xs
xsm
sm
md
lg

การปฏิรูปรูปแบบการทำงานของญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ปรัชญาการทำงานแบบ “เจแปนเวย์” ผ่านมุมมองของผู้บริหารชาวไทย ซึ่งผ่านประสบการณ์ทำงานกับชาวญี่ปุ่นมานานกว่า 10 ปี...โดย ดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล 
ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัทอิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด 


ตอนที่ 27

ญี่ปุ่นเคยเป็นประเทศที่ทั้งโลกยกย่องเรื่อง “วินัยในการทำงาน” แต่ในอีกมุมหนึ่ง คำว่าวินัยนั้นก็กลายเป็นกรงเหล็กที่ขังชีวิตของผู้คนไว้ในโต๊ะทำงาน ประเทศที่สร้างตำนาน “ทำงานจนตาย” (過労死 | Karōshi) กำลังตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงว่า การทำงานหนักไม่เท่ากับการทำงานอย่างมีคุณค่า
หลังจากปี 2015 เป็นต้นมา รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มผลักดันนโยบายที่เรียกว่า 働き方改革 (Hatarakikata Kaikaku) การปฏิรูปรูปแบบการทำงาน เพื่อให้คนญี่ปุ่นมี “คุณภาพชีวิตที่สมดุล” ระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เป้าหมายของนโยบายนี้คือ
• ลดการทำงานล่วงเวลามากเกินไป
• ส่งเสริมการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working)
• เปิดทางให้ผู้หญิงและผู้สูงวัยมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน
• และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน
ในอดีต แนวคิดเหล่านี้ดูเหมือนจะสวนทางกับจิตวิญญาณ Gaman (我慢) การอดทนอดกลั้น แต่วันนี้ญี่ปุ่นเริ่มเข้าใจว่า “การอดทนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด” ไม่ใช่ความเข้มแข็ง แต่คือ การหลงลืมตัวเอง

ผมเคยคุยกับเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ลาออกจากบริษัทใหญ่ในโตเกียว เขาบอกผมว่า “ส่วนตัวไม่ได้เบื่อบริษัท แต่อยากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง” ประโยคนั้นสะเทือนใจผมมาก เพราะมันสะท้อนภาพของคนที่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำงาน จนวันหนึ่งต้องถามตัวเองว่า “แล้วชีวิตล่ะ” Hatarakikata Kaikaku ไม่ได้พยายามทำให้คนญี่ปุ่นขี้เกียจ แต่มันคือการฟื้นคืนความหมายของคำว่า “ทำงาน” ให้กลับมาเท่ากับ “การสร้างคุณค่าให้ชีวิต” อีกครั้ง

บริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ เช่น Toyota, Panasonic, และ Fujitsu เริ่มใช้ระบบทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) เปิดโอกาสให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ลดจำนวนชั่วโมงการประชุม และส่งเสริมการลาหยุดโดยไม่รู้สึกผิด บางบริษัทมีนโยบาย “No Overtime Friday” เพื่อให้พนักงานกลับบ้านเร็ว อยู่กับครอบครัว หรือทำกิจกรรมส่วนตัว

แนวคิดเหล่านี้กำลังสร้างความหมายใหม่ให้กับคำว่า 会社 (Kaisha) บริษัท จากเดิมที่หมายถึง “สถานที่ของการอุทิศตน” กลายเป็น “สถานที่ที่ช่วยให้คนเติบโตไปพร้อมกับชีวิต”

ในอดีต คำว่า “ลาออก” (辞める | Yameru) ถือเป็นคำต้องห้ามในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เพราะมันหมายถึงการหนีจากหน้าที่ แต่คนรุ่นใหม่กำลังเปลี่ยนความหมายของคำนี้ พวกเขากล้าลาออกจากที่ที่ไม่ทำให้เติบโต และเลือกงานที่ให้คุณค่ากับเวลา ความสุข และความหมายแนวคิด 生きがい (Ikigai) เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ กลับมามีบทบาทอีกครั้ง

ผมเห็นเพื่อนญี่ปุ่นบางคนเริ่มเปิดร้านเล็ก ๆ เขียนหนังสือ ทำกาแฟ หรือทำงานฟรีแลนซ์ ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำงานหนัก แต่เพราะอยากทำงานที่ “มีความสุขที่จะตื่นมาทำในวันพรุ่งนี้”

ผู้นำหญิงรุ่นใหม่อย่างที่ผมเขียนถึงในตอนก่อนหน้า คือส่วนสำคัญของการปฏิรูปนี้ พวกเธอไม่เพียงเปลี่ยนวิธีบริหารองค์กร แต่ยังเปลี่ยน “ทัศนคติของสังคม” ว่า การทำงานไม่จำเป็นต้องแลกกับสุขภาพหรือครอบครัว การนำแบบ Yamato Nadeshiko อ่อนโยนแต่มั่นคง คือสิ่งที่ทำให้การปฏิรูปรูปแบบการทำงานครั้งนี้ มีความเป็น “มนุษย์” มากกว่าที่เคย

ญี่ปุ่นกำลังเรียนรู้ว่า ชีวิตที่ดี ไม่ต้องเร่งจนหมดแรง Hatarakikata Kaikaku คือบทเรียนสำคัญของญี่ปุ่น ที่กล้ายอมรับว่าความเหนื่อยไม่ได้แปลว่าความสำเร็จ และเวลาที่เราใช้กับครอบครัวหรือกับตัวเอง ก็มีค่าพอ ๆ กับเวลาที่เราใช้เพื่อองค์กร นี่คือญี่ปุ่นที่เริ่มเรียนรู้จะทำงานอย่าง “สมดุล” และเริ่มเข้าใจว่า
ประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด คือประเทศที่ประชาชนมีความสุขที่สุด

“การทำงานคือส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการมีชีวิตอยู่”


กำลังโหลดความคิดเห็น