ปรัชญาการทำงานแบบ “เจแปนเวย์” ผ่านมุมมองของผู้บริหารชาวไทย ซึ่งผ่านประสบการณ์ทำงานกับชาวญี่ปุ่นมานานกว่า 10 ปี......โดย ดร.ธนศักดิ์ วหาวิศาล
ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัทอิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด

ตอนที่ 25
จากตอนที้แล้วที่ผมได้เขียนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นกับการได้นายกรัฐมนตรีหญิงเป็นคนแรกของประเทศ ทำให้ผมนึกถึงการเดินทางที่ต้องเดินทางไปหาคู่ค้าที่ญี่ปุ่นทุกครั้งที่กลับไปผมเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นตลอดเวลา จากที่เคยเป็นสังคมในแบบอนุรักษ์นิยม และผู้ชายมีบทบาทในการทำงานมากกว่าผู้หญิง หากความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เดินกับสังคมโลกไปได้อย่างสง่างาม และในปี 2025 นี้ ประเทศที่เคยขึ้นชื่อว่าผู้หญิงต้องอยู่หลังฉาก กลับมีผู้หญิงหลายคนขึ้นมายืนบนเวทีแถวหน้า ทั้งในแวดวงธุรกิจ การเมือง และสังคม
女性リーダ (Josei Rīdā) ผู้นำหญิงยุคใหม่ เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ญี่ปุ่นแทบไม่มีผู้หญิงในตำแหน่งบริหารระดับสูง แต่วันนี้ ผมได้เห็นชื่อของผู้หญิงที่กลายเป็น “แม่ทัพขององค์กรระดับชาติ” อาทิ
• มากิ อากิโกะ จากบริษัท Uniqlo
• จุนโกะ นากางาวะ จาก Nomura Holdings
• มากิโกะ โอโมะโนะ จาก Suntory
• และ มิตสึโกะ ทะโดะริ จาก Japan Airlines
พวกเธอล้วนใช้เวลากว่า 20–40 ปีในเส้นทางอาชีพเดียว เรียนรู้ระบบและก้าวจากตำแหน่งพนักงานปฎิบัติการ จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร จนกลายเป็นตัวอย่างของ 我慢 (Gaman) ความอดทนอดกลั้น และ 覚悟 (Kakugo) การเตรียมใจยอมรับผลลัพธ์ ที่ทำให้พวกเธอยืนอยู่ในจุดนี้ได้อย่างสง่างาม
ข่าวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนที่สุดคือการที่ ซานาเอะ ทาคาจิ (Sanae Takaichi) นักการเมืองหญิงสายอนุรักษ์นิยม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เธอเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่าน จากประเทศที่ผู้นำทางการเมืองมีแต่ชาย สู่ประเทศที่กล้าผลักดันผู้หญิงสู่จุดสูงสุดของอำนาจบริหาร
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าการ “ได้ตำแหน่ง” คือ ทัศนคติของสังคมญี่ปุ่นที่เริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนการมีผู้นำหญิงถูกตั้งคำถามว่า “จะเข้มแข็งพอไหม” แต่วันนี้เสียงเหล่านั้นเริ่มลดลง แทนที่ด้วยคำถามใหม่ที่ว่า “เธอจะนำญี่ปุ่นไปทางไหน” นั่นหมายความว่า คนญี่ปุ่นเริ่มมองผู้หญิงในฐานะ “ผู้นำ” มากกว่า “เพศ”
ผมได้พูดคุยกับผู้บริหารญี่ปุ่นคนหนึ่งในโตเกียว เขาพูดประโยคที่ผมจำไม่ลืมว่า “ประเทศเรากำลังแก่ตัวลง แต่สิ่งที่ยังไม่หมดคือพลังของผู้หญิง”
คำพูดนี้สะท้อนจิตวิญญาณใหม่ของญี่ปุ่น ในยุคที่จำนวนแรงงานชายลดลง และอัตราการเกิดต่ำลง ผู้หญิงจึงไม่ใช่ “กำลังเสริม” แต่คือ “กำลังหลัก” รัฐบาลและภาคธุรกิจเริ่มลงทุนในระบบสนับสนุนผู้หญิงทำงาน เช่น ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก การลาคลอดแบบยืดหยุ่น และการทำงานจากที่บ้าน นี่คือญี่ปุ่นที่กำลังใช้ “ความอ่อนโยน” มาเป็นพลังใหม่
ในระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งล่าสุด ผมได้เห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ขององค์กรหนึ่ง ที่มีข้อความเขียนไว้ว่า 「女性の力を信じよう」“เชื่อในพลังของผู้หญิง” หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน ข้อความแบบนี้คงไม่ถูกพิมพ์บนโปสเตอร์ขององค์กรใหญ่ แต่วันนี้ มันถูกเขียนและติดไว้กลางสถานีรถไฟโตเกียว
ผมเชื่อว่าในปี 2025 อาจกลายเป็นปีที่ญี่ปุ่นถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นปีที่ผู้หญิงญี่ปุ่น “ก้าวขึ้นแถวหน้า” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะมีผู้นำหญิงเพิ่มขึ้น แต่เพราะสังคมเริ่มเชื่อในความสามารถของพวกเธอโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้ชายอีกต่อไป
ญี่ปุ่นที่ผมเคยรู้จักในอดีต คือประเทศที่มีระเบียบและความเข้มแข็ง แต่ญี่ปุ่นที่ผมเห็นในวันนี้ คือประเทศที่เริ่มเติม “ความอ่อนโยน ความเท่าเทียม และความเคารพ” เข้าไปในโครงสร้างของความสำเร็จ
