เกียวโดนิวส์ (12 ก.ย.) จำนวนคนที่ปีนภูเขาไฟฟูจิ แบบไม่มีการพักแรมกลางทาง หรือที่เรียกกันว่า “Bullet Climbing” ลดลง 90% ในช่วงฤดูร้อนนี้ หลังจากมีการกั้นประตูเพื่อจำกัดการปีนภูเขาอย่างไม่ปลอดภัย
"เราได้ผลลัพธ์ที่ดี" เจ้าหน้าที่ของฟูจิโยชิดะในจังหวัดยามานาชิ เมืองที่เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาดังกล่าวเปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยอ้างถึงประตูที่สถานีที่ 5 บนเส้นทางโยชิดะ เส้นทางยอดนิยมซึ่งปิดระหว่าง 16.00 น. ถึง 03.00 น. ในช่วงฤดูปีนเขาของปีนี้
ตามข้อมูลของเมือง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคมถึงวันอังคารที่ผ่านมาจำนวนนักปีนเขาที่ผ่านสถานีที่ 6 ระหว่าง 21.00 น. ถึงเที่ยงคืน ลดลงเหลือ 317 คน ลดลง 90.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เพราะจำกัดเฉพาะผู้ที่จองที่พักบนภูเขาไว้ล่วงหน้าจึงสามารถเข้าประตูสถานีที่ 5 ได้ในเวลาหลัง 16.00 น.
แม้ว่าอัตราส่วนของนักปีนเขาชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นร้อยละ 42.4 ของทั้งหมด โดยมี 53,075 คน แต่จำนวนผู้ที่ผ่านสถานีที่ 6 ระหว่าง 17.00 น. ถึง 03.00 น. ลดลงร้อยละ 91 จากปีก่อน เหลือ 1,416 คน
จำนวนนักปีนเขาที่ใช้เส้นทางโยชิดะทั้งหมดอยู่ที่ 132,904 คน ลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อน และเป็นจำนวนที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ภูเขาฟูจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโกในปี 2013 (โดยไม่รวมปีที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนา)
ทั้งนี้ ภูเขาไฟฟูจิสูง 3,776 เมตร ซึ่งทอดตัวอยู่ระหว่างจังหวัดยามานาชิและชิซูโอกะ เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แต่ทางการท้องถิ่นกำลังเผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวหนาแน่น รวมถึงนักเดินป่าที่เตรียมตัวมาไม่ดี หลงป่า เสี่ยงชีวิตกับการปีนเขาในเวลากลางคืน
มาตรการกั้นประตูดังกล่าวจึงถูกนำไปใช้บนพื้นฐานการทดลอง เพื่อป้องกันพฤติกรรมการปีนเขาที่ไม่ปลอดภัย เช่น กิจกรรมปีนเขาอย่างเร่งรีบไม่มีการพักแรมกลางทาง หรือที่เรียกกันว่า “Bullet Climbing” หรือการพยายามปีนยอดเขาที่สูงที่สุด 3,776 เมตร เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นในคราวเดียวโดยไม่นอนพักค้างคืนบนภูเขา