xs
xsm
sm
md
lg

หางานสุดหินในญี่ปุ่น VS อเมริกา : ประสบการณ์ล้ำค่ากว่าจะคว้าชัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก mynavi-agent.jp
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้คนใกล้ตัวฉันหลายคนกำลังหางาน ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่จะอดเครียดและกังวลไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเอง และเดินเข้าหาสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ฉันเองก็เคยลำบากพอสมควรตอนหางานในญี่ปุ่นและอเมริกา แถมวัฒนธรรมการหางานยังไม่เหมือนของไทยอีกด้วย วันนี้ขอเอาประสบการณ์ตัวเองมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

หางานในญี่ปุ่น
ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยบอกฉันว่า “ผู้หญิงไทยที่ไปญี่ปุ่นหางานยาก ต่อให้จบปริญญามา ส่วนใหญ่ก็ทำงานร้านอาหารหรือทำความสะอาดในโรงแรม” เป็นคำพูดที่ชวนให้หมดกำลังใจเสียจริง แต่โชคดีที่ฉันแค่ฟังหูไว้หู แล้วอดทนหางานไปทุกวิถีทาง แม้จะท้อบ้าง เครียดบ้าง ก็คิดว่าขอสู้ให้เต็มที่ก่อน ถ้าทางตันจริงๆ ค่อยเปลี่ยนทิศ และแล้วฉันก็ได้งานประจำหลังผ่านไป 2 ปี

งานแต่ละอย่างในญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นพาร์ทไทม์ ชั่วคราว หรือประจำ ต้องมีเรซูเม (resume - ประวัติการศึกษาและทำงาน) ประกอบการสมัครงานเสมอ เรซูเมของญี่ปุ่นเรียกว่า “ริ-เร-ขิ-โฉะ” (履歴書) สามารถหาซื้อแบบฟอร์มได้จากร้านเครื่องเขียนหรือร้านร้อยเยน หรือจะพิมพ์จากอินเทอร์เน็ตก็ได้ ส่วนเนื้อหานิยมเขียนด้วยลายมือ เพราะคิดว่าสร้างความประทับใจได้มากกว่า ข้อเสียคือถ้าเขียนผิดไปสักตัวอาจต้องเริ่มต้นเขียนใหม่แต่แรกเลย ไม่ค่อยนิยมใช้ที่ป้ายคำผิด

ภาพจาก mynavi-agent.jp
การเขียนเรซูเมญี่ปุ่นต้องเรียงประวัติการศึกษา/การทำงาน จากเก่าสุดไปจนถึงล่าสุด และต้องกรอก “ฉิโบโดขิ” (志望動機 - แรงจูงใจให้อยากทำงานที่บริษัทนั้น) เพื่อแสดงว่าสนใจงานนั้นและรู้จักบริษัทนั้นมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังต้องเขียน “จิโกะ PR” (自己PR - โปรโมตตัวเอง) ด้วย เพื่อบ่งบอกว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อตำแหน่งงานนั้น โดยอ้างถึงผลงาน ประสบการณ์ ทักษะ และความถนัด เป็นต้น

ตอนฉันสมัครงานพาร์ทไทม์ร้านอาหาร พอไปยื่นเรซูเมปุ๊บ ผู้จัดการร้านก็มาสัมภาษณ์เลย ซึ่งเขาอธิบายเนื้อหาของงานกับกฎระเบียบให้ฟังสั้นๆ และปล่อยให้ฉันซักถามจนพอใจ ช่วงไม่กี่วันแรกเป็นการทดลองงาน ซึ่งจะได้ค่าจ้างต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ถ้าเขาเห็นว่าเราทำงานนี้ได้ ถึงจะให้เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เต็มตัว

สำหรับงานประจำฉันไม่เคยสมัครงานบริษัทเอกชน เลยไม่ทราบว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร เคยสมัครแต่หน่วยงานและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งตอนนั้นต้องส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ และตอนสัมภาษณ์มีคนสัมภาษณ์ 2 คนซึ่งเหมือนนั่งคุยกันธรรมดา จำได้ว่ามีอยู่งานหนึ่งที่มีคนรอสัมภาษณ์ทั้งหมด 3 คน ระหว่างรอเรียก พวกเรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน เลยลดความเครียดในการสัมภาษณ์ไปได้เยอะ