“ในวันที่ญี่ปุ่นกล้าปล่อยให้ผู้หญิงนำ โลกจะได้เห็นว่าความเข้มแข็ง…ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง”
ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัทอิเดมิตสึ อพอลโล (ประเทศไทย) จำกัด
ตอนที่ 25
จากตอนที้แล้วที่ผมได้เขียนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นกับการได้นายกรัฐมนตรีหญิงเป็นคนแรกของประเทศ ทำให้ผมนึกถึงการเดินทางที่ต้องเดินทางไปหาคู่ค้าที่ญี่ปุ่นทุกครั้งที่กลับไปผมเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นตลอดเวลา จากที่เคยเป็นสังคมในแบบอนุรักษ์นิยม และผู้ชายมีบทบาทในการทำงานมากกว่าผู้หญิง หากความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เดินกับสังคมโลกไปได้อย่างสง่างาม และในปี 2025 นี้ ประเทศที่เคยขึ้นชื่อว่าผู้หญิงต้องอยู่หลังฉาก กลับมีผู้หญิงหลายคนขึ้นมายืนบนเวทีแถวหน้า ทั้งในแวดวงธุรกิจ การเมือง และสังคม
女性リーダ (Josei Rīdā) ผู้นำหญิงยุคใหม่ เมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ญี่ปุ่นแทบไม่มีผู้หญิงในตำแหน่งบริหารระดับสูง แต่วันนี้ ผมได้เห็นชื่อของผู้หญิงที่กลายเป็น “แม่ทัพขององค์กรระดับชาติ” อาทิ
• มากิ อากิโกะ จากบริษัท Uniqlo
• จุนโกะ นากางาวะ จาก Nomura Holdings
• มากิโกะ โอโมะโนะ จาก Suntory
• และ มิตสึโกะ ทะโดะริ จาก Japan Airlines
พวกเธอล้วนใช้เวลากว่า 20–40 ปีในเส้นทางอาชีพเดียว เรียนรู้ระบบและก้าวจากตำแหน่งพนักงานปฎิบัติการ จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร จนกลายเป็นตัวอย่างของ 我慢 (Gaman) ความอดทนอดกลั้น และ 覚悟 (Kakugo) การเตรียมใจยอมรับผลลัพธ์ ที่ทำให้พวกเธอยืนอยู่ในจุดนี้ได้อย่างสง่างาม
ข่าวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนที่สุดคือการที่ ซานาเอะ ทาคาจิ (Sanae Takaichi) นักการเมืองหญิงสายอนุรักษ์นิยม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เธอเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่าน จากประเทศที่ผู้นำทางการเมืองมีแต่ชาย สู่ประเทศที่กล้าผลักดันผู้หญิงสู่จุดสูงสุดของอำนาจบริหาร
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าการ “ได้ตำแหน่ง” คือ ทัศนคติของสังคมญี่ปุ่นที่เริ่มเปลี่ยน เมื่อก่อนการมีผู้นำหญิงถูกตั้งคำถามว่า “จะเข้มแข็งพอไหม” แต่วันนี้เสียงเหล่านั้นเริ่มลดลง แทนที่ด้วยคำถามใหม่ที่ว่า “เธอจะนำญี่ปุ่นไปทางไหน” นั่นหมายความว่า คนญี่ปุ่นเริ่มมองผู้หญิงในฐานะ “ผู้นำ” มากกว่า “เพศ”
ผมได้พูดคุยกับผู้บริหารญี่ปุ่นคนหนึ่งในโตเกียว เขาพูดประโยคที่ผมจำไม่ลืมว่า “ประเทศเรากำลังแก่ตัวลง แต่สิ่งที่ยังไม่หมดคือพลังของผู้หญิง”
คำพูดนี้สะท้อนจิตวิญญาณใหม่ของญี่ปุ่น ในยุคที่จำนวนแรงงานชายลดลง และอัตราการเกิดต่ำลง ผู้หญิงจึงไม่ใช่ “กำลังเสริม” แต่คือ “กำลังหลัก” รัฐบาลและภาคธุรกิจเริ่มลงทุนในระบบสนับสนุนผู้หญิงทำงาน เช่น ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก การลาคลอดแบบยืดหยุ่น และการทำงานจากที่บ้าน นี่คือญี่ปุ่นที่กำลังใช้ “ความอ่อนโยน” มาเป็นพลังใหม่
ในระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งล่าสุด ผมได้เห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ขององค์กรหนึ่ง ที่มีข้อความเขียนไว้ว่า 「女性の力を信じよう」“เชื่อในพลังของผู้หญิง” หากเป็นเมื่อ 10 ปีก่อน ข้อความแบบนี้คงไม่ถูกพิมพ์บนโปสเตอร์ขององค์กรใหญ่ แต่วันนี้ มันถูกเขียนและติดไว้กลางสถานีรถไฟโตเกียว
ผมเชื่อว่าในปี 2025 อาจกลายเป็นปีที่ญี่ปุ่นถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นปีที่ผู้หญิงญี่ปุ่น “ก้าวขึ้นแถวหน้า” อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะมีผู้นำหญิงเพิ่มขึ้น แต่เพราะสังคมเริ่มเชื่อในความสามารถของพวกเธอโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้ชายอีกต่อไป
ญี่ปุ่นที่ผมเคยรู้จักในอดีต คือประเทศที่มีระเบียบและความเข้มแข็ง แต่ญี่ปุ่นที่ผมเห็นในวันนี้ คือประเทศที่เริ่มเติม “ความอ่อนโยน ความเท่าเทียม และความเคารพ” เข้าไปในโครงสร้างของความสำเร็จ
“ในวันที่ญี่ปุ่นกล้าปล่อยให้ผู้หญิงนำ โลกจะได้เห็นว่าความเข้มแข็ง…ไม่จำเป็นต้องเสียงดัง”