40 หุ้น–บอนด์ แต่ในยุคนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะทั้งหุ้นและบอนด์ต่างก็เจอแรงขายจากเงินไหลกลับญี่ปุ่น Fed ลดการอัดฉีดสภาพคล่อง และ Yield สหรัฐกับญี่ปุ่นบีบเข้าหากัน
ดังนั้นการกระจายทรัพย์ต้องลึกกว่าเดิม เช่นทองคำ (ป้องกันดอกเบี้ยสูง + carry unwinding) พลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์หุ้นที่มี Free Cash Flow สูง และมีตลาดที่ไม่ได้พึ่งญี่ปุ่นมากนักรวมถึงสินทรัพย์ที่ไม่พึ่งเลเวอเรจ ยุคนี้ไม่ต้องถือทุกอย่าง แต่ต้องถือให้ “สมดุลกับความเปลี่ยนแปลงของโลก”
5) เตรียมใจรับความผันผวนระดับ “มหาสมุทร”
ปี 2025–2026 จะเป็นปีที่กราฟตลาดเหวี่ยงแบบไร้ความปรานีขึ้นแรง ลงแรง เด้งเร็ว ดิ่งเร็ว ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจพื้นฐานแย่แต่เพราะ “แรงบังคับขาย” (forced liquidation) จะเป็นตัวเดินเกม
มีเงินไหลเข้า–ออกเป็นแสนล้านดอลลาร์ เพียงเพราะประเทศหนึ่งปรับดอกเบี้ย 0.25% นี่คือโลกใหม่ โลกที่เงินไหลเร็วกว่าสติของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ ผู้ที่มีโอกาสรอดคือคนที่ไม่ตื่นตระหนก ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ไล่ราคาตลาด และวางแผนก่อนวิกฤต ไม่ใช่ระหว่างวิกฤต
บทสรุป
โลกใหม่ไม่รอคนที่ยังคิดแบบเดิม และญี่ปุ่นเพิ่งเป็นคนตีระฆังให้เราตื่น วิกฤตที่กำลังจะมาไม่ใช่เรื่องของ “ตลาด” อย่างเดียว แต่คือเรื่องของ “ความเชื่อ” และระบบการเงินทั้งโลกกำลังค้นพบว่า
ความเชื่อที่ว่า “ญี่ปุ่นจะคงดอกเบี้ยศูนย์ตลอดไป” คือ สมมติฐานที่ผิดพลาดที่สุดในรอบ 30 ปี และเมื่อสมมติฐานหนึ่งตาย โลกจะต้องรีเซ็ตทั้งวิธีคิดและวิธีลงทุน ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ดีที่สุด แต่เป็นปีที่ “คนที่อ่านเกมทัน” จะมีโอกาสดีที่สุดในรอบทศวรรษ