ภาพจาก diamond.jp
ในการเข้าสัมภาษณ์แบบญี่ปุ่นนั้นจำเป็นมากที่จะต้องศึกษาเรื่องมารยาทในการเข้าสอบสัมภาษณ์ของเขาด้วย เช่น รู้จักพูดประโยคที่ต้องใช้เวลาไปสัมภาษณ์งาน ตั้งแต่ตอนจะเข้าห้องสัมภาษณ์ ตอนเจอคนสัมภาษณ์ ตอนจะนั่งลง และตอนจบการสัมภาษณ์ รวมทั้งโค้งคำนับให้ถูกต้องตามมารยาทเขา

งานหนึ่งที่ฉันอยากทำเป็นงานพัฒนาชนบทในเชียงใหม่ เสียดายว่าต้องไปประจำที่นั่น และฉันไม่อาจไปได้เพราะสามีต้องทำงานในญี่ปุ่น ที่จริงมีงานในฝันสำหรับฉันหลายอย่างที่ไม่อาจได้เอื้อมถึง เพราะต้องไปประจำประเทศอื่นทั้งสิ้น เลยเป็นอะไรที่ฉันอิจฉาคนโสดไม่มีพันธะเอามากๆ แต่ในเมื่อฉันเลือกมีครอบครัวแล้ว จะทิ้งสามีให้ดูแลตัวเองก็คงไม่รับผิดชอบหน้าที่ภรรยาไปหน่อย เลยต้องมองทางเลือกอื่นแทน

สุดท้ายฉันได้ทำงานในหน่วยงานแห่งหนึ่งที่ไม่ใช่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีงานสารพัดรูปแบบให้ทำ จึงมีอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้แทบทุกวัน เช่น ไปเก็บข้อมูลนอกสถานที่ เขียนรายงาน/ข่าว จัดงานอีเวนต์ รับรองและติดตามแขกผู้ใหญ่ ติดต่อประสานงาน และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นงานที่ทำให้ฉันเติบโต ฝึกให้ฉันรู้จักคาดเดาสถานการณ์ล่วงหน้า และรับผิดชอบงานหลายชิ้นพร้อมกันได้ เป็นหนึ่งในงานที่ฉันชอบที่สุดที่เคยทำมา

ภาพจาก tsuhantenshoku.com
หางานในอเมริกา
ถ้าจำไม่ผิดกว่าฉันจะหางานได้ในอเมริกาก็ใช้เวลาราวปีครึ่ง ซึ่งการหางานที่นี่ต่างจากไทยและญี่ปุ่นอีกเช่นกัน ตอนแรกที่ฉันยังไม่รู้จักระบบของทางนี้ดี ก็ทำอย่างที่เคยชินเวลาหางาน คือเขียนจดหมายปะหน้า (cover letter) กับประวัติการทำงาน (resume) ไปตามที่ตำแหน่งงานนั้นระบุ ไม่คิดว่าจะมีวิธีอื่นนอกจากนี้ แต่ภายหลังได้รู้ว่าถ้าทำแค่นี้ละก็ โอกาสได้งานน้อยมาก เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังค่ะว่าทำไม

ตอนอยู่อเมริกาแรกๆ ฉันไปทำงานอาสาสมัครเพื่อเปิดหูเปิดตาและรู้จักคนใหม่ๆ เลยได้เจอผู้ใหญ่ในสภากาชาด และเล่าให้เขาฟังว่ากำลังหางานอยู่ เขาแนะนำว่ามีหน่วยงานท้องถิ่นที่จัดฝึกอบรมเตรียมความพร้อมในการหางานด้วย ฉันจึงไปเข้าร่วม เขาสอนหลักและทักษะในการหางานอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีเขียนใบสมัคร ฝึกสัมภาษณ์ และอื่นๆ มันเป็นการเรียนรู้ที่มีค่ามาก และช่วยให้ฉันมีอาวุธครบมือเข้าสู่สมรภูมิหางาน

ตอนนั้นแหละฉันถึงได้รู้ว่าใบสมัครงานที่ดีนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนให้กระชับ น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังต้องเลือกใช้คำให้ตรงกับคำศัพท์ (keyword) ที่อยู่ในประกาศรับสมัครงานให้มากที่สุด เพราะงานหนึ่งๆ อาจมีคนสมัครไปเป็นพัน แต่รับแค่คนเดียว เขาจะไม่มานั่งอ่านใบสมัครของทุกคน แต่จะให้คอมพิวเตอร์คัดกรองคนที่เข้าข่ายมากที่สุดออกมา โดยเลือกเฟ้นจากใบสมัครที่ใช้คำซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดของงานตำแหน่งนั้นเยอะๆ

ภาพจาก resources.nejmcareercenter.org
นอกจากนี้ การหางานในอเมริกายังจำเป็นต้องอาศัยเครือข่าย หรือ “เน็ตเวิร์ก” ด้วย เพราะเขามองว่าการหางานนั้น ถ้าเรารู้จักคนในองค์กรที่เราอยากเข้าทำงาน ก็อาจได้งานง่ายขึ้น จะว่าไปก็กึ่งๆ เส้นสาย ทว่าต่างจากเส้นสายแบบไทยที่ได้งานแน่นอน ส่วนทำงานเป็นหรือเปล่าอีกเรื่อง ในขณะที่อเมริกานั้นความสามารถในการทำงานสำคัญเป็นอันดับต้นๆ แต่การรู้จักคนในองค์กรก็ช่วยให้ได้เปรียบ

เคยมีคนยืนต่อแถวซื้ออาหารอยู่แล้วคุยกัน เลยได้รู้ว่าคนหนึ่งกำลังหางาน ส่วนอีกคนรู้ว่ามีตำแหน่งที่เหมาะกับเขาเปิดอยู่ และสุดท้ายคนหางานก็ได้งานจากการรู้จักคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนนี้เอง ครูที่สอนตอนฝึกอบรมหางานจึงบอกว่า ยิ่งรู้จักคนมากยิ่งดี แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าก็ควรคุย

ดังนั้นที่อเมริกาจึงมีกิจกรรม “เน็ตเวิร์กกิ้ง” (networking event) เยอะมาก สามารถค้นหาทางออนไลน์และไปเข้าร่วมได้ หรืออาจขอเพิ่มอีเมลเราไว้ในรายชื่อกลุ่ม (mailing list) ของเขา เพื่อจะได้รับข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมเน็ตเวิร์กกิ้งที่เขาใจดีไปรวบรวมมาให้ ซึ่งเวลาเราไปร่วมกิจกรรมพวกนี้ต้องแนะนำตัวสั้นๆ บอกว่าหางานอะไรอยู่ ถนัดงานแบบไหน และหากมีคนที่สามารถแนะนำงานที่เข้าข่ายเราได้เขาจะมาบอกเรา ในทางเดียวกันเราก็สามารถช่วยแนะนำงานให้คนอื่นได้เช่นกัน

ภาพจาก topresume.com
สำหรับคนเอเชียที่เพิ่งมาอเมริกา แถมยังพูดต่อหน้าคนเยอะแยะไม่เก่งอย่างฉันนี่ กิจกรรมแบบนี้น่ากลัวมากค่ะ ฉันไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง ประหม่าจนมือเท้าเย็นไปหมด แต่ทุกครั้งฉันก็อดทนบากหน้าไป และผ่านมาได้โดยไม่ตายสักที (หัวเราะ)  คนอื่นต่างก็เป็นมิตรและมีน้ำใจ ทุกครั้งที่ฉันกลับมาจากเน็ตเวิร์กกิ้งจึงมักเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความดีใจที่ได้ทำความรู้จักคนใหม่ๆ รวมทั้งความภูมิใจในตัวเองที่ยอมกระโดดเข้าหาความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิตทั้งที่กลัวจับใจ

เน็ตเวิร์กกิ้งบางงานอยู่ไกลมาก ฉันต้องขับรถไปหลายสิบกิโล ทั้งยังเป็นเวลามืดค่ำ แต่ไปเพราะคิดว่ามีประโยชน์ ฉันจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกครั้ง ได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นก่อนเขาจะประสบความสำเร็จในการหางาน และได้รับกำลังใจทั้งจากอาสาสมัครที่จัดงาน รวมทั้งจากคนหางานที่ต่างก็หัวอกเดียวกัน

วันหนึ่งโอกาสทองมาถึง มีคนแนะนำให้ฉันไปนั่งฟังประชุมที่เพื่อนเขาจัด ซึ่งจะมีตัวแทนจากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาเข้าร่วม ปรากฏว่าเจ้านายในอนาคตของฉันมาร่วมงานนั้นด้วย ก่อนงานเลิกเขาประกาศว่ากำลังหาคนช่วยทำโปรเจกต์ใหม่อยู่ และฝากกระจายข่าวด้วย ฉันรับใบประกาศมาดูแล้วเห็นว่าน่าสนใจ แถมยังเข้ากับทักษะที่ฉันมีพอดี เลยเขียนใบสมัครงานอย่างที่เรียนรู้มาจากคอร์สฝึกอบรม แล้วส่งไปทางอีเมล และหลังการสัมภาษณ์ที่คุยกันอย่างสนุกสนาน ฉันก็ได้งาน เย้!

ภาพจาก tomy-blog13.com
งานนั้นมีบรรยากาศการทำงานสบายๆ เป็นกันเอง สามารถเสนอความเห็นที่แตกต่างจากนายได้ และนายก็รับฟัง เจ้านายกับฉันทำงานเข้าจังหวะกันดีมาก ตรงไหนที่เขารู้ว่าฉันจัดการได้ก็จะปล่อยให้ฉันทำ ตรงไหนที่เขารู้ดีกว่าเขาจะยื่นมือช่วยเอง ในสำนักงานยังมีชากาแฟหลากชนิดให้ชงเองจากเครื่อง ถ้าเช้าวันไหนมีประชุมนอกสถานที่ จะมีอาหารเช้าพร้อมกาแฟเตรียมไว้ให้ ต่างคนต่างไปหยิบมานั่งกินไปประชุมไป ส่วนวันศุกร์บางสัปดาห์จะมีพิซซ่า หรืออาหารแพกในถุงกระดาษให้ไปหยิบเอง ส่วนมื้อเที่ยงใครอยากจะพักเวลาไหนก็ไป

ที่ทำงานฉันเป็นองค์กรใหญ่มาก มีหน่วยงานแยกย่อยหลายที่ ฉันทำงานประสานงานและต้องเช็กความพร้อมของสถานที่ เลยได้ออกไปข้างนอกบ่อย ได้เห็นบรรยากาศในหน่วยงานอื่นๆ และรู้จักคนเยอะขึ้น บางที่มีจัดสัมมนาให้เข้าร่วมฟังได้ฟรี ถ้าหาเวลาได้ฉันก็ไปฟังสนุกๆ เอาความรู้

พอนึกย้อนไปถึงสมัยที่ยังหางานอยู่นั้นรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ต้องพยายามมาก และต้องอดทนต่อความผิดหวัง ความกังวล ความคิดลบทั้งหลายที่ซ้ำเติมให้ตัวเองท้อ ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมหางานมันถึงยากอย่างนี้ แต่พอผ่านมาแล้วถึงได้รู้ว่า “มันยากไม่ใช่เพราะว่าเราทำไม่ได้ แต่เพราะเราไม่รู้วิธีต่างหาก” แบบเดียวกับที่เราไม่รู้สูตรคำนวณ เลยนึกว่าคณิตศาสตร์ยากนั่นเอง

ภาพจาก mynavi-agent.jp
บางคนอาจท้อที่ไปสัมภาษณ์งานแล้วไม่ผ่านสักที รุ่นพี่คนหนึ่งเคยสอนฉันว่า “ถ้าไปสัมภาษณ์แล้วได้งานก็ได้กำไร ถ้าไม่ได้ก็ไม่ขาดทุน” ฉันจำเอาไว้ให้กำลังใจตัวเองทุกครั้งที่ท้อ เลยอยากจะบอกเพื่อนๆ ที่พยายามแล้วแต่ยังไม่สำเร็จว่า เราไม่ได้ขาดทุนอะไรนะคะ ทุกความพยายามของเราทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเสมอ ไม่มีอะไรที่เปล่าประโยชน์แน่นอน

โลกไม่ได้ตามใจเรา การหางานก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าหาปุ๊บแล้วจะได้สมใจอยากปั๊บ ของแบบนี้บางทีก็มีจังหวะของมัน และเราไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบกับใคร ถ้าพลาดหวังที่ไหนไปบ้าง ก็อาจเป็นได้ว่ามันไม่ใช่ที่สำหรับเราแต่แรก แต่ความผิดหวังในจุดนั้นก็อาจเป็นบันไดให้เราก้าวไปสู่จุดอื่นที่ดีกว่าก็ได้ สู้ๆ นะคะ.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"  เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.


กำลังโหลดความคิดเห็น