เกียวโดนิวส์ (26 มี.ค.) ญี่ปุ่นให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ผู้ขอลี้ภัยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 303 คนในปี 2566 โดยจำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีก่อนหน้า ภายหลังการฟื้นตัวของการเดินทางขาเข้า หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นระบุเมื่อวันอังคาร
ยอดรวมเพิ่มขึ้น 101 คนจากปีก่อน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังตามหลังประเทศตะวันตกมาก หลายประเทศมักยอมรับมากกว่า 10,000 คนต่อปี
เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น กล่าวว่า ผู้ขอลี้ภัยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดที่ 237 คน คือ ชาวอัฟกานิสถาน ซึ่งหลายคนเป็นพนักงานของสำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น ซึ่งหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานหลังจากที่กลุ่มตอลิบานกลับมาควบคุมที่นั่น
กลุ่มชาติอื่นๆ ที่เป็นตัวแทนในกลุ่มผู้ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย ได้แก่ พม่า ท่ามกลางความขัดแย้งภายในภายใต้รัฐบาลทหารของประเทศ ยังมียูเครน กับซูดานภายหลังความขัดแย้งในประเทศแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว
ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสถานะผู้ลี้ภัยในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 13,823 คน ถือเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเคยมีคนขอลี้ภัย 19,629 คนในปี 2560
จำนวนผู้สมัครสูงสุดมาจากศรีลังกาที่ 3,778 คน รองลงมาคือตุรกี และปากีสถาน
“เนื่องจากการควบคุมชายแดนที่บังคับใช้เนื่องจากโรคโควิด-19 สิ้นสุดลง จำนวนผู้สมัครขอสถานะผู้ลี้ภัยจึงเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการเดินทางขาเข้าไปยังญี่ปุ่น” หหน่วยงาน กล่าว
ในขณะเดียวกัน มีผู้คน 1,110 คนได้ยื่นขอสถานะที่เรียกว่า "การคุ้มครองเสริม" ซึ่งเป็นโครงการที่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยที่หลบหนีความขัดแย้งสามารถอยู่ในญี่ปุ่นได้ เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัย โดยหลักการแล้วให้วีซ่าผู้พำนักระยะยาวแก่พวกเขา ถูกนำมาใช้ภายใต้กฎหมายควบคุมการเข้าเมืองและการรับรู้ผู้ลี้ภัยฉบับปรับปรุง ซึ่งผ่านร่างกฎหมายในปี 2566
โดยแม้ว่าจะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ลี้ภัย แต่ผู้ขอ 1,005 คน ได้รับอนุญาตให้อยู่ในญี่ปุ่นในปี 2566 ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม หลังจากที่หน่วยงานได้พิจารณาสถานการณ์ในประเทศบ้านเกิดของตน เช่น พม่า
ญี่ปุ่นเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกฎการเข้าเมืองที่เข้มงวด และรับผู้ลี้ภัยน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ
“เราจะมุ่งมั่นที่จะให้ความคุ้มครองที่รวดเร็วและมั่นคง ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากโครงการคุ้มครองเสริม” ริวจิ โคอิซูมิ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี